จากการสำรวจประจำไตรมาส 3/2566 ประชาชนเห็นโอกาสหรือความพร้อมสำหรับการริเริ่มธุรกิจในอนาคตลดลงจากไตรมาส 2 โดยลดลงจากร้อยละ 61.5 เป็นร้อยละ 53.2
โดยส่วนใหญ่ร้อยละ 52.5 เห็นว่า ปัญหาข้าวของราคาแพง ค่าครองชีพสูง เป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง
ส่วนใหญ่ร้อยละ 71.4 เห็นว่าหลังได้ ครม. นายกฯ เศรษฐา มีผลต่อการตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจใหม่น้อยถึงน้อยที่สุด
ผลสำรวจเรื่อง ?คนไทยคิดอย่างไรกับโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจ ประจำไตรมาส 3/2566 ?
กรุงเทพโพลล์ร่วมกับคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจและการบริหารกิจการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจความเห็นประชาชนเรื่อง ?คนไทยคิดอย่างไรกับโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจ ประจำไตรมาส3/2566 ?โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,080 คน พบว่า
การสำรวจความเห็นเกี่ยวกับจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการ (เจ้าของธุรกิจ) ประจำไตรมาส 3/2566 โดยได้ทำการเปรียบเทียบกับการสำรวจครั้งที่ผ่านมา (ช่วงเดือน มิ.ย. 2566) ในประเด็นต่างๆ พบว่า ประชาชนเห็นโอกาสหรือความพร้อมสำหรับการริเริ่มธุรกิจในอนาคตมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 53.2 (โดยลดลงร้อยละ 8.3) รองลงมาคือ ตนเองมีความรู้ความสามารถรวมถึงทักษะและประสบการณ์ที่จำเป็นในการที่จะเริ่มทำธุรกิจใหม่ คิดเป็นร้อยละ 45.2 (ลดลงร้อยละ 3.6 ) และมีความตั้งใจที่จะประกอบธุรกิจ ในอนาคตข้างหน้า คิดเป็นร้อยละ 41.9 (ลดลงร้อยละ 13.7) และ ขณะที่เห็นว่าไม่อยากลงทุนทำธุรกิจเพราะกลัวความล้มเหลว คิดเป็นร้อยละ 63.5 (ลดลง ร้อยละ 4.7)
ทั้งนี้สาเหตุที่ไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองมากที่สุดคือ ปัญหาข้าวของราคาแพง ค่าครองชีพสูง คิดเป็นร้อยละ 52.5 รองลงมาคือ ไม่มีเงินทุนมากพอ คิดเป็นร้อยละ 51.7 น้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆ ราคาสูงขึ้นคิดเป็นร้อยละ 48.0 กลัวล้มเหลว กลัวขาดทุน คิดเป็นร้อยละ 43.0 และนโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ คิดเป็นร้อยละ 30.9
สุดท้ายเมื่อถามว่าหลังได้ ครม. นายกฯ เศรษฐา มีผลมากน้อยเพียงใดต่อการตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจใหม่พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 71.4 เห็นว่ามีผลค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด ขณะที่ร้อยละ 28.6 เห็นว่ามีผลค่อนข้างมากถึงมากที่สุดต่อการตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจใหม่
โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. ประเด็นคำถามเกี่ยวกับจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการ (เจ้าของธุรกิจ)
คำถาม สำรวจ (ก.ย.66) สำรวจ (มิ.ย.66) เพิ่มขึ้น/ลดลง ร้อยละ ร้อยละ ร้อยละ ท่านมีความตั้งใจที่จะประกอบธุรกิจ ในอนาคตข้างหน้า 41.9 55.6 -13.7 ท่านเห็นโอกาสหรือความพร้อมสำหรับการริเริ่มธุรกิจในอนาคต 53.2 61.5 -8.3 ตัวท่านมีความรู้ความสามารถรวมถึงทักษะและประสบการณ์ที่จำเป็นในการที่จะเริ่มทำธุรกิจใหม่ 45.2 48.8 -3.6 รู้จักผู้ประกอบการหรือมีเครือข่ายที่สามารถสนับสนุนในการริเริ่มธุรกิจ 38.4 43.6 -5.2 คิดว่าการเริ่มต้นธุรกิจใหม่เป็นสิ่งที่ง่ายในสถานการณ์ขณะนี้ 16.7 17.9 -1.2 ไม่อยากลงทุนทำธุรกิจเพราะกลัวความล้มเหลว 63.5 68.2 -4.7 2. สาเหตุที่ท่านไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจของตัวท่านเอง (เลือกตอบได้มากกว่า1 ข้อ) ปัญหาข้าวของราคาแพง ค่าครองชีพสูง ร้อยละ 52.5 ไม่มีเงินทุนมากพอ ร้อยละ 51.7 น้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆ ราคาสูงขึ้น ร้อยละ 48.0 กลัวล้มเหลว กลัวขาดทุน ร้อยละ 43.0 นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ร้อยละ 30.9 คิดว่างานที่ทำอยู่มั่นคงแล้ว เลี้ยงตัวเองได้แล้ว ร้อยละ 29.3 ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำธุรกิจอะไรดี ร้อยละ 28.8 ขาดความรู้ ความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจ ร้อยละ 31.1 หากไม่สำเร็จกลัวคนในครอบครัวจะเดือดร้อน แบกภาระหนี้ร่วมกัน ร้อยละ 22.2 กลัวทำแล้วเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝัน เช่น โรคระบาด ภัยธรรมชาติ ร้อยละ 20.4 คิดว่าสายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่ ร้อยละ 20.1 กลัวการเริ่มต้นว่าจะทำไม่ได้ ร้อยละ 8.4 อื่นๆ อาทิ มีปัญหาสุขภาพ การเมืองยังไม่แน่นอน เศรษฐกิจไม่ดี ฯลฯ ร้อยละ 6.5 ? 3. หลังได้ ครม. นายกฯ เศรษฐา มีผลมากน้อยเพียงใดต่อการตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจใหม่ของท่าน ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ร้อยละ 28.6 (โดยแบ่งเป็น ค่อนข้างมาก ร้อยละ 25.7 และมากที่สุด ร้อยละ 2.9) ค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด ร้อยละ 71.4 (โดยแบ่งเป็น ค่อนข้างน้อย ร้อยละ 43.0 และน้อยที่สุด ร้อยละ 28.4) ? รายละเอียดในการสำรวจ วัตถุประสงค์ในการสำรวจ
เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับจิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจของคนไทยประจำไตรมาส 3 /2566 ในประเด็นต่างๆ รวมถึงเหตุผลที่ทำให้ไม่กล้าเริ่มธุรกิจเป็นของตนเอง ทั้งนี้เพื่อสะท้อนมุมมองความคิดเห็นของประชาชนให้สังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ
ประชากรที่สนใจศึกษา
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างจากประชาชนทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยการสุ่มสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จากฐานข้อมูลของกรุงเทพโพลล์ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) แล้วใช้วิธีการถ่วงน้ำหนักด้วยข้อมูลประชากรศาสตร์จากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error)
การประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน ? 4 ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
วิธีการรวบรวมข้อมูล
ใช้การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ (Enumeration by telephone) โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอนประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) จากนั้นจึงนำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 25 กันยายน ? 4 ตุลาคม 2566
วันที่เผยแพร่ผลการสำรวจ : 7 ตุลาคม 2566
จำนวน ร้อยละ เพศ ชาย 572 53.0 หญิง 508 47.0 รวม 1,080 100.0 อายุ 18 ? 30 ปี 125 11.6 31 ? 40 ปี 130 12.0 41 ? 50 ปี 250 23.1 51 ? 60 ปี 289 26.8 61 ปีขึ้นไป 286 26.5 รวม 1,080 100.0 การศึกษา ต่ำกว่าปริญญาตรี 663 61.4 ปริญญาตรี 316 29.3 สูงกว่าปริญญาตรี 101 9.3 รวม 1,080 100.0 อาชีพ ลูกจ้างรัฐบาล 111 10.3 ลูกจ้างเอกชน 176 16.3 ค้าขาย/ ทำงานส่วนตัว/ เกษตรกร 451 41.8 เจ้าของกิจการ/ นายจ้าง 111 10.3 ทำงานให้ครอบครัว 3 0.3 พ่อบ้าน/ แม่บ้าน/เกษียณอายุ 171 15.8 นักเรียน/นักศึกษา 24 2.2 ว่างงาน 33 3.0 รวม 1,080 100.0 กรุงเทพโพลล์ โทร. 02-407-3888 ต่อ 2897,2898 E-mail: bangkokpoll@bu.ac.th Website: http://bangkokpoll.bu.ac.th Twitter: http://twitter.com/bangkok_poll
ที่มา: ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์