นักเศรษฐศาสตร์ยกโครงการลดค่าครองชีพ เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจยอดเยี่ยมแห่งปี ส่วนโครงการเช่ารถเมล์ NGV 4,000 คัน เป็นโครงการยอดแย่แห่งปี
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 21 แห่ง เรื่อง “ผลงาน 1 ปีของรัฐบาลในสายตานักเศรษฐศาสตร์” เนื่องในโอกาสที่รัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ทำงานครบ 1 ปี โดยโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่นัก เศรษฐศาสตร์เห็นว่า เป็นโครงการที่ยอดเยี่ยมที่สุด คือโครงการลดค่าครองชีพ (เช่น รถเมล์ฟรี ค่าไฟฟรี ค่าน้ำฟรี) ส่วนโครงการที่ยอดแย่ที่ สุด คือโครงการเช่ารถเมล์ NGV 4,000 คัน พร้อมเสนอแนะให้รัฐบาลดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในปี 2553 โดยการกระตุ้นและส่งเสริมให้ เอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและลงทุนต่อจากรัฐบาล ซึ่งจะเห็นผลก็ต่อเมื่อภาครัฐสามารถแก้ปัญหามาบตาพุดและปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้ โดยเร็วที่สุด
ส่วนประเด็นเงินบาทแข็งค่า (ท่ามกลางการลดค่าเงินดองของเวียดนาม) ที่กำลังอยู่ในความสนใจของสาธารณชนและผู้ประกอบการ โดยมองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้สินค้าไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันนั้น พบว่า นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ร้อยละ 63.9 ไม่เห็นด้วย หาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินนโยบายเงินบาทอ่อนค่าตามคำเรียกร้องของภาคเอกชน เนื่องจาก การแทรกแซงค่าเงินบาทเพื่อให้อ่อนค่านอกจากจะ มีต้นทุนในการแทรกแซงที่สูง เสี่ยงต่อการสูญเสียทุนสำรองโดยเปล่าประโยชน์แล้ว ยังไม่ช่วยให้ขีดความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริงเพิ่มขึ้น
ด้านประเด็นการตื่นตัวในเรื่องการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลกว่าจะกระทบต่อภาคการผลิตและภาคส่งออกหรือไม่นั้น นักเศรษฐศาสตร์ ร้อยละ 47.5 เห็นว่าจะส่งผลกระทบในทางลบต่อภาคการผลิตและส่งออกของไทย
(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
อันดับ 1 (ร้อยละ 28.3) คือ โครงการลดค่าครองชีพ เช่น รถเมล์ฟรี รถไฟชั้น 3 ฟรี ค่าไฟฟ้าฟรี ค่าน้ำฟรี
อันดับ 2 (ร้อยละ 26.7) คือ โครงการเรียนฟรี 15 ปี
อันดับ 3 (ร้อยละ 16.7) คือ โครงการประกันราคาพืชผลการเกษตร
หมายเหตุ: นักเศรษฐศาสตร์เลือกจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 10 โครงการประกอบด้วย โครงการประกันราคาพืชผลการ เกษตร โครงการลดค่าครองชีพ โครงการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โครงการต้นกล้าอาชีพ โครงการเช่ารถเมล์ NGV 4,000 คัน โครงการเช็ค ช่วยชาติ 2,000 บาท โครงการเบี้ยยังชีพคนชรา 500 บาทต่อเดือน โครงการเรียนฟรี 15 ปี โครงการธงฟ้าช่วยประชาชน และโครงการสนับ สนุนการท่องเที่ยว
อันดับ 1 (ร้อยละ 45.8) คือ โครงการเช่ารถเมล์ NGV 4,000 คัน
อันดับ 2 (ร้อยละ 18.6) คือ โครงการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ
อันดับ 3 (ร้อยละ 11.9) คือ โครงการเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท
หมายเหตุ: นักเศรษฐศาสตร์เลือกจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 10 โครงการประกอบด้วย โครงการประกันราคาพืชผลการ เกษตร โครงการลดค่าครองชีพ โครงการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โครงการต้นกล้าอาชีพ โครงการเช่ารถเมล์ NGV 4,000 คัน โครงการเช็ค ช่วยชาติ 2,000 บาท โครงการเบี้ยยังชีพคนชรา 500 บาทต่อเดือน โครงการเรียนฟรี 15 ปี โครงการธงฟ้าช่วยประชาชน และโครงการสนับ สนุนการท่องเที่ยว
ร้อยละ 27.9 เห็นด้วย หากไทยจะดำเนินนโยบายเงินบาทอ่อนค่า
เพราะ เศรษฐกิจของไทยมีการพึ่งพาการส่งออกซึ่งการดำเนินนโยบายดังกล่าวจะช่วยให้เศรษฐกิจโดยรวมขยายตัว เกษตรกรมีรายได้ เพิ่มขึ้น และลดการนำเข้าโดยเฉพาะน้ำมัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์จะเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว แต่ก็เป็นการเห็นด้วยในลักษณะที่ มีเงื่อนไข กล่าวคือ มาตรการเงินบาทอ่อนควรเป็นมาตรการระยะสั้น และต้องเป็นมาตรการที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินของประเทศ คู่แข่ง และควรดำเนินการไปพร้อมๆ กับนโยบายการเพิ่มขีดความสามารถอื่นๆ
ร้อยละ 63.9 ไม่เห็นด้วย หากไทยจะดำเนินนโยบายเงินบาทอ่อนค่า
เนื่องจาก นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าเงินดอลลาร์จะมีทิศทางที่อ่อนค่าอันจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า การแทรกแซงค่าเงินบาทเพื่อ ให้อ่อนค่านอกจากเป็นการฝืนกลไกตลาดแล้วยังมีต้นทุนในการแทรกแซงที่สูง เสี่ยงต่อการสูญเสียทุนสำรองโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นการดูแลให้ค่า เงินมีเสถียรภาพจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าการใช้นโยบายค่าเงินบาทอ่อน(ซึ่งแม้จะช่วยให้การส่งออกดีขึ้นแต่ขณะเดียวกันราคาสินค้านำเข้าก็จะสูงขึ้น ด้วย) อีกทั้งนโยบายค่าเงินบาทอ่อนไม่ใช่คำตอบของการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่เป็นเพียงการอุดหนุนการส่งออก ดังนั้น ผู้ผลิตควร ให้ความสำคัญกับการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริงมากกว่า
ร้อยละ 8.2 ไม่มีความเห็น (ไม่ตอบ/ไม่ทราบ/ไม่มั่นใจ) 4. ความเห็นต่อประเด็น การตื่นตัวเรื่องการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลกจะกระทบต่อภาคการผลิต/ภาคส่งออกของไทยหรือไม่ พบว่า ร้อยละ 19.7 เห็นว่า ไม่กระทบ ต่อภาคการผลิต/ภาคส่งออก ร้อยละ 47.5 เห็นว่า กระทบทางลบ ต่อภาคการผลิต/ภาคส่งออก ร้อยละ 19.7 เห็นว่า กระทบทางบวก ต่อภาคการผลิต/ภาคส่งออก ร้อยละ 13.1 ไม่มีความเห็น (ไม่ตอบ/ไม่ทราบ/ไม่มั่นใจ) 5. ข้อเสนอของนักเศรษฐศาสตร์ต่อรัฐบาลในการดำเนินโนบายทางเศรษฐกิจปี 2553 พบว่า
นักเศรษฐศาสตร์เห็นว่าการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจปี 2553 ควรเน้นนโยบายใน 2 ลักษณะควบคู่กันไป กล่าวคือ
(1) การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการกระตุ้นและส่งเสริมให้เอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและลงทุนต่อจากรัฐบาล ซึ่งจะเห็นผลก็ต่อ เมื่อภาครัฐสามารถแก้ปัญหามาบตาพุดโดยเร่งด่วนเพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน (แต่ต้องสอดคล้องกับแนวทาง Green Economy ที่ชุมชนและ ตลาดต่างประเทศต้องการ) นอกจากนี้ ก็ควรเร่งแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองให้เร็วที่สุด เพราะปัจจุบันปัญหาทางการเมืองจัดเป็นปัจจัยหลักที่ กำลังกัดกร่อนความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทย
(2) ภาครัฐต้องดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปในปี 2553 โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพของการดำเนินโครงการต่างๆ เป็นสำคัญ และต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส ลดการคอร์รัปชั่น รวมทั้งต้องดำเนินนโยบายอยู่บนพื้นฐานของวินัยทางการคลัง โดยนักเศรษฐศาสตร์เสนอให้รัฐ เน้นไปที่โครงการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน ระบบขนส่งสาธารณะ โลจิสติกส์ การเกษตร และการส่งออก เป็นสำคัญ
รายละเอียดในการสำรวจ วัตถุประสงค์
1. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจโดยตรงไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่อง ทางสื่อมวลชน
2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย
1. เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้าน เศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่ เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปี) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของ ประเทศ จำนวน 21 แห่งได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักดัชนีเศรษฐกิจการ ค้ากระทรวงพาณิชย์ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา ประเทศไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารนครหลวงไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารเพื่อการส่ง ออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย บริษัททริสเรทติ้งจำกัด บล.ภัทร บล. เอเซียพลัส คณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยทักษิณ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ และนักวิจัยประจำศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
2. วิธีการรวบรวมข้อมูล
รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนด
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 14-16 ธันวาคม 2552 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 23 ธันวาคม 2552
ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน ร้อยละ ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่ หน่วยงานภาครัฐ 33 54.1 หน่วยงานภาคเอกชน 18 29.5 สถาบันการศึกษา 10 16.4 รวม 61 100.0 เพศ ชาย 35 57.4 หญิง 26 42.6 รวม 61 100.0 อายุ 18 ปี — 25 ปี 2 3.3 26 ปี — 35 ปี 30 49.1 36 ปี — 45 ปี 14 23.0 46 ปีขึ้นไป 15 24.6 รวม 61 100.0 การศึกษา ปริญญาตรี 3 4.9 ปริญญาโท 47 77.1 ปริญญาเอก 11 18.0 รวม 61 100.0 ประสบการณ์ทำงาน 1-5 ปี 16 26.2 6-10 ปี 17 27.9 11-15 ปี 6 9.8 16-20 ปี 7 11.5 ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป 15 24.6 รวม 61 100.0
--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--