คนไทยส่วนใหญ่ 68.0% อยากเห็นพรรคการเมืองใช้ เฟซบุ๊ค/เฟซบุ๊ค ไลฟ์ เคลื่อนไหวทางการเมืองมากที่สุด ส่วนใหญ่ 51.4% เชื่อจะเกิดผลดี ประชาชนจะเข้าถึงข้อมูลของพรรคการเมืองมากขึ้น ส่วนใหญ่ 63.0% เห็นว่าการเสนอข้อมูลต่างๆทางการเมืองของเน็ตไอดอลมีผลค่อนข้างมากถึงมากที่สุดต่อ การเลือกตั้ง 47.9% รู้สึกเหมือนถูกปิดกั้นข้อมูล หากมีการห้ามใช้สื่อโซเชียลมีเดียหาเสียง
กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “การเลือกตั้งบนสมรภูมิโซเชียล” โดยเก็บข้อมูล กับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,201 คน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 68.0 อยากเห็นพรรรคการเมืองใช้สื่อโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊ค/เฟซบุ๊ค ไลฟ์ ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง รองลงมาร้อยละ 39.6 อยากเห็นใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ไลน์ และร้อยละ 36.5 ใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ยูทูป
เมื่อถามความเห็นต่อการใช้สื่อโซเชียลมีเดียเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของพรรคการเมืองต่างๆ พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 51.4 เห็นว่าจะเกิดผลดี โดยใน จำนวนนี้ให้เหตุผลว่า ประชาชนจะเข้าถึงข้อมูลพรรคการเมืองได้ง่ายขึ้น (ร้อยละ 54.8) รองลงมาคือ คนรุ่นใหม่จะมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น (ร้อยละ 53.4) ขณะที่ร้อยละ 48.6 เห็นว่าจะเกิดผลเสีย โดยในจำนวนนี้ให้เหตุผลว่า ข้อมูลที่ได้อาจไม่น่าเชื่อถือ มีการบิดเบือนข้อมูล (ร้อยละ 45.2) และจะมีการแสดงความเห็น ใส่ร้ายโจมตีคู่แข่ง ทำให้เกิดความขัดแย้ง (ร้อยละ 33.5)
ส่วนความเห็นต่อการเสนอข้อมูลต่างๆทางการเมืองของเน็ตไอดอลหรือผู้มีอิทธิพลทางความคิด จะมีผลต่อการเลือกตั้งที่จะถึงมากน้อยเพียงใด ส่วนใหญ่ ร้อยละ 63.0 เห็นว่ามีผลค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ขณะที่ร้อยละ 37.0 เห็นว่ามีผลค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด
สุดท้ายเมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรหากมีการห้ามใช้สื่อโซเชียลมีเดียหาเสียงพบว่า ร้อยละ 47.9 รู้สึกเหมือนถูกปิดกั้นข้อมูล รองลงมาร้อยละ 34.6 รู้สึก เหมือนประเทศยังไม่พัฒนา ไม่มีอิสระ และร้อยละ 34.3 รู้สึกว่าถ้าใช้โซเชียลหาสียง ประเทศจะวุ่นวายแตกแยก
โดยมีรายละเอียดตามประเด็นข้อคำถาม ดังต่อไปนี้
เฟซบุ๊ค/เฟซบุ๊ค ไลฟ์ ร้อยละ 68.0 ไลน์ ร้อยละ 39.6 ยูทูป ร้อยละ 36.5 ทวิตเตอร์ ร้อยละ 11.9 อินสตาแกรม ร้อยละ 11.5 2. ความเห็นต่อการใช้สื่อโซเชียลมีเดียเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของพรรคการเมืองต่างๆ เห็นว่าจะเกิดผลดี ร้อยละ 51.4
เพราะ ประชาชนจะเข้าถึงข้อมูลพรรคการเมืองได้ง่ายขึ้น ร้อยละ 54.8
(ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) คนรุ่นใหม่จะมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น ร้อยละ 53.4 เหมาะสมกับยุคไทยแลนด์ 4.0 ร้อยละ 33.9 เห็นว่าจะเกิดผลเสีย ร้อยละ 48.6 เพราะ ข้อมูลที่ได้อาจไม่น่าเชื่อถือ มีการบิดเบือนข้อมูล ร้อยละ 45.2 (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) จะมีการแสดงความเห็นใส่ร้ายโจมตีคู่แข่ง ทำให้เกิดความขัดแย้ง ร้อยละ 33.5
กังวลว่ากดไลค์ กดแชร์ ข้อมูลแล้วจะผิดกฎหมาย ร้อยละ 31.4
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะไม่สามารถควบคุมได้ ร้อยละ 24.5
มีผลค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ร้อยละ 63.0 (โดยแบ่งเป็นมากที่สุดร้อยละ 11.4 และค่อนข้างมากร้อยละ 51.6) มีผลค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด ร้อยละ 37.0 (โดยแบ่งเป็นค่อนข้างน้อยร้อยละ 23.4 และน้อยที่สุดร้อยละ 13.6 ) 4. ข้อคำถาม “รู้สึกอย่างไรหากมีการห้ามใช้สื่อโซเชียลมีเดียหาเสียง”(เลือกตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) รู้สึกเหมือนถูกปิดกั้นข้อมูล ร้อยละ 47.9 รู้สึกเหมือนประเทศยังไม่พัฒนา ไม่มีอิสระ ร้อยละ 34.6 รู้สึกว่าถ้าใช้โซเชียลหาสียง ประเทศจะวุ่นวายแตกแยก ร้อยละ 34.3 รู้สึกว่าประเทศยังไม่พร้อมกับการใช้สื่อโซเชียลในการหาเสียง ร้อยละ 22.1
รายละเอียดการสำรวจ
1) เพื่อสะท้อนความคาดหวังว่าอยากเห็นพรรคการเมืองใช้สื่อโซเชียลมีเดียอะไร ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง
2) เพื่อสะท้อนความคิดเห็นต่อการใช้สื่อโซเชียลเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของพรรคการเมืองต่างๆ
3) เพื่อสะท้อนความคิดเห็นต่อการเสนอข้อมูลต่างๆทางการเมืองของเน็ตไอดอลหรือผู้มีอิทธิพลทางความคิดจะมีผลต่อการเลือกตั้งที่จะถึง มากน้อยเพียงใด
4) เพื่อสะท้อนความรู้สึกหากมีการห้ามใช้สื่อโซเชียลหาเสียง
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างจากประชาชนทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป โดยการสุ่มสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จากฐานข้อมูลของกรุงเทพโพลล์ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) แล้วใช้วิธีการถ่วงน้ำหนักด้วยข้อมูลประชากรศาสตร์จากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
การประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน ? 3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
วิธีการรวบรวมข้อมูล
ใช้การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ (Enumeration by telephone) โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถาม
แบบเลือกตอบ (Check List Nominal) จากนั้นได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 11 – 13 กันยายน 2561
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 15 กันยายน 2561
--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--