นักเศรษฐศาสตร์ เห็นสอดคล้องกับรัฐบาลว่าไตรมาส 4 เศรษฐกิจไทยจะฟื้นเป็นบวก แต่เสนอให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลง ทุนและการจ้างงานมากกว่าการกระตุ้นผ่านการบริโภค พร้อมยังเป็นห่วงปัญหาการเมืองที่อาจฉุดเศรษฐกิจให้อยู่ในภาวะตกต่ำ
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จาก 14 องค์กรชั้นนำของไทยเรื่อง “คาดการณ์เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปี 2552” พบว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 จะมีการขยายตัวเป็นบวกได้ร้อย ละ 1.45 โดยจะได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ ในระดับต่ำที่ร้อยละ -0.7 ส่งผลให้เชื่อได้ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.25 จนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อกระตุ้น เศรษฐกิจต่อไป
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า ค่าเงินบาทจะแข็งค่าอยู่ที่ระดับ 31.1-33.6 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะทำให้เป็นอุปสรรค สำคัญต่อการส่งออกและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป
นอกจากนี้ยังเสนอให้ภาครัฐใช้วิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนและการจ้างงานมากกว่าการกระตุ้นผ่านการบริโภค อันจะช่วยให้ เศรษฐกิจมีความเข้มแข็งในระยะยาวอีกทั้งจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน อย่างไรก็ดี การกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวจะต้อง ดำเนินไปด้วยความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ยังเป็นห่วงปัญหาด้านการเมืองที่จะเป็นปัจจัยสำคัญในการฉุด เศรษฐกิจให้อยู่ในภาวะตกต่ำ
(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
ร้อยละ 87.2 เห็นว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 4 จะขยายตัวดีกว่าช่วงเดียวกันของปี 2551 ซึ่งมีค่าเฉลี่ยของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ที่ร้อยละ 1.45
ร้อยละ 10.3 เห็นว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 4 จะแย่พอๆ กับช่วงเดียวกันของปี 2551
ร้อยละ 2.5 เห็นว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 4 จะแย่กว่าช่วงเดียวกันของปี 2551
ร้อยละ 7.5 เชื่อว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าจาก 33.6 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 34.0 บาทต่อดอลลาร์
สหรัฐโดยเฉลี่ย
ร้อยละ 47.5 เชื่อว่าค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับปัจจุบันที่ 33.6 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ร้อยละ 45.0 เชื่อว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าจาก 33.6 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 31.1 บาทต่อ
ดอลลาร์สหรัฐโดยเฉลี่ย
ร้อยละ 17.1 เห็นว่า อัตราเงินเฟ้อน่าจะอยู่ในระดับเดียวกับค่าเฉลี่ยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2552
ร้อยละ 43.9 เห็นว่า อัตราเงินเฟ้อน่าจะติดลบน้อยลง โดยมีค่าเฉลี่ยของอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ -0.7
ร้อยละ 39.0 เห็นว่า อัตราเงินเฟ้อน่าจะขยายตัวเป็นบวกได้ โดยมีค่าเฉลี่ยของอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 1.8
ร้อยละ 97.4 เห็นว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.25 จนถึงสิ้นปี 2552
ร้อยละ 2.6 เห็นว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ 1.25
หมายเหตุ: คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการประชุมจำนวน 2 ครั้งใน ไตรมาส 4 ปี 2552
คือ การประชุมในวันที่ 21 ตุลาคม และวันที่ 2 ธันวาคม
ร้อยละ 7.3 เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยยังไม่ผ่านจุดต่ำสุด ขณะที่
ร้อยละ 92.7 เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว
โดยการผ่านจุดต่ำสุดหรือการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในครั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ร้อยละ 60.5 ให้ความเห็นว่าเป็น ผลมาจากการใช้จ่ายของรัฐบาล รองลงมาร้อยละ 23.7 เห็นว่า เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าและบริการ
ในประเด็นรูปแบบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในครั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ร้อยละ 63.9 เห็นว่าเศรษฐกิจน่า จะมีการขยายตัวแบบตัว U ซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจมีการหดตัวอย่างรุนแรงและรวดเร็วแต่เมื่อถึงจุดต่ำสุดแล้วต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่าเศรษฐกิจจะเริ่ม มีการฟื้นตัวอีกครั้ง รองลงมาร้อยละ 19.4 นักเชื่อว่าเศรษฐกิจจะมีการฟื้นตัวแบตัว W และร้อยละ 8.3 เชื่อว่าจะเป็นการฟื้นตัวแบบตัว V ตามลำดับ
หมายเหตุ:
1. การผ่านจุดต่ำสุด/การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ มิได้หมายความว่าเศรษฐกิจจะต้องมีการขยายตัวเป็นบวก แต่อาจอยู่ในรูปการติดลบ ที่ลดลงก็ได้
2. การขยายตัว
แบบตัว V หมายถึง เศรษฐกิจมีการหดตัวอย่างรุนแรงและรวดเร็วแต่เมื่อถึงจุดต่ำสุดแล้วก็มีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเช่นกัน
แบบตัว U หมายถึง เศรษฐกิจมีการหดตัวอย่างรุนแรงและรวดเร็วแต่เมื่อถึงจุดต่ำสุดแล้วต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่าเศรษฐกิจจะเริ่มมี การฟื้นตัวอีกครั้ง
แบบตัว W หมายถึง เศรษฐกิจมีการหดตัวอย่างรุนแรงและรวดเร็วและมีสัญญาณการฟื้นตัวซึ่งบางครั้งอาจทำให้นักเศรษฐศาสตร์เข้าใจ ว่าเป็นการฟื้นตัวแบบตัว V แต่เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งเศรษฐกิจหมดแรงส่งหรือการฟื้นตัวที่เกิดขึ้นเป็นการปรับตัวทางเทคนิคหรือมิได้มีการฟื้น ตัวอย่างแข็งแรงก็จะทำให้เศรษฐกิจทรุดลงมาอีกรอบหนึ่งแล้วจึงจะมีการฟื้นตัวจริงๆ
แบบตัว L หมายถึง เศรษฐกิจมีการหดตัวอย่างรุนแรงและกินระยะเวลาที่ยาวนานดังที่เคยเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (The Great Depression)
แบบตัว หมายถึง การที่เศรษฐกิจหดตัวถึงจุดต่ำสุดแล้วฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติเป็นระยะเวลานานพอสมควร ซึ่งการฟื้นตัวทาง เศรษฐกิจลักษณะนี้เป็นการฟื้นตัวที่พึงปรารถนา
ภาครัฐควรมีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น การสร้างทักษะแรงงาน ซึ่งสิ่ง ต่างๆ เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว โดยการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนจะช่วยก่อให้เกิดการ จ้างงานซึ่งน่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยแนวทางการบริโภค อีกทั้งการลงทุนในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำจะทำให้มีต้นทุนที่ต่ำกว่า การลงทุนในช่วงเศรษฐกิจเติบโต อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโครงการลงทุนของภาครัฐในปัจจุบันเป็นโครงการที่ใช้งบประมาณเป็นจำนวนมากจึงแนะ นำให้ภาครัฐควรคุมการใช้งบประมาณให้เกิดความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และต้องหมั่นดูแลและเร่งรัดการเบิกใช้ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้
นอกจากนี้ แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์จะเห็นด้วยกับการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ แต่บางส่วนก็มีความกังวลว่าหากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ อีกรอบหนึ่งจะทำให้รัฐบาลไม่มีเครื่องมือที่จะบริหารเศรษฐกิจ อีกทั้งปัญหาด้านการเมืองก็ยังคงเป็นประเด็นที่ไม่น่าไว้วางใจและยังคงเป็นตัวฉุด เศรษฐกิจไทย ดังนั้น นักเศรษฐศาสตร์จึงเสนอแนะให้รัฐบาลมีการบริหารเศรษฐกิจด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง และต้องมองถึงอนาคตข้าง หน้าด้วย
รายละเอียดในการสำรวจ วัตถุประสงค์
1. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจโดยตรงไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่อง ทางสื่อมวลชน
2. เพื่อประมาณการแนวโน้มทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ปี 2551 ให้หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานภาคเอกชน และองค์กร ต่างๆ ได้นำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนกำหนดนโยบาย และการดำเนินกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้าน เศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี/โท/เอก จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์ วิจัย หรืองานที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 5 ปี)
2. เป็นผู้ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน14 แห่งได้แก่ สำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนัก งานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักดัชนีเศรษฐกิจและการค้า ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย บริษัทหลักทรัพย์ภัทร บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยประจำ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดไว้ภายในระยะเวลาที่กำหนด
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 1-5 ตุลาคม 2552
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 6 ตุลาคม 2552
ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน ร้อยละ ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่ หน่วยงานภาครัฐ 18 43.9 หน่วยงานภาคเอกชน 15 36.6 สถาบันการศึกษา 8 19.5 รวม 41 100.0 เพศ ชาย 25 61.0 หญิง 16 39.0 รวม 41 100.0 อายุ 18 ปี — 25 ปี 1 2.4 26 ปี — 35 ปี 23 56.1 36 ปี — 45 ปี 8 19.5 46 ปีขึ้นไป 9 22.0 รวม 41 100.0 การศึกษา ปริญญาตรี 3 7.3 ปริญญาโท 29 70.7 ปริญญาเอก 9 22.0 รวม 41 100.0 ประสบการณ์ทำงาน 1-5 ปี 14 34.1 6-10 ปี 10 24.4 11-15 ปี 3 7.3 16-20 ปี 4 9.8 ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป 10 24.4 รวม 41 100.0
--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--