ประชาชนที่ตัดสินใจแล้ว 9.3% ระบุว่าจะเลือกพรรคเพื่อไทย รองลงมา 7.5% เลือกพรรคอนาคตใหม่ และ 7.0% เลือกพรรคพลังประชารัฐส่วนใหญ่ 66.2% ยังไม่ตัดสินใจ
ส่วนประชาชนที่ตัดสินใจแล้ว12.0%ระบุว่าจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี รองลงมา 8.1 % คือคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และ 6.6% คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส่วนใหญ่ 59.4% ยังไม่ตัดสินใจ
ทั้งนี้ ประชาชน 95.8 % มีความตั้งใจจะไปเลือกตั้งในครั้งนี้ โดย 58.4% จะพิจารณาจากนโยบายที่พรรคการเมืองใช้ในการหาเสียง รองลงมา 57.5% พิจารณาจากพรรคที่มีสมาชิกทำงานช่วยเหลือชุมชน
จากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้วันที่ 24 มีนาคม 2562 เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เป็นการทั่วไป กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ จึงสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “นับถอยหลัง 35 วัน สู่การเลือกตั้ง” โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจาก ทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,498 คน พบว่า
ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 95.8 ระบุว่า ตั้งใจว่าจะไปเลือกตั้ง มีเพียงร้อยละ 2.3 เท่านั้นที่ระบุว่า ตั้งใจว่าจะไม่ไป ที่เหลือ ร้อยละ 1.9 ระบุว่ายังไม่แน่ใจ
สำหรับปัจจัยที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองมาบริหารประเทศนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 58.4 ระบุว่า ตัดสินจากนโยบายที่พรรคการเมือง ใช้ในการหาเสียง รองลงมาร้อยละ 57.5 ตัดสินใจจากพรรคที่มีสมาชิกทำงานช่วยเหลือชุมชนแก้ปัญหาชุมชน และร้อยละ 53.3 ตัดสินใจจากพรรคที่มีสมาชิกเป็นคนมี ความรู้ความสามารถวิสัยทัศน์ก้าวไกล
ทั้งนี้เมื่อถามว่า “ในการเลือกตั้งครั้งนี้ตั้งใจจะเลือกผู้สมัครจากพรรคใดมาบริหารประเทศ”ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 66.2 ระบุว่ายังไม่ตัดสินใจ ขณะที่ ประชาชนที่ตัดสินใจแล้วร้อยละ 9.3 ระบุว่า จะเลือกพรรคเพื่อไทย รองลงมาร้อยละ 7.5 ระบุว่า จะเลือกพรรคอนาคตใหม่ และ ร้อยละ 7.0 ระบุว่าจะเลือกพรรค พลังประชารัฐ
เมื่อถามต่อว่า “ในการเลือกตั้งครั้งนี้จะสนับสนุนใครเป็นนายกรัฐมนตรี” ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 59.4 ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ ขณะที่ประชาชนที่ ตัดสินใจแล้วร้อยละ 12.0 ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองลงมาร้อยละ 8.1 ระบุว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และร้อยละ 6.6 ระบุว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
โปรดพิจารณารายละเอียดดังต่อไปนี้
ตั้งใจว่าจะไป ร้อยละ 95.8 ตั้งใจว่าจะไม่ไป ร้อยละ 2.3 โดยให้เหตุผลว่า เรียน ทำงาน ติดธุระ ร้อยละ 0.8 เบื่อหน่ายการเมือง ร้อยละ 0.6
เลือกไปก็ไม่เห็นทำประโยชน์ให้เลย ร้อยละ 0.2
ไม่เคยไปอยู่แล้ว ร้อยละ 0.2 ไม่มีใครน่าสนใจ ร้อยละ 0.1 อื่นๆ ร้อยละ 0.4 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 1.9 2. ปัจจัยที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองมาบริหารประเทศ(เลือกตอบได้มากกว่า ข้อ) นโยบายที่พรรคการเมืองใช้ในการหาเสียง ร้อยละ 58.4 พรรคที่มีคนทำงานช่วยเหลือชุมชน แก้ปัญหาชุมชน ร้อยละ 57.5 พรรคที่มีคนมีความรู้ความสามารถ วิสัยทัศน์ก้าวไกล ร้อยละ 53.3 พรรคที่ไม่มีประวัติด่างพร้อยด้านการทุจริต ร้อยละ 39.3 พรรคที่มีคนรุ่นใหม่ไฟแรง ร้อยละ 27.5 การเสนอชื่อผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ของพรรคการเมือง ร้อยละ 26.9 พรรคที่มี ส.ส. เก่า เป็นคนในพื้นที่ ร้อยละ 16.7 เป็นพรรคการเมืองใหญ่ ร้อยละ 10.9 พรรคที่มีคนดังมีชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก ร้อยละ 6.9 อื่นๆ อาทิ ดูจากผลงานเก่าๆ ที่ผ่านมา ดูจากหัวหน้าพรรค ฯลฯ ร้อยละ 7.5 3.เมื่อถามว่า “ในการเลือกตั้งครั้งนี้ท่านตั้งใจจะเลือกผู้สมัครจากพรรคใดมาบริหารประเทศ” ยังไม่ตัดสินใจ ร้อยละ 66.2 พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 9.3 พรรคอนาคตใหม่ ร้อยละ 7.5 พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 7.0 พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 6.3 พรรคเสรีรวมไทย ร้อยละ 1.7 พรรคชาติไทยพัฒนา ร้อยละ 0.7 พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 0.4 พรรคชาติพัฒนา ร้อยละ 0.2 พรรคการเมืองอื่นๆ ร้อยละ 0.7 4. เมื่อถามว่า “ในการเลือกตั้งครั้งนี้ท่านจะสนับสนุนใครเป็นนายกรัฐมนตรี” ยังไม่ตัดสินใจ ร้อยละ 59.4 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อยละ 12.0 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ร้อยละ 8.1 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ร้อยละ 6.6 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 6.1 พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ร้อยละ 3.3 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ร้อยละ 2.3 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ร้อยละ 0.5 นางกัญจนา ศิลปอาชา ร้อยละ 0.5 นายอนุทิน ชาญวีรกุล ร้อยละ 0.2 คน อื่นๆ ร้อยละ 1.0
รายละเอียดการสำรวจ
เพื่อสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม 2562 ปัจจัยที่นำมาใช้ในการตัดสินใจเลือกผู้สมัคร จากพรรคการเมืองต่างๆ ตลอดจนแนวโน้มการเลือกสนับสนุนพรรคการเมืองและนายกรัฐมนตรีจากพรรคต่างๆ เพื่อสะท้อนมุมมองความคิดเห็นของประชาชนให้สังคม และผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างจากประชาชนทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป โดยการสุ่มสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จากฐานข้อมูลของกรุงเทพโพลล์ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบ Simple Random Sampling แล้วใช้วิธีการถ่วงน้ำหนักด้วยข้อมูลประชากรศาสตร์จากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
การประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน ?3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
ใช้การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) จากนั้นได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 12-13 กุมภาพันธ์ 2562
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 16 กุมภาพันธ์ 2562
--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--