เปิดเทอมนี้ พ่อแม่ยุคใหม่ร้อยละ 66.8 ระบุว่าการส่งลูกไปเรียนพิเศษเพิ่มมีความจำเป็นมาก สำหรับระบบการศึกษาไทยในปัจจุบัน โดยร้อยละ 40.8 มีการวางแผนให้ลูกเรียนด้าน ภาษาที่ 3 เพิ่มเติม เช่น ภาษาจีนและญี่ปุ่น ทั้งนี้ ร้อยละ 47.8 สนับสนุนให้ลูกเรียนเสริมในสิ่งที่เค้าชอบ ส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาของลูกนั้นร้อยละ 70.6 ระบุว่า มีการจัดสรรเงินสำหรับ การศึกษาของลูกโดยเฉพาะไว้แล้ว
ส่วนเรื่องที่ต้องการในรัฐบาลสนับสนุนมากที่สุดคือ สร้างหลักสูตรทางเลือกที่หลากหลายเหมาะกับศักยภาพของเด็ก และ ให้ครูสอนเต็มที่จะได้ไม่ต้องให้ลูกไปเรียนพิเศษเพิ่ม
ในเดือนพฤษภาคมของทุกปีเป็นช่วงเปิดเทอมของโรงเรียนต่างๆ พ่อแม่ผู้ปกครองต้องเตรียมการวางแผนในด้านการศึกษาแก่บุตรหลานสำหรับปีการศึกษาใหม่ กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์ วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ จึงดำเนินการสำรวจความคิดเห็นเรื่อง “พ่อแม่ยุคใหม่วางแผนอย่างไรเมื่อใกล้เปิดเทอม” โดยเก็บข้อมูลจากพ่อแม่ ผู้ปกครองที่มีลูกหลานศึกษาอยู่ในระดับชั้น อนุบาล- มัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งสิ้น1,175 คน มีผลสำรวจดังนี้
เมื่อถามว่าระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันมีความจำเป็นเพียงใดที่ต้องส่งบุตรหลานไปเรียนพิเศษ พ่อแม่ส่วนใหญ่ร้อยละ 66.8 ระบุว่า จำเป็นมาก รองลงมาร้อยละ 20.4 ระบุว่า จำเป็นน้อย และมีเพียงร้อยละ 12.8 ระบุว่าไม่จำเป็นเลย
ส่วนการวางแผนเพื่อเพิ่มทักษะและความสามารถให้กับลูกๆ ในเทอมใหม่นี้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 40.8 จะเน้นด้านภาษาที่3 เช่น ภาษาจีนภาษาญี่ปุ่น รองลงมาร้อยละ 38.0 เน้นด้าน กีฬา และร้อยละ 23.6 เน้นด้านดนตรี/ร้องเพลง/นาฏศิลป์
โดยวิธีการสนับสนุนเพื่อเพิ่มทักษะความสามารถให้แก่ลูกๆ พ่อแม่ส่วนใหญ่ร้อยละ 47.8 ให้ลูกเรียนเสริมในสิ่งที่เค้าชอบไม่บังคับหรือกำหนดให้ลูก รองลงมาร้อยละ 46.5 กำหนดให้ ลูกไปเรียนเพื่อสร้างทักษะเฉพาะเช่น ดนตรี กีฬา คณิต ศิลปะ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ฯลฯ และร้อยละ 37.8 ให้ลูกเรียนพิเศษด้านวิชาการในวันธรรมดาและวันเสาร์-อาทิตย์
ด้านค่าเรียนพิเศษเพื่อเสริมทักษะความสามารถให้แก่ลูกๆ ด้านต่างๆ ในปัจจุบันร้อยละ 49.9 ระบุว่า ราคาพอดีแล้ว รองลงมาร้อยละ 29.0 ระบุว่าราคาสูงแต่พอรับได้ และร้อยละ 5.3 ระบุว่า ราคาสูงมากจนไม่สามารถรับได้
สำหรับการจัดเตรียมค่าใช้จ่ายสำหรับแผนการศึกษาของลูกๆ ส่วนใหญ่ร้อยละ 70.6 ระบุว่ามีการจัดสรรเงินไว้สำหรับการศึกษาของลูกโดยเฉพาะ รองลงมาร้อยละ 31.7 ระบุว่า นำเงินเก็บออมออกมาใช้ และร้อยละ 10.5 ระบุว่าหยิบยืมจากญาติเพื่อนกรณีหมุนเงินไม่ทัน
ทั้งนี้เรื่องที่ต้องการการสนับสนุนด้านการศึกษาจากรัฐบาลมากที่สุดร้อยละ 17.7 คือสร้างหลักสูตรทางเลือกที่หลากหลายเหมาะกับศักยภาพของเด็กรองลงมาร้อยละ 17.5 คือให้ ครูสอนเต็มที่จะได้ไม่ต้องไปเรียนพิเศษเพิ่ม และร้อยละ 15.9 ให้พัฒนาครูให้มีเทคนิคการสอนโดยยึดนักเรียนเป็นหลัก
โดยมีรายละเอียดดังนี้
จำเป็นมาก ร้อยละ 66.8 จำเป็นน้อย ร้อยละ 20.4 ไม่จำเป็นเลย ร้อยละ 12.8 2. วางแผนเพื่อเพิ่มทักษะ/ความสามารถด้านการศึกษาให้ลูกๆ ในด้าน... (ตอบได้มากกว่า 1คำตอบ) ภาษาที่3 เช่น ภาษาจีนภาษาญี่ปุ่นเป็นต้น ร้อยละ 40.8 กีฬา ร้อยละ 38.0 ดนตรี/ร้องเพลง/นาฏศิลป์ ร้อยละ 23.6 การเข้าสังคม/ทำกิจกรรม/จิตอาสา/EQ ร้อยละ 20.1 ศิลปะ ร้อยละ 18.0 วิชาการเพื่อสอบเข้าสถาบันการศึกษาชั้นนำ ร้อยละ 18.0 ภาษาเพื่อเรียนต่อหลักสูตรอินเตอร์/ต่างประเทศ ร้อยละ 12.0 ไม่ได้เน้นทักษะด้านใดเป็นพิเศษให้เรียนตามแผนการเรียนปกติ ร้อยละ 16.8 3. สิ่งที่ได้ทำและสนับสนุนเพื่อเพิ่มทักษะความสามารถให้แก่ลูกๆ คือ….(ตอบได้มากกว่า1คำตอบ) ให้ลูกเรียนเสริมในสิ่งที่เค้าชอบไม่บังคับหรือกำหนดให้ลูก ร้อยละ 47.8 สร้างทักษะเฉพาะให้กับลูกเช่น ดนตรี กีฬา คณิต ศิลปะ ภาษาจีน ญี่ปุ่น ฯลฯ ร้อยละ 46.5 ให้เรียนพิเศษวันธรรมดาและวันเสาร์-อาทิตย์ ร้อยละ 37.8 เตรียมวางแผนระยะยาวเลือกสถาบันการศึกษาตั้งแต่อนุบาล- มหาวิทยาลัย ร้อยละ 30.8 พาลูกไปร่วมกิจกรรมต่างๆเข้าค่ายเพื่อสร้างประสบการณ์ ร้อยละ 19.5 ไม่ได้สนับสนุน/เพิ่มทักษะด้านใดเพิ่มเติมจากที่เรียนในโรงเรียนเลย ร้อยละ 12.5 4. ราคาหรือค่าใช้จ่ายการเรียนพิเศษเพื่อเพิ่มทักษะความสามารถให้แก่ลูกๆในปัจจุบันเป็นอย่างไร ราคาพอดีแล้ว ร้อยละ 49.9 ราคาสูงแต่พอรับได้ ร้อยละ 29.0 ราคาสูงมากจนไม่สามารถรับได้ ร้อยละ 5.3 ไม่ได้ให้เรียนพิเศษเพราะไม่จำเป็น ร้อยละ 15.8 5. การจัดเตรียมค่าใช้จ่ายสำหรับแผนการศึกษาของลูกๆ(ตอบได้มากกว่า 1 คำตอบ) จัดสรรเงินไว้สำหรับการศึกษาของลูกโดยเฉพาะ ร้อยละ 70.6 นำเงินที่เก็บออมออกมาใช้ ร้อยละ 31.7 หยิบยืมจากญาติเพื่อนกรณีหมุนเงินไม่ทัน ร้อยละ 10.5 กู้ธนาคาร/รูดบัตรเครดิต ร้อยละ 3.1 กู้นอกระบบกรณีหมุนเงินไม่ทัน ร้อยละ 2.8 อื่นๆ เช่น รายได้จาการทำงาน เงินโบนัส เป็นต้น ร้อยละ 1.2 6. เรื่องที่ต้องการการสนับสนุนด้านการศึกษาจากรัฐบาลมากที่สุด สร้างหลักสูตรทางเลือกที่หลากหลายเหมาะกับศักยภาพของเด็ก ร้อยละ 17.7 ให้ครูสอนเต็มที่จะได้ไม่ต้องไปเรียนพิเศษเพิ่ม ร้อยละ 17.5 พัฒนาครูให้มีเทคนิคการสอนโดยยึดนักเรียนเป็นหลัก ร้อยละ 15.9 พัฒนาหลักสูตรการศึกษาให้เหมาะสมกับลักษณะของเด็กGEN Z ร้อยละ 14.6 ปรับระบบ/ลดการแข่งขันการสอบคัดเลือกเข้าม.1 ม.4 และมหาวิทยาลัย ร้อยละ 12.0 ให้ทุนการศึกษาสำหรับเด็กเรียนดีแต่ยากจน ร้อยละ 11.0 สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ครอบคลุม ร้อยละ 10.2 อื่นๆ เช่น ให้มาตรฐานการสอนเท่ากันทุกโรงเรียน พัฒนาทักษะด้าน ร้อยละ 1.1 การดำเนินชีวิต เป็นต้น
รายละเอียดในการสำรวจ
เพื่อสอบถามความคิดเห็นของพ่อแม่ผู้ปกครองในยุคใหม่ เกี่ยวกับการวางแผนการศึกษาและการสนับสนุนเพื่อเสริมทักษะความสามารถให้กับลูกหลานที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับอนุบาล- มัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ในช่วงเปิดเทอมปีการศึกษาใหม่ตลอดจนความเห็นต่อค่าเรียนพิเศษเพื่อเสริมทักษะความสามารถและเรื่องที่ต้องการการสนับสนุนด้านการศึกษาจากรัฐบาลทั้งนี้เพื่อเป็น ประโยชน์ต่อระบบการศึกษาและสังคมไทยโดยรวม
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีลูกเหลาน เรียนอยู่ในระดับชั้นอนุบาล-มัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยสุ่มประชากรเป้าหมาย ที่จะสัมภาษณ์อย่างเป็นระบบ ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 1,175 คน
ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน ?3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว (Face-to-face Interview) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) จากนั้นคณะนักวิจัยได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 8-11เมษายน 2561
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 12 เมษายน 2561
--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--