กรุงเทพโพลล์: “วัฏจักรเศรษฐกิจกับการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย”

ข่าวผลสำรวจ Monday July 29, 2013 10:57 —กรุงเทพโพลล์

นักเศรษฐศาสตร์ 62.9% เชื่อเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอย 61.2% หนุนให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเร่งการลงทุนภาครัฐในโครงการต่างๆ ตามที่ได้วางแผนไว้ และ 69.4% เชื่อสามเดือนข้างหน้ามีข่าวทางลบมากกว่าทางบวก

ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 32 แห่ง จำนวน 62 คน เรื่อง “วัฏจักรเศรษฐกิจกับการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 15 —24 กรกฎาคมที่ผ่านมา พบว่า

นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 62.9 เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย(Contraction / Recession) ซึ่งเป็นช่วงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มลดลง GDP และความต้องการสินค้าโดยรวมลดลง ธุรกิจเริ่มขาดแคลนเงินทุนหมุนเวียน การผลิตและการจ้างงานลดลง มีเพียงร้อยละ 12.9 ที่เห็นว่าอยู่ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว เมื่อถามต่อว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจมีความจำหรือไม่ ร้อยละ 61.2 เห็นว่ามีความจำเป็น (ในจำนวนนี้ร้อยละ 17.7 เห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง) ขณะที่ร้อยละ 30.6 เห็นว่าไม่มีความจำเป็น

อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลมีแนวคิดที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 51.6 เสนอให้กระตุ้นด้วยการเร่งการลงทุนภาครัฐในโครงการต่างๆ ตามที่ได้วางแผนไว้ ร้อยละ 41.9 เสนอให้กระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน

สำหรับประเด็นข่าวบริษัทสหฟาร์มขาดสภาพคล่องนั้น นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 59.7 ไม่ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้วิกฤติเศรษฐกิจแต่เป็นที่ลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมหรือลักษณะเฉพาะของบริษัทที่ใช้แรงงานเข้มข้นในการผลิตมากกว่า ขณะที่ร้อยละ 32.3 ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้วิกฤติเศรษฐกิจที่ทุกฝ่ายโดยเฉพาะรัฐบาลต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

สุดท้ายเมื่อถามว่า “ในระยะสามเดือนข้างหน้าข่าวเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจไทยข่าวทางบวกกับข่าวทางลบข่าวใดจะมากกว่ากันและจะมีประเด็นข่าวอะไรบ้างที่หน่วยงานเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องต้องเฝ้าจับตาเป็นพิเศษ” ร้อยละ 69.4 เชื่อว่ามีข่าวทางลบมากกว่าทางบวก โดยประเด็นข่าวที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้น นักเศรษฐศาสตร์ 29 จาก 37 คนที่แสดงความเห็นยังคงเป็นห่วงประเด็นข่าวเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะประเด็นทางการเมืองที่จะส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนและความเชื่อมั่นต่อการดำเนินโครงการต่างๆ ของภาครัฐ มีเพียงร้อยละ 8.1 เท่านั้นที่เชื่อว่ามีข่าวทางบวกมากกว่าทางลบ

(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)

1. ข้อคำถาม “จากสถานะเศรษฐกิจในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้าท่านคิดว่าเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงใดของ “วัฏจักรเศรษฐกิจ” (Economic Cycle)”
          ร้อยละ  12.9          เห็นว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว (Expansion / Recovery) ซึ่งเป็นช่วงที่การผลิตและ

การจ้างงานเริ่มเพิ่มขึ้น รายได้และรายจ่ายของครัวเรือนสูงขึ้น ทิศทางการลงทุนมีแนวโน้มดีขึ้น

          ร้อยละ   8.1          เห็นว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงเศรษฐกิจรุ่งเรือง (Peak) เป็นจุดสูงสุดของวัฏจักร ณ จุดนี้ระบบเศรษฐกิจ

จะมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งการผลิตและการบริโภค เริ่มมีการขาดแคลนแรงงานและวัตถุดิบ ทำให้ต้นทุนการ

ผลิตสูงขึ้น ระดับราคาสินค้าสูง ธุรกิจมีกำไรสูงตามไปด้วย

          ร้อยละ  62.9          เห็นว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย (Contraction / Recession) เป็นช่วงที่กิจกรรมทาง

เศรษฐกิจเริ่มลดลง GDP และความต้องการสินค้าโดยรวมลดลง ธุรกิจเริ่มขาดแคลนเงินทุนหมุนเวียน

การผลิตและการจ้างงานลดลง

          ร้อยละ   3.2          เห็นว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ (Trough) ช่วงเวลานี้การว่างงานสูง ความต้องการสินค้า

โดยรวมลดลง สินค้าที่ผลิตขึ้นมาไม่สามารถขายได้ กำไรของธุรกิจลดลง การขยายตัวทางธุรกิจจะอยู่ใน

อัตราต่ำ เนื่องจากความเสี่ยงในการขาดทุนสูง

          ร้อยละ  12.9          ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

2. ข้อคำถาม “จากที่หน่วยงานเศรษฐกิจหลายๆ หน่วยงานได้มีการปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2556 นั้น ท่านคิดว่าจากสถานะเศรษฐกิจในปัจจุบัน มีความจำเป็นหรือไม่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ”
          ร้อยละ  17.7          เห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง  เพราะ เศรษฐกิจยังไม่ได้อยู่ในภาวะปกติคือ การส่งออกยังลดลง  จีดีพีมี

แนวโน้มขยายตัวลดลง เศรษฐกิจจึงยังต้องการแรงส่ง โดยเฉพาะจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

ของภาครัฐเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

          ร้อยละ  43.5          เห็นว่ามีความจำเป็น เพราะ ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลายตัวมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็น  การบริโภคภาค

เอกชน การลงทุนภาคเอกชน การส่งออก(เศรษฐกิจโลกไม่ดี) ดังนั้นการกระตุ้นเศรษฐกิจจะทำให้

เศรษฐกิจขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่ควรเป็นการกระตุ้นที่ช่วยเพิ่มผลิตภาพการผลิต (Productivity) ด้วย

          ร้อยละ  30.6          เห็นว่าไม่มีความจำเป็น เพราะ ปัจจุบันเศรษฐกิจอยู่ในช่วงพักฐานเท่านั้นเป็นการปรับตัวตามวัฎจักร

เศรษฐกิจ เป็นอย่างนี้ทั่วโลก และระบบเศรษฐกิจยังคงมีแรงผลักดันให้เดินหน้าได้ ภาคเอกชนและภาค

ครัวเรือนก็สามารถปรับตัวได้ ดังนั้น รัฐควรบริหารเศรษฐกิจตามแผนการลงทุนที่ได้วางไว้ เน้นการ

สร้างประสิทธิภาพให้เกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจ การกระตุ้นเพิ่มอาจทำให้เศรษฐกิจ shock และนำมาสู่

ความเสี่ยงได้

          ร้อยละ   8.2          ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

3. ข้อคำถาม “หากรัฐบาลมีแนวคิดที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่านคิดว่ารัฐบาลควรกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคเศรษฐกิจใดมากที่สุด”
          ร้อยละ  51.6          เร่งการลงทุนภาครัฐในโครงการต่างๆ ตามที่ได้วางแผนไว้
          ร้อยละ  41.9          กระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน (เช่น การเพิ่มมาตรการส่งเสริมการลงทุน เอาใจใส่ดูแลภาคการผลิตให้มากขึ้น)
          ร้อยละ  33.9          กระตุ้นการส่งออก (เช่น ร่วมมือกับภาคเอกชนขยายตลาดใหม่)
          ร้อยละ  25.8          กระตุ้นการท่องเที่ยวจากต่างประเทศโดยออกนโยบายใหม่ๆ (เช่น เที่ยวประเทศไทยไม่ต้องทำ Visa)
          ร้อยละ   6.5          อัดฉีดเงินเข้าสู่ภาคครัวเรือนโดยตรง (ซึ่งอาจอยู่ในลักษณะเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับภาคครัวเรือน เช่น

การจ่ายเช็คเงินสดให้กับผู้ที่มีรายได้น้อย การลดเงินสมทบประกันสังคม เป็นต้น)

          ร้อยละ   6.5          วิธีอื่นๆ คือ เน้นการดูแล SMEs ในด้านต่างๆ, ให้ความสำคัญกับภาคการศึกษา,การพัฒนาโครงสร้าง

พื้นฐาน, สร้างงานให้เพิ่มขึ้น, ดูแลภาคเกษตรให้มากขึ้น

          ร้อยละ   0.0          เสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก
          ร้อยละ   4.8          ไม่ต้องมีมาตรการอะไรเสริม  ดำเนินกิจกรรมไปตามปกติ
          ร้อยละ   3.2          ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

4. ข้อคำถาม “ท่านคิดว่าข่าวบริษัทสหฟาร์มขาดสภาพคล่องถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ต่อวิกฤติเศรษฐกิจหรือไม่”
          ร้อยละ  59.7          ไม่ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้วิกฤติเศรษฐกิจเพราะเป็นลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมหรือลักษณะเฉพาะของบริษัทที่

ใช้แรงงานเข้มข้นในการผลิตซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท

          ร้อยละ  32.3          ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้วิกฤติเศรษฐกิจที่ทุกฝ่ายโดยเฉพาะรัฐบาลต้องจับตาอย่าง ใกล้ชิด
          ร้อยละ   8.0          ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

5.  ข้อคำถาม “ท่านคิดว่าในระยะสามเดือนข้างหน้าข่าวเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจไทยข่าวทางบวกกับข่าวทางลบข่าวใดจะมากกว่ากันและจะมีประเด็นข่าวอะไรบ้างที่หน่วยงานเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องต้องเฝ้าจับตาเป็นพิเศษ”
          ร้อยละ  69.4          เชื่อว่ามีข่าวทางลบมากกว่าทางบวก โดยประเด็นข่าวที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้น  นักเศรษฐศาสตร์ 29 จาก

37 คนที่แสดงความเห็นยังคงเป็นห่วงประเด็นข่าวเศรษฐกิจในประเทศ ได้แก่ (1) ประเด็นทางการเมืองที่

จะส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนและความเชื่อมั่นต่อการดำเนินโครงการต่างๆ ของภาครัฐ (2) ประเด็น

การดำเนินโครงการต่างๆ ของรัฐบาลที่จะนำมาซึ่งปัญหาอื่นๆ ตามมาไม่ว่าจะเป็นการคอร์รัปชั่น การขาด

ทุน การดำเนินโครงการที่ไม่มีประสิทธิภาพ (3) กำลังซื้อภาคครัวเรือนที่คาดว่าจะลดลงจากปัญหาหนี้ภาค

ครัวเรือน (4) ประเด็นการปิดกิจการของ SMEs ยอดขายที่ลดลง การว่างงานที่จะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะแรง

งานระดับล่าง ส่วนประเด็นเศรษฐกิจต่างประเทศนักเศรษฐศาสตร์เป็นห่วงการชะลอตัวของเศรษฐกิจของ

ประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะประเทศจีน นอกจากนี้ก็จะมีประเด็นการผ่อนคลาย QE3 ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

          ร้อยละ   8.1          เชื่อว่ามีข่าวทางบวกมากกว่าทางลบ โดยประเด็นข่าวที่คาดว่าจะเกิดขึ้น คือ เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของ

เศรษฐกิจกลุ่ม G3 ที่ชัดขึ้น และโครงการรับจำนำข้าวเริ่มมีทางออกมากขึ้น

          ร้อยละ  22.5          ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ
          ************************************************************************************************************          หมายเหตุ: รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้ เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ

นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด

                                              รายละเอียดในการสำรวจ

วัตถุประสงค์
          เพื่อสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ต่อสถานะทางเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันว่าอยู่ในช่วงใดของวัฎจักรเศรษฐกิจ  และการกระตุ้นเศรษฐกิจมีความจำเป็นมากน้อยหรือไม่  รวมถึงประเด็นเศรษฐกิจที่นักเศรษฐศาสตร์จับตามอง  ทั้งนี้เพื่อสะท้อนความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจไปยังรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

กลุ่มตัวอย่าง
          เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก  อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปีจนถึงปัจจุบัน) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์  วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 32  แห่ง  ได้แก่  ธนาคารแห่งประเทศไทย  สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง  สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม  สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร  สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์  สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI)  มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง  ศูนย์วิจัยกสิกรไทย  ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย  สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย  ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย  ธนาคารธนชาต ธนาคารทหารไทย  ธนาคารกรุงศรีอยุธยา  บริษัททริสเรทติ้ง  บริษัทหลักทรัพย์ เอเชียพลัส บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ  บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน  บริษัทหลักทรัพย์ภัทร บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ    ภาควิชาเศรษฐศาสตร์ คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา  สำนักวิชาการจัดการมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง  คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร  สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ  คณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยขอนแก่น  และคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

วิธีการรวบรวมข้อมูล
          การสำรวจนี้เป็นการวิจัยโดยการเลือกตัวอย่างประชากรโดยไม่อาศัยหลักความน่าจะเป็น (Non-probability sampling) แต่ละหน่วยตัวอย่างที่จะได้รับการเลือก จึงเป็นการเลือกตัวอย่างประชากรแบบเจาะจง (Purposive sampling) และดำเนินการรวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด

          ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล            :  15 —24 กรกฎาคม 2556
          วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ                :  28 กรกฎาคม 2556

                             ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง

                                                          จำนวน    ร้อยละ
ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่
          หน่วยงานภาครัฐ                                     25       40.3
          หน่วยงานภาคเอกชน                                  24       38.7
          สถาบันการศึกษา                                     13         21
                     รวม                                   62        100
เพศ       ชาย                                              32       51.6
          หญิง                                              30       48.4
                     รวม                                   62        100
อายุ       18ปี — 25 ปี                                        1        1.6
          26 ปี — 35 ปี                                      19       30.6
          36 ปี — 45 ปี                                      20       32.3
          46 ปีขึ้นไป                                         21       33.9
          ไม่ระบุ                                             1        1.6
                     รวม                                   62        100
การศึกษา   ปริญญาตรี                                           3        4.8
          ปริญญาโท                                          45       72.6
          ปริญญาเอก                                         14       22.6
                     รวม                                   62        100
ประสบการณ์ทำงานรวม
          1-5  ปี                                           11       17.7
          6-10 ปี                                           14       22.6
          11-15 ปี                                          10       16.1
          16-20 ปี                                           8       12.9
          ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป                                    18         29
          ไม่ระบุ                                             1        1.7
                     รวม                                   62        100

          --ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ