คนไทย 75.2% เห็นด้วยกับการสร้างความปรองดอง โดยทำ MOU ร่วมกันของพรรคการเมืองและคู่ขัดแย้งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ส่วนใหญ่เชื่อจะแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ทั้งใน ปัจจุบันและอนาคต แต่ 72.1%เห็นว่า ม. 44 ยังจำเป็นอยู่ 67.2% เห็นด้วยกับการรีเซ็ตนักการเมืองปัจจุบัน หากยังปรองดองไม่สำเร็จ / 57.9%อยากปรองดองสำเร็จก่อนมีการเลือกตั้ง
กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “ทางออกของความปรองดองในสังคมไทย” โดยเก็บข้อมูลกับประชาชน จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,216 คน พบว่า
ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 75.2 เห็นด้วยว่าควรให้พรรคการเมืองและคู่ขัดแย้งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาหารือทางออกโดยทำสัจจะวาจาร่วมกัน และให้ลงนามข้อตกลง (MOU) เป็นลายลักษณ์อักษรให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตาม เพื่อสร้างความปรองดองให้แก่สังคม โดยในจำนวนนี้ให้เหตุผลว่า ประเทศจะเดินหน้าพัฒนาได้เร็วขึ้น (ร้อยละ 59.1) รองลงมาคือ จะได้เดิน หน้าสู่การเลือกตั้งได้เร็วยิ่งขึ้น (ร้อยละ 47.1) และจะได้มีหลักฐานชัดเจน ไม่มีใครกล้าละเมิดข้อตกลง (ร้อยละ 43.0) ขณะที่ร้อยละ 20.5 เห็นว่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังไงก็ กลับมาขัดแย้งอยู่ดี และร้อยละ 4.3 ไม่แน่ใจ
เมื่อถามต่อว่าเชื่อมั่นมากน้อยเพียงใดว่าการสร้างความปรองดองโดยการทำ MOU ในข้างต้นจะช่วยทำให้สังคมเลิกขัดแย้ง แบ่งฝักฝ่ายได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ส่วนใหญ่ ร้อยละ 47.2 เชื่อมั่นค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ขณะที่ร้อยละ 43.8 เชื่อมั่นค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด ที่เหลือร้อยละ 9.0 ไม่แน่ใจ
ส่วนข้อคำถามที่ว่า ม.44 ยังจำเป็นหรือไม่กับสังคมไทย หากรัฐบาลต้องการสร้างความสามัคคีปรองดอง ส่วนใหญ่ร้อยละ 72.1 เห็นว่าจำเป็นอยู่ ขณะที่ร้อยละ 19.8 เห็นว่า ไม่จำเป็นแล้ว ที่เหลือร้อยละ 8.1 ไม่แน่ใจ
เมื่อถามว่าเห็นด้วยหรือไม่กับการรีเซ็ตนักการเมืองในปัจจุบัน ให้เว้นวรรคการเมือง 1 สมัย เพื่อให้ผ่านข้อครหาที่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง และให้นักการเมืองรุ่นใหม่ เข้ามาทำหน้าที่แทน หากยังไม่สามารถสร้างความปรองดองได้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 67.2 ระบุว่า “เห็นด้วย” ขณะที่ร้อยละ 21.9 ระบุว่า “ไม่เห็นด้วย” และร้อยละ 10.9 ยังไม่แน่ใจ
สุดท้ายเมื่อถามว่าควรปฏิรูปสร้างความปรองดองให้แล้วเสร็จก่อนมีการเลือกตั้งหรือเดินหน้าเลือกตั้งเลยตามโรดแมปที่วางไว้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 57.9 อยากให้ปฏิรูปให้แล้ว เสร็จก่อนมีการเลือกตั้ง ส่วนร้อยละ 35.9 อยากให้มีการเลือกตั้งเลยตามโรดแมปที่วางไว้ และเดินหน้าปฏิรูปต่อไปพร้อมๆ กัน ที่เหลือร้อยละ 6.2 ยังไม่แน่ใจ
โดยมีรายละเอียดตามประเด็นข้อคำถาม ดังต่อไปนี้
1. ความเห็นเกี่ยวกับการสร้างความปรองดอง โดยให้พรรคการเมืองและคู่ขัดแย้งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาหารือทางออก โดยทำสัจจะวาจาร่วมกัน และให้ลงนามข้อตกลง (MOU) เป็น
ลายลักษณ์อักษรให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตาม
เห็นด้วยและคิดว่าควรทำ ร้อยละ 75.2
โดยให้เหตุผลว่า (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ประเทศจะเดินหน้าพัฒนาได้เร็วขึ้น ร้อยละ 59.1 จะได้เดินหน้าสู่การเลือกตั้งได้เร็วยิ่งขึ้น ร้อยละ 47.1 จะได้มีหลักฐานชัดเจน ไม่มีใครกล้าละเมิดข้อตกลง ร้อยละ 43.0 จะได้ยุติความขัดแย้ง เลิกการชุมนุม ปิดถนน เหมือนในอดีต ร้อยละ 42.3 ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังไงก็กลับมาขัดแย้งอยู่ดี ร้อยละ 20.5 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 4.3 2. ความเชื่อมั่นต่อการสร้างความปรองดองโดยการทำ MOU ในข้างต้นจะช่วยทำให้สังคมเลิกขัดแย้ง แบ่งฝักฝ่ายได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เชื่อมั่นค่อนข้างมากถึงมากที่สุด (โดยแบ่งเป็นค่อนข้างมากร้อยละ 40.2 และมากที่สุดร้อยละ 7.0) ร้อยละ 47.2 เชื่อมั่นค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด (โดยแบ่งเป็นค่อนข้างน้อยร้อยละ 29.0 และน้อยที่สุดร้อยละ 14.8) ร้อยละ 43.8 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 9.0 3. ข้อคำถาม “คิดว่า ม.44 ยังจำเป็นหรือไม่กับสังคมไทย หากรัฐบาลต้องการสร้างความสามัคคีปรองดอง” จำเป็น ร้อยละ 72.1 ไม่จำเป็น ร้อยละ 19.8 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 8.1 4. ข้อคำถาม “เห็นด้วยหรือไม่กับการรีเซ็ตนักการเมืองในปัจจุบัน ให้เว้นวรรคการเมือง 1 สมัย เพื่อให้ผ่านข้อครหาที่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง และให้นักการเมืองรุ่นใหม่เข้ามา ทำหน้าที่แทน หากยังไม่สามารถสร้างความปรองดองได้” เห็นด้วย ร้อยละ 67.2 ไม่เห็นด้วย ร้อยละ 21.9 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 10.9 5. ข้อคำถาม “คิดว่าควรปฏิรูปสร้างความปรองดองให้แล้วเสร็จก่อนมีการเลือกตั้ง หรือเดินหน้าเลือกตั้งเลยตามโรดแมปที่วางไว้” คิดว่าควรปฏิรูปให้แล้วเสร็จก่อนมีการเลือกตั้ง ร้อยละ 57.9 คิดว่าเลือกตั้งเลยตามโรดแมปที่วางไว้ และเดินหน้าปฏิรูปต่อไปพร้อมๆ กัน ร้อยละ 35.9 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 6.2
รายละเอียดการสำรวจ
1) เพื่อสะท้อนความเห็นถึงแนวทางการปฏิรูปสร้างความปรองดอง ในสังคมไทย
2) เพื่อสะท้อนความเห็นว่าควรปฏิรูปสร้างความปรองดองให้แล้วเสร็จก่อนการเลือกตั้งหรือเดินหน้าเลือกตั้งเลยตามโรดแมปที่วางไว้
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างจากประชาชนทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป โดยการสุ่มสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จากฐานข้อมูลของกรุงเทพโพลล์ ด้วยวิธีการ สุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) แล้วใช้วิธีการถ่วงน้ำหนักด้วยข้อมูลประชากรศาสตร์จากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
การประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน ? 3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
วิธีการรวบรวมข้อมูล
ใช้การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ (Enumeration by telephone) โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ
(Check List Nominal) และได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 17 – 18 มกราคม 2560 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 20 มกราคม 2560
ข้อมูลของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน ร้อยละ เพศ
ชาย 656 53.9 หญิง 560 46.1 รวม 1,216 100 อายุ 18 ปี - 30 ปี 175 14.4 31 ปี - 40 ปี 256 21.1 41 ปี - 50 ปี 321 26.4 51 ปี - 60 ปี 286 23.5 61 ปี ขึ้นไป 178 14.6 รวม 1,216 100 การศึกษา ต่ำกว่าปริญญาตรี 773 63.6 ปริญญาตรี 361 29.7 สูงกว่าปริญญาตรี 82 6.7 รวม 1,216 100 อาชีพ ลูกจ้างรัฐบาล 152 12.5 ลูกจ้างเอกชน 266 21.9 ค้าขาย/ ทำงานส่วนตัว/ เกษตรกร 522 43 เจ้าของกิจการ/ นายจ้าง 45 3.7 ทำงานให้ครอบครัว 3 0.2 พ่อบ้าน/ แม่บ้าน/ เกษียณอายุ 178 14.6 นักเรียน/ นักศึกษา 31 2.5 ว่างงาน/ รวมกลุ่ม 19 1.6 รวม 1,216 100
--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--