การพัฒนาการศึกษานับเป็นภารกิจหลักของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาทุกยุคทุกสมัย เพราะต่างก็เชื่อมั่นว่าระบบการศึกษาที่ดีจะเป็น เครื่องมือสำคัญในการพัฒนาเยาวชนให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและเป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต โดยนโยบายด้านการศึกษามักถูกหยิบยก ขึ้นมาเป็นนโยบายหลักในการหาเสียงของนักการเมืองทุกระดับ นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการก็มักได้รับจัดสรรงบประมาณจำนวนมากเป็นอันดับต้นๆ แต่จนถึงปัจจุบัน หลายฝ่ายก็ยังไม่มั่นใจในคุณภาพของระบบการศึกษาไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาในระบบโรงเรียนว่ามีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะ ใช้เป็นเครื่องมือหลักในการพัฒนาคุณภาพของเยาวชนไทยได้เพียงใด ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) จึงได้ดำเนินการสำรวจความคิด เห็นเรื่อง “นักเรียนรู้สึกอย่างไรต่อการเรียนในโรงเรียน” เพื่อสะท้อนมุมมองของนักเรียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ โดยเก็บข้อมูลจากนัก เรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมจากโรงเรียนรัฐบาลและเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร 30 แห่ง รวมทั้งสิ้น 1,146 คน เป็นเพศชายร้อยละ 44.9 และเพศหญิงร้อยละ 55.1 เมื่อวันที่ 18 — 20 พฤษภาคม ที่ผ่านมา สรุปผลได้ดังนี้
- รู้สึกดีกับการไปโรงเรียน ร้อยละ 60.7 (โดยให้เหตุผลว่า ตื่นเต้นที่จะได้เจอเพื่อนๆ พักผ่อนช่วงปิดเทอมมาเพียงพอแล้ว อยู่บ้านนานๆ แล้วเบื่อ) - รู้สึกเฉยๆ กับการไปโรงเรียน ร้อยละ 31.8 (โดยให้เหตุผลว่า การไปเรียนเป็นหน้าที่ที่ต้องทำอยู่แล้ว เป็นเรื่องเดิมๆ ไม่มีอะไรตื่นเต้น) - รู้สึกไม่ดีกับการไปโรงเรียน ร้อยละ 7.5 (โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากตื่นเช้า อยู่บ้านสบายกว่า เรียนไม่สนุก ต้องแยกห้องเรียนกับเพื่อน) 2. ความคิดเห็นต่อประเด็นที่ว่า ความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากการเรียนในโรงเรียนจะช่วยให้ตนเองมีอนาคตที่ดีขึ้นได้มากน้อยเพียงใด พบว่า - คิดว่าช่วยได้มาก ร้อยละ 30.9 - คิดว่าช่วยได้ค่อนข้างมาก ร้อยละ 55.6 - คิดว่าช่วยได้ค่อนข้างน้อย ร้อยละ 9.0 - คิดว่าช่วยไม่ได้เลย ร้อยละ 0.3 - ไม่แน่ใจ ร้อยละ 4.2 3. เมื่อสอบถามถึงความพึงพอใจในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนในโรงเรียน พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อครูผู้สอนมากที่สุด รองลงมาคือ ความพึงพอใจต่อกิจกรรมเสริมหลักสูตร ความพึงพอใจต่อเนื้อหาที่เรียน ความพึงพอใจต่ออุปกรณ์การเรียน และความพึงพอใจต่อหนังสือที่ใช้เรียน ตามลำดับ โดยมีคะแนนเฉลี่ย ในแต่ละด้าน ดังนี้ (จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) - ความพึงพอใจต่อครูผู้สอน ได้คะแนนเฉลี่ย 7.79
- ความพึงพอใจต่อกิจกรรมเสริมหลักสูตร ได้คะแนนเฉลี่ย 7.63
- ความพึงพอใจต่อเนื้อหาที่เรียน ได้คะแนนเฉลี่ย 7.45 - ความพึงพอใจต่ออุปกรณ์การเรียน ได้คะแนนเฉลี่ย 7.43 - ความพึงพอใจต่อหนังสือที่ใช้เรียน ได้คะแนนเฉลี่ย 7.33
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณารายละเอียดของความพึงพอใจในแต่ละด้าน พบประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้
- ความพึงพอใจต่อครูผู้สอน จำแนกเป็น
- ความตั้งใจและทุ่มเทในการสอน ได้คะแนน 7.94 - ความรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอน ได้คะแนน 7.84 - ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้และเทคนิคการสอน ได้คะแนน 7.60
- ความพึงพอใจต่อกิจกรรมเสริมหลักสูตรของโรงเรียน จำแนกเป็น
- ประโยชน์ที่ได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรม ได้คะแนน 7.70 - ความน่าสนใจของกิจกรรมที่จัด ได้คะแนน 7.62 - การมีส่วนร่วมของนักเรียน ได้คะแนน 7.56
- ความพึงพอใจต่อเนื้อหาที่เรียนในโรงเรียน จำแนกเป็น
- ความสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตจริง ได้คะแนน 7.60 - ความยากง่ายเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน ได้คะแนน 7.38 - ความน่าสนใจ ชวนให้ติดตาม ได้คะแนน 7.36
- ความพึงพอใจต่ออุปกรณ์การเรียน จำแนกเป็น
- ความทันสมัยและเหมาะสมกับเนื้อหาที่เรียน ได้คะแนน 7.70 - ความเพียงพอกับจำนวนนักเรียน ได้คะแนน 7.32 - การดูแลรักษาอุปกรณ์ให้อยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งาน ได้คะแนน 7.26
- ความพึงพอใจต่อหนังสือที่ใช้เรียน จำแนกเป็น
- ความถูกต้องทันสมัยของเนื้อหา ได้คะแนน 7.54 - ความสวยงามของรูปเล่มและภาพประกอบ ได้คะแนน 7.24 - ความเข้าใจง่าย ได้คะแนน 7.22 4. ข้อเสนอแนะที่เด็กนักเรียนต้องการฝากถึงผู้รับผิดชอบในการจัดการเรียนการสอน คือ - ปรับรูปแบบการสอน / เทคนิคการสอน และสร้างบรรยากาศ ที่เอื้อต่อการเรียน ร้อยละ 41.7 - ปรับปรุงสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียน สนามกีฬา ตัวอาคาร โต๊ะ เก้าอี้ ร้อยละ 14.7 - ปรับตารางการเรียนไม่ให้แน่นเกินไป ลดเวลาเรียนต่อคาบลง และขยายเวลาพัก ร้อยละ 11.6 - เพิ่มกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ ทัศนศึกษา (ออกไปดูของจริง) ร้อยละ 11.1 - ปรับเนื้อหาการเรียนให้ทันสมัย และสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง ร้อยละ 9.3 - ลดความเข้มงวดของกฎระเบียบบางเรื่อง เช่น เรื่องทรงผม ร้อยละ 7.5
- อื่นๆ เช่น อย่าเปลี่ยนรูปแบบการเรียนบ่อยๆ ปรับสัดส่วนครูต่อจำนวนนักเรียนให้เหมาะสมฯลฯ ร้อยละ 4.1
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบข้อเสนอแนะระหว่างนักเรียนโรงเรียนรัฐบาลกับโรงเรียนเอกชน พบว่า ข้อเสนอแนะในเรื่องการปรับรูปแบบการส อน เทคนิคการสอนและการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนเป็นข้อเสนอแนะที่มาจากนักเรียนในโรงเรียนรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่
ขณะที่ข้อเสนอแนะเรื่องการเพิ่มกิจกรรมเสริมหลักสูตร และลดความเข้มงวดของกฎระเบียบลงเป็นข้อเสนอแนะที่มาจากนักเรียนใน โรงเรียนเอกชนเป็นส่วนใหญ่
ส่วนข้อเสนอแนะเรื่องการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในโรงเรียน การปรับตารางเรียนไม่ให้แน่นเกินไป และการปรับเนื้อหาการเรียนให้ทัน สมัย สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง เป็นข้อเสนอแนะที่มาจากนักเรียนโรงเรียนรัฐบาลและเอกชนในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน
รายละเอียดในการสำรวจ
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมต้นและมัธยมปลายจากโรงเรียนทั้งของรัฐและเอกชนในเขตกรุงเทพ มหานคร จำนวน 30 แห่ง ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) ได้แก่ การสุ่มโรงเรียนของรัฐบาลจำนวน 21 แห่ง และเอกชนจำนวน 9 แห่ง จากนั้นจึงสุ่มประชากรเป้าหมายที่จะสัมภาษณ์อย่างเป็นระบบ ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 1,146 คน เป็นเพศชาย ร้อยละ 44.9 และเพศหญิง ร้อยละ 55.1
ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน +/- 3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว (Face-to-face Interview) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) และคำถามปลายเปิด (Open Form) จากนั้นคณะนักวิจัยได้นำแบบสอบถามทุกชุด มาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 18 — 20 พฤษภาคม 2552 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 21 พฤษภาคม 2552
ข้อมูลประชากรศาสตร์
จำนวน ร้อยละ เพศ ชาย 514 44.9 หญิง 632 55.1 รวม 1,146 100.0 ระดับการศึกษา มัธยมต้น 590 51.5 มัธยมปลาย 556 48.5 รวม 1,146 100.0 ประเภทของโรงเรียน รัฐบาล 802 70.0 เอกชน 344 30.0 รวม 1,146 100.0
--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--