กรุงเทพโพลล์: "ผู้ว่าฯธปท. ดอกเบี้ย และรัฐมนตรีฯคลังกับปัญหาค่าบาทแข็ง"

ข่าวผลสำรวจ Monday May 27, 2013 09:57 —กรุงเทพโพลล์

นักเศรษฐศาสตร์ 80% เชื่อมั่นในตัว ผู้ว่าฯ ธปท. คาด กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในวันพุธนี้ พร้อมแนะผู้ว่าฯ ธปท. และ รัฐมนตรีฯ คลัง ควรหันหน้าเข้าหากัน ให้เกียรติกัน ไม่ก้าวก่ายอำนาจกัน มีเป้าหมายเศรษฐกิจเดียวกัน โดยยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง

ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ร่วมกับ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 35 แห่ง จำนวน 65 คน เรื่อง “ผู้ว่าฯ ธปท. ดอกเบี้ย และรัฐมนตรีฯ คลัง กับปัญหาค่าบาทแข็ง” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 16 — 22 พ.ค. ที่ผ่านมา พบว่า

นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 63.1 กังวลมากถึงมากที่สุดต่อปัญหาความขัดแย้งทางความคิดที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐมนตรีฯ คลัง กับ ผู้ว่าฯ ธปท. ส่วนร้อยละ 32.3 กังวลน้อยถึงน้อยที่สุด

เมื่อถามว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบัน ถึงเวลาหรือยังที่ต้องใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยเฉพาะในประเด็นค่าเงินบาท ร้อยละ 46.2 เห็นว่ายังไม่ถึงเวลา โดยให้เหตุผลว่า อัตราดอกเบี้ยไม่ใช่ต้นตอของปัญหา อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยไม่ใช่เครื่องมือดูแลค่าเงินบาทที่มีประสิทธิภาพ หากแต่เป็นเครื่องมือที่ใช้ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะที่ร้อยละ 29.2 เห็นว่าถึงเวลาแล้ว เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งเพราะดอกเบี้ยสูงกว่าประเทศอื่นๆ ทำให้เงินไหลเข้าประเทศทำให้ค่าเงินบาทแข็ง ประกอบกับเศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มชะลอตัว นอกจากนี้นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 49.2 ยังเห็นว่า การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 1.0 เป็นการแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าที่ไม่ถูกทาง ขณะที่ร้อยละ 18.5 เห็นว่าถูกทางแล้ว และร้อยละ 55.4 เห็นว่า กนง. ควรปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยควรให้ความสำคัญกับภาวะเงินเฟ้อมากกว่าค่าเงินบาท ขณะที่ร้อยละ 18.5 เห็นว่าควรให้ความสำคัญกับค่าเงินบาทมากกว่า

สำหรับ ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ในวันที่ 29 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 41.5 คาดว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 2.50 ขณะที่ร้อยละ 38.5 คาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิมที่ร้อยละ 2.75

ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 73.8 เห็นว่านโยบายการเงินจำเป็นต้องสอดประสานกับนโยบายการคลัง มีเพียงร้อยละ 10.8 เท่านั้นที่เห็นว่าไม่จำเป็นต้องสอดประสานกัน

          สุดท้ายเมื่อถามว่ามีความเชื่อมั่นมากน้อยเพียงใดต่อการทำหน้าที่ ผู้ว่าฯ ธปท. ของคุณประสาร          ไตรรัตน์วรกุล โดยเฉพาะการเตรียมมาตรการรองรับค่าเงินบาทแข็ง  ร้อยละ  80.0  เชื่อมั่นมากถึงมากที่สุด  มีเพียงร้อยละ  13.8  ที่เชื่อมั่นค่อนข้างน้อยถึงไม่เชื่อมั่นเลย

ส่วนสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ต้องการบอก ผู้ว่าฯ ธปท. และ รัฐมนตรีฯ คลัง เกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งทางความคิดที่เกิดขึ้น มีดังนี้

(1) หันหน้าเข้าหากัน เปิดใจรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ให้เกียรติกัน โดยยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง

(2) เข้าใจอำนาจหน้าที่ของแต่ละฝ่าย ไม่ก้าวก่ายอำนาจกัน ไว้ใจและเชื่อมั่นกัน แล้วแก้ไขปัญหาตามอำนาจที่มีโดยมีเป้าหมายเดียวกันคือการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ

(3) อย่าใช้ทิฐิ ตัดสินใจอย่างชาญฉลาดภายใต้ข้อมูลและประสบการณ์ที่มี ใช้สื่อให้น้อยลงเพื่อไม่ให้มีข่าวหลุดออกไปเพราะจะดูไม่ดีในตลาด และประสิทธิภาพของเครื่องมือจะลดลง

          ************************************************************************************************************          หมายเหตุ: รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้  เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ
                   นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด          ************************************************************************************************************โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1.  ความกังวลของนักเศรษฐศาสตร์ต่อปัญหาความขัดแย้งทางความคิดที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐมนตรีฯ คลัง กับ       ผู้ว่าฯ ธปท.
          ร้อยละ  63.1          กังวลมากถึงมากที่สุด

(แบ่งเป็นกังวลมากที่สุดร้อยละ 7.7 และกังวลมากร้อยละ 55.4)

          ร้อยละ  32.3           กังวลน้อยถึงน้อยที่สุด

(แบ่งเป็นกังวลน้อยที่สุดร้อยละ 9.2 และกังวลน้อยร้อยละ 23.1)

          ร้อยละ  4.6            ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

2.  ความเห็นต่อประเด็น “สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบัน  ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ถึงเวลาหรือยังที่ต้องใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบันโดยเฉพาะในประเด็นค่าเงินบาท”
          ร้อยละ  46.2          ยังไม่ถึงเวลา  เพราะ

(1) อัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ใช่ต้นตอของปัญหา หากลดดอกเบี้ยไม่เพียงจะไม่ช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าแต่จะก่อปัญหาอื่นตามมาด้วย เช่น เงินเฟ้อ ครัวเรือนก่อหนี้มากขึ้น การออมลดลง

(2) อัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ใช่เครื่องมือดูแลค่าเงินบาทที่มีประสิทธิภาพ หากแต่เป็นเครื่องมือที่ใช้ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ ดังนั้นควรใช้เครื่องมืออื่นที่มีประสิทธิภาพในการดูแลค่าเงินบาทมากกว่า

(3) สถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งไม่ได้รุนแรงมากนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค ผู้ประกอบการยังพอปรับตัวได้ อีกทั้งเศรษฐกิจโดยรวมยังขยายตัวดี นอกจากนี้ ผู้เกี่ยวข้องต้องเชื่อมั่นใน กนง. ที่มีผู้ทรงคุณวุฒิมากมาย

          ร้อยละ  29.2          ถึงเวลาแล้ว   เพราะ

(1) ค่าเงินบาทแข็งเพราะดอกเบี้ยสูงกว่าประเทศอื่นๆ ที่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยลดลง

(2) เศรษฐกิจในประเทศเริ่มชะลอตัว และมีผลกระทบให้เห็นจากปัญหาค่าเงินบาทแข็ง

(3) แรงกดดันเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาฟองสบู่ยังไม่ชัดเจน

          ร้อยละ  24.6          ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

3.  ความเห็นต่อประเด็น “การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ1.0 จะช่วยแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าได้ถูกทางหรือไม่”
          ร้อยละ  18.5          ถูกทาง
          ร้อยละ  49.2          ไม่ถูกทาง
          ร้อยละ  32.3          ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

4. ความเห็นต่อประเด็น “สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน กนง. ควรปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย  โดยควรให้ความสำคัญกับสิ่งใดมากกว่ากันระหว่าง เสถียรภาพภายนอก (ค่าเงินบาท) กับเสถียรภาพภายใน (ภาวะเงินเฟ้อ)”          ร้อยละ  18.5          ควรให้ความสำคัญกับเสถียรภาพภายนอก (ค่าเงินบาท) มากกว่า
          ร้อยละ  55.4          ควรให้ความสำคัญกับเสถียรภาพภายใน (ภาวะเงินเฟ้อ) มากกว่า
          ร้อยละ  26.1          ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

5.  การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในวันประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้  กนง. จะมีมติเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างไร
          ร้อยละ  38.5          กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิมที่ร้อยละ 2.75
          ร้อยละ  41.5          กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง เป็นร้อยละ 2.50

(นักเศรษฐศาสตร์ 22 ใน 25 คน เชื่อว่า กนง. จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 2.50 จำนวน 1 คนเชื่อว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2.25 และจำนวน 2 คนเชื่อว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2.00)

          ร้อยละ  1.5          กนง. จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นเป็นร้อยละ 3.00
          ร้อยละ  18.5          ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

6.  ความเห็นต่อประเด็น “สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน  การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กับนโยบายการคลังของกระทรวงการคลัง จำเป็นต้องสอดประสานกันหรือไม่”
          ร้อยละ  73.8          จำเป็นต้องสอดประสานกัน
          ร้อยละ  10.8          ไม่จำเป็นต้องสอดประสานกัน
          ร้อยละ  13.8          อื่นๆ คือ ต้องมีเป้าหมายเดียวกัน แต่คนละบทบาทหน้าที่กัน กล่าวคือ มีเป้าหมายให้เศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพเหมือนกัน โดยกระทรวงการคลังมีหน้าทำให้เศรษฐกิจเติบโต  ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทยมีหน้าที่ทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพ (เรื่องเติบโตต้องพึ่งคลัง  เรื่องเสถียรภาพต้องพึ่ง ธปท. )
          ร้อยละ  1.6          ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

7.  ความเชื่อมั่นต่อการทำหน้าที่ ผู้ว่าฯ ธปท. ของคุณประสาร ไตรรัตน์วรกุล (โดยเฉพาะการเตรียมมาตรการรองรับค่าเงินบาทแข็ง)

ร้อยละ 80.0 เชื่อมั่นมากถึงมากที่สุด

(แบ่งเป็นเชื่อมั่นมากที่สุดร้อยละ 18.5 และเชื่อมั่นค่อนข้างมากร้อยละ 61.5)

ร้อยละ 13.8 ที่เชื่อมั่นค่อนข้างน้อยถึงไม่เชื่อมั่นเลย

(แบ่งเป็นเชื่อมั่นค่อนข้างน้อยร้อยละ 9.2 และไม่เชื่อมั่นเลยร้อยละ 4.6)

ร้อยละ 6.2 ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

8. สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ต้องการบอก ผู้ว่าฯ ธปท. และ รัฐมนตรีฯ คลัง เกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งทางความคิดที่เกิดขึ้น มีดังนี้

(1) หันหน้าเข้าหากัน เปิดใจรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ให้เกียรติกัน โดยยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง

(2) เข้าใจอำนาจหน้าที่ของแต่ละฝ่าย ไม่ก้าวก่ายอำนาจกัน ไว้ใจและเชื่อมั่นกัน แล้วแก้ไขปัญหาตามอำนาจที่มีโดยมีเป้าหมายเดียวกันคือการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ

(3) อย่าใช้ทิฐิ ตัดสินใจอย่างชาญฉลาดภายใต้ข้อมูลและประสบการณ์ที่มี ใช้สื่อให้น้อยลงเพื่อไม่ให้มีข่าวหลุดออกไปเพราะจะดูไม่ดีในตลาด และประสิทธิภาพของเครื่องมือจะลดลง หรือใช้สื่อให้เป็นประโยชน์

(4) อื่นๆ คือ มือที่ 3 ควรหยุดวิพาวิจารณ์, ผู้ว่าฯ ธปท. ควรลาออก, ดอกเบี้ยไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาเงินบาทแข็งทั้งหมด, อย่าลดดอกเบี้ยมากเพื่อ Shock ค่าเงินบาท เพราะเศรษฐกิจภาพใหญ่อาจ Shock ตาม, ใช้เครื่องมือให้หลากหลายขึ้น(ไม่ได้มีดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว)

รายละเอียดในการสำรวจ วัตถุประสงค์

1. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจโดยตรงไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่องทางสื่อมวลชน

2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย

กลุ่มตัวอย่าง

เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปีจนถึงปัจจุบัน) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 35 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สมาคมธนาคารไทย บริษัททริสเรทติ้ง ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารธนชาต ธนาคารทหารไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารไทยพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนฟินันซ่า คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยแม่โจ้ สำนักวิชาการจัดการมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ คณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์ (สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์)มหาวิทยาลัยนเรศวร ภาควิชาเศรษฐศาสตร์คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง และคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

วิธีการรวบรวมข้อมูล

การสำรวจนี้เป็นการวิจัยโดยการเลือกตัวอย่างประชากรโดยไม่อาศัยหลักความน่าจะเป็น (Non-probability sampling) แต่ละหน่วยตัวอย่างที่จะได้รับการเลือก จึงเป็นการเลือกตัวอย่างประชากรแบบเจาะจง (Purposive sampling) และดำเนินการรวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด

          ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล           :  16 — 22 พฤษภาคม 2556
          วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ               :  27 พฤษภาคม 2556

ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง

จำนวน ร้อยละ ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่

            หน่วยงานภาครัฐ                         28         43
            หน่วยงานภาคเอกชน                      25       38.5
            สถาบันการศึกษา                         12       18.5
                     รวม                         65        100

เพศ         ชาย                                  39         60
            หญิง                                  26         40
                     รวม                         65        100

อายุ  18 ปี — 25 ปี                                  2        3.1
             26 ปี — 35 ปี                         20       30.8
             36 ปี — 45 ปี                         21       32.3
             46 ปีขึ้นไป                            22       33.8
                     รวม                         65        100

การศึกษา       ปริญญาตรี                             4        6.1
              ปริญญาโท                            43       66.2
              ปริญญาเอก                           18       27.7
                     รวม                         65        100
ประสบการณ์ทำงานรวม
               1-5  ปี                            11       16.9
               6-10 ปี                            17       26.2
               11-15 ปี                           10       15.4
               16-20 ปี                            8       12.3
               ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป                     19       29.2
                     รวม                         65        100

--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ