นักเศรษฐศาสตร์เชื่อกองทุนริเริ่มเชียงใหม่ช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินของอาเซียน
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จาก 17 องค์กรชั้นนำของไทย เรื่อง “โอกาสและความพร้อมของประเทศไทยในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” โดยนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 75.0 เชื่อว่ากองทุนริเริ่มเชียงใหม่จะ ช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินการคลังของประเทศในภูมิภาคอาเซียนได้ นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ ร้อยละ 69.7 เชื่อว่าอาเซียนจะ บรรลุการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ได้ อันจะส่งผลให้สินค้าของไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น พร้อมแนะให้รัฐบาล เตรียมใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีการเคลื่อนย้ายสินค้าและการเคลื่อนย้ายการลงทุนที่จะเกิดขึ้นให้คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ยังติงการ เปิดเสรีสินค้าของไทยในปีหน้า (เฉพาะอาเซียน-6) ที่ไทยยังมีความพร้อมไม่เต็มที่โดยเฉพาะเรื่องต้นทุนการขนส่งของไทยที่อยู่ในระดับสูงและยังไม่ได้ รับการแก้ไข นอกจากนี้รัฐบาลยังไม่มีการเตรียมมาตรการรองรับเพื่อลดผลกระทบจากการเปิดเสรีที่จะเกิดขึ้นกับภาคส่วนเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าอาเซียนจะบรรลุการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะก้าวไปสู่จุดที่ เหมือนกับสหภาพยุโรป (EU) เนื่องจากประเทศสมาชิกมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม และที่ สำคัญคือ การขาดความจริงใจต่อกันในอันที่จะพัฒนาอาเซียนเพื่อนำความกินดีอยู่ดีมาสู่ประชาชนอาเซียน
(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
ร้อยละ 16.1 เห็นว่าจะบรรลุการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้ภายในปี 2558 ร้อยละ 69.7 เห็นว่า บรรลุ แต่ล่าช้ากว่าปี 2558 ร้อยละ 7.1 เห็นว่า ไม่มีทางบรรลุ ร้อยละ 7.1 ไม่มีความเห็น (ไม่ตอบ/ไม่ทราบ/ไม่มั่นใจ) 2. ความเห็นต่อประเด็น การรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย (ในภาพรวม)พบว่า ร้อยละ 66.1 เห็นว่า จะช่วยให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 23.2 เห็นว่า จะไม่ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยเพิ่มขึ้นหรือลดลง ร้อยละ 7.1 เห็นว่า จะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยลดลงกว่าเดิม ร้อยละ 3.6 ไม่มีความเห็น (ไม่ตอบ/ไม่ทราบ/ไม่มั่นใจ) 3. ความเห็นต่อประเด็น ภายใต้แผนงาน “การเป็นตลาดและฐานการผลิตร่วม” ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ภาครัฐควรเตรียมการใช้ประโยชน์ในด้านใดมากที่สุดเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย พบว่า
อันดับ 1 ภาครัฐควรใช้ประโยชน์ด้านการเคลื่อนย้ายสินค้าโดยเสรี
อันดับ 2 ภาครัฐควรใช้ประโยชน์ด้านการเคลื่อนย้ายการลงทุนอย่างเสรี
อันดับ 3 ภาครัฐควรใช้ประโยชน์ด้านการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรีมากขึ้น
อันดับ 4 ภาครัฐควรใช้ประโยชน์ด้านการเคลื่อนย้ายบริการอย่างเสรี
อันดับ 5 ภาครัฐควรใช้ประโยชน์ด้านการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมืออย่างเสรี
ร้อยละ 3.6 ไม่มีความเห็น (ไม่ตอบ/ไม่ทราบ/ไม่มั่นใจ) 4. ความเห็นต่อประเด็น ความร่วมมือด้านการเงินระหว่างอาเซียนกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ในการจัดตั้งกองทุนสำรองพหุภาคีภายใต้ มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ จะช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินการคลังในภูมิภาคได้หรือไม่ พบว่า ร้อยละ 75.0 เห็นว่า สามารถช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินการคลังในภูมิภาคได้ ร้อยละ 12.5 เห็นว่า ไม่สามารถช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินการคลังในภูมิภาคได้
เนื่องจาก ในปัจจุบันประเทศสมาชิกอาเซียนมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มากเกินพออยู่แล้ว
กองทุนสำรองพหุภาคีจึงมีประโยชน์ค่อนข้างจำกัด นอกจากนี้ประเทศในเอเชียบางประเทศไม่ว่าจะเป็นจีน
ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ก็เป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งด้านการเงิน ความจำเป็นของกองทุนนี้จึงลดลง
ร้อยละ 12.5 ไม่มีความเห็น (ไม่ตอบ/ไม่ทราบ/ไม่มั่นใจ) 5. ความเห็นต่อประเด็น ประชาคมอาเซียนจะสามารถก้าวไปถึงจุดที่เหมือนกับสหภาพยุโรป หรือ EU ได้หรือไม่ พบว่า ร้อยละ 14.3 เชื่อว่า ได้ ร้อยละ 69.6 เชื่อว่า ไม่ได้ เนื่องจาก ประเทศสมาชิกอาเซียนมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก
ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ(บางประเทศพัฒนาแล้วในขณะที่บางประเทศก็ยังคงล้าหลัง)
ด้านสังคม ด้านวัฒนธรรม ด้านการเมือง และที่สำคัญคือขาดความจริงใจ
ต่อกันในอันที่จะร่วมมือพัฒนาไปพร้อมๆ กัน อีกทั้งอาเซียนยังขาดผู้นำที่มีความเข้มแข็งและเป็นที่ยอมรับ
ร้อยละ 16.1 ไม่มีความเห็น (ไม่ตอบ/ไม่ทราบ/ไม่มั่นใจ) 6. ความคิดเห็นต่อประเด็น ความพร้อมของประเทศไทยในการเปิดเสรีสินค้าของไทยในปี 2553 (เฉพาะอาเซียน-6) ร้อยละ 17.9 เห็นว่า มีความพร้อมมาก ร้อยละ 46.4 เห็นว่า มีความพร้อมปานกลาง โดยต้องปรับปรุงเรื่อง ข้อจำกัดต่างๆ ที่ยังคงบั่นทอน
ขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย ไม่ว่าจะเป็น ต้นทุนการขนส่งที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
ภาษีนำเข้าสินค้าบางรายการที่ยังสูง มาตรฐานสินค้าของไทยที่ยังต้องปรับปรุง การวิจัยและพัฒนา
ที่อยู่ในระดับต่ำ เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลยังขาดการประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและ
ประชาชนได้รับทราบ รวมทั้งขาดมาตรการบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดจากการเปิดเสรี
ร้อยละ 21.4 เห็นว่า มีความพร้อมน้อย ร้อยละ 14.3 ไม่มีความเห็น (ไม่ตอบ/ไม่ทราบ/ไม่มั่นใจ) 7. ข้อเสนอต่อรัฐบาลในประเด็นเกี่ยวกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 3 อันดับแรก ได้แก่
อันดับที่ 1 เสนอให้ รัฐบาลควรมีการศึกษาความได้เปรียบและความเสียเปรียบให้รอบคอบครบถ้วน ศึกษาความพร้อมของภาคธุรกิจ
รวมทั้งหามาตรการรองรับเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทุกภาคส่วนเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง
อันดับที่ 2 เสนอให้ รัฐบาลมีการประชาสัมพันธ์ให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการเปิดเสรีการค้าในภูมิภาคอาเซียนได้รับทราบและ
มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อการเตรียมความพร้อมและรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
อันดับที่ 3 เสนอให้ อาเซียนมีความสมัครสมานสามัคคีกันมากขึ้นเพื่อก้าวสู่การเป็นประชาคมที่เข้มแข็ง และประเทศในภูมิภาค
อาเซียนควรหันมาค้าขายระหว่างกันให้มากขึ้น ซึ่งการค้าขายดังกล่าวไม่จำเป็นต้องใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ
รายละเอียดในการสำรวจ วัตถุประสงค์
1. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจโดยตรงไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่อง ทางสื่อมวลชน
2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย
กลุ่มตัวอย่าง
1. เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้าน เศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์ วิจัย หรืองานที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 5 ปี) และที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 17 แห่งได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการ เกษตร สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารนครหลวง ไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัททริสเรทติ้งจำกัดบริษัท หลักทรัพย์ภัทรจำกัด (มหาชน) อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยประจำศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
2. วิธีการรวบรวมข้อมูล
รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดไว้ภายในระยะเวลาที่กำหนด
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 20-22 ตุลาคม 2552 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 26 ตุลาคม 2552
ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน ร้อยละ ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่ หน่วยงานภาครัฐ 30 53.6 หน่วยงานภาคเอกชน 19 33.9 สถาบันการศึกษา 7 12.5 รวม 56 100.0 เพศ ชาย 39 69.6 หญิง 17 30.4 รวม 56 100.0 อายุ 18 ปี — 25 ปี 2 3.6 26 ปี — 35 ปี 27 48.2 36 ปี — 45 ปี 16 28.6 46 ปีขึ้นไป 11 19.6 รวม 56 100.0 การศึกษา ปริญญาตรี 3 5.4 ปริญญาโท 41 73.2 ปริญญาเอก 12 21.4 รวม 56 100.0 ประสบการณ์ทำงาน 1-5 ปี 17 30.4 6-10 ปี 15 26.8 11-15 ปี 6 10.7 16-20 ปี 7 12.5 ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป 11 19.6 รวม 56 100.0
--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--