นักเศรษฐศาสตร์เชื่อเศรษฐกิจของไทยปี 2553 จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น พร้อมมองประเด็นการลดค่าเงินด่องของประเทศเวียดนามจะกระทบกับการส่งออกของไทยเพียงเล็กน้อย แต่ห่วงต่างชาติย้ายฐานการผลิตจากปัญหาการเมืองและปัญหามาบตาพุด
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 20 แห่ง เรื่อง “ความเห็นประเด็นเศรษฐกิจ เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2010” พบว่า นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ร้อยละ 75.9 เชื่อว่าเศรษฐกิจของไทยปี 2553 จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจริงตามที่หน่วยงานประกาศ พร้อมมองประเด็นการลดค่าเงินด่องของประเทศเวียดนามเป็นครั้งที่ 2 ว่าจะกระทบกับการส่งออกของไทยเพียงเล็กน้อย เนื่องจาก (1) สินค้าของไทยมีคุณภาพดีกว่าสินค้าของเวียดนาม (2) เวียดนามได้ประโยชน์จากค่าเงินก็จริงแต่เสียเปรียบด้านต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่สูง (3) สินค้าที่ต้องแข่งขันกับเวียดนามมีสัดส่วนไม่มากนักเมื่อเทียบกับมูลค่าส่งออกโดยรวม
ทั้งนี้ แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่จะมองภาพเศรษฐกิจไทยในเชิงบวก แต่นักเศรษฐศาสตร์ถึงร้อยละ 48.3 ก็ยังกังวลว่าปัญหาการเมืองของไทยที่ยังดำเนินอยู่และปัญหามาบตาพุดที่ยังหาทางออกไม่ได้จะส่งผลให้นักลงทุนย้ายฐานการผลิตหรือตัดสินใจลงทุนในประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศไทย
(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
ส่วนที่ 1 ประเด็นเศรษฐกิจภายในประเทศ 1. ความเห็นต่อประเด็น การที่รัฐบาลจะย่นระยะเวลาในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้สิ้นสุดเร็วขึ้น
ร้อยละ 43.1 ไม่เห็นด้วย เนื่องจาก
- เศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบางและมีความผันผวนอยู่
- เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวดี มีความไม่แน่นอนสูง ประกอบกับการลงทุนภาคเอกชนยังไม่ฟื้น รัฐจึงควรเป็นผู้นำการลงทุน
- ปัญหาการเมืองของประเทศที่ยังคงมีอยู่ อาจเป็นปัญหาในระยะถัดไป
ร้อยละ 41.4 เห็นด้วย โดยมองว่าช่วงเวลาสิ้นสุดที่เหมาะสมคือ ไตรมาส 3-4 ปี พ.ศ. 2553 ร้อยละ 15.5 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ 2. ความเห็นต่อประเด็นที่ว่า “จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในขณะนี้ พ.ร.บ. กู้เงิน 4 แสนล้านบาท ยังมีความจำเป็นอยู่หรือไม่”
ร้อยละ 37.9 มีความจำเป็นลดลง เนื่องจาก เศรษฐกิจของประเทศเริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
ทำให้รัฐบาลจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น ดังนั้น เงินใน งบประมาณเพียงอย่างเดียวก็น่าจะเพียงพอ
อีกทั้งยังทำให้ระดับหนี้สาธารณะของประเทศไม่อยู่ในระดับสูงเกินไป
ร้อยละ 36.2 ยังจำเป็นอยู่ เนื่องจาก เศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบางอยู่ ทำให้ความจำเป็น
ในการกระตุ้นเศรษฐกิจจึงยังคงมีอยู่ นอกจากนี้ การใช้จ่ายดังกล่าวเป็นการใช้จ่าย
เพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานระยะยาวที่สำคัญให้กับประเทศ เช่น ระบบขนส่ง
ระบบน้ำ เป็นต้น อันจะช่วยสร้าง Potential GDP ให้กับประเทศ
ร้อยละ 12.1 ไม่มีความจำเป็นแล้ว
ร้อยละ 13.8 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
ร้อยละ 82.8 คาดว่าจะไม่กลายเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย
ร้อยละ 12.1 คาดว่าจะกลายเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย
ร้อยละ 5.1 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ 4. ความเห็นต่อประเด็น แนวคิดนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่จะยกเลิกโครงการหวยออนไลน์ ร้อยละ 46.6 เห็นด้วยที่จะยกเลิก เพราะ
- จะมีผู้เล่นมากขึ้น จากการเข้าถึงที่ง่ายและเป็นการเพิ่มช่องทางการพนัน
- ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม (ผลเสียมากกว่าผลดี)
- เป็นการเพิ่มอบายมุข มอมเมาเยาวชน
- ไม่สามารถแก้ปัญหาหวยใต้ดินได้
ร้อยละ 36.2 ไม่เห็นด้วยที่จะยกเลิก เพราะ
- หวยเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมไทยมานาน ไม่มีหวยออนไลน์คนก็ยังเล่นอยู่ดี
- การทำหวยให้ถูกกฎหมายน่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ/สร้างรายได้ให้รัฐ
- การยกเลิกหวยออนไลน์ กลุ่มได้ประโยชน์คือเจ้ามือ/กลุ่มมาเฟีย
- ทำให้เอกชนที่ลงทุนไม่เชื่อมั่นและอาจเกิดการฟ้องร้องรัฐบาล
ร้อยละ 17.2 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ 5. ความเห็นต่อประเด็น การปรับตัวลดลงร้อยละ 5.17 ของตลาดหุ้นไทยในเดือนมกราคม 2553 (และต่อเนื่องถึงเดือนกุมภาพันธ์) เป็นผลมาจากปัจจัยใดมากที่สุด ร้อยละ 43.2 ปัจจัยปัญหาด้านการเมือง ร้อยละ 32.8 ปัจจัยเศรษฐกิจโลก ร้อยละ 8.6 ปรับตัวลดลงตามตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาค ร้อยละ 3.4 ปัจจัยปัญหามาบตาพุด ร้อยละ 3.4 ปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศ ร้อยละ 1.7 อื่นๆ ร้อยละ 6.9 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ 6. ความเห็นต่อประเด็นข้อมูลการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่หลายๆ หน่วยงานมีการปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2553 ร้อยละ 75.9 เชื่อว่าเศรษฐกิจของไทยจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจริงตามที่หน่วยงานประกาศ ร้อยละ 19.0 ไม่เชื่อว่า เศรษฐกิจของไทยจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจริง ร้อยละ 5.1 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
ส่วนที่ 2 ประเด็นเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับต่างประเทศ 7. ความเห็นต่อประเด็น ปัจจัยเสี่ยงใดจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้มากที่สุด
ร้อยละ 39.7 ปัญหาด้านการเงินของสถาบันการเงินที่ยังไม่สิ้นสุด ร้อยละ 36.2 ปัญหาหนี้สาธารณะ ร้อยละ 17.2 อื่นๆ เช่น - การว่างงานที่ยังอยู่ในระดับสูงท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
- ความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกยังมีอยู่
ร้อยละ 1.7 ปัญหาเงินเฟ้อ ร้อยละ 5.2 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ 8. ในปัจจุบันที่เขตการค้าเสรี AFTA เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2553 ที่ผ่านมาและจะเปิดเสรีครบทุกประเทศในปี 2555 ท่ามกลางปัญหาทางการเมืองของไทยที่ยังดำเนินอยู่และปัญหามาบตาพุดที่ยังหาทางออกไม่ได้ จากสถานการณ์ในปัจจุบันดังกล่าว จะส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตหรือตัดสินใจลงทุนในประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศไทยหรือไม่ ร้อยละ 48.3 มีผลกระทบต่อการลงทุนอย่างมาก ร้อยละ 34.5 มีผลกระทบเล็กน้อย ร้อยละ 13.8 ไม่น่าจะมีผลกระทบ เนื่องจากประเทศไทยมีปัจจัยอื่นที่ยังคงดึงดูดนักลงทุนได้ ร้อยละ 3.4 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ 9. ความเห็นต่อประเด็นการลดค่าเงินด่องของประเทศเวียดนามเป็นครั้งที่ 2 ว่าจะกระทบกับการส่งออกของไทยในระดับใด ร้อยละ 69.0 กระทบน้อย เนื่องจาก
- สินค้าของไทยมีคุณภาพดีกว่าสินค้าของเวียดนาม
- เวียดนามได้ประโยชน์จากค่าเงินก็จริงแต่เสียเปรียบด้านต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่สูง
- สินค้าที่ต้องแข่งขันกับเวียดนามมีสัดส่วนไม่มากนักเมื่อเทียบกับมูลค่าส่งออกโดยรวม
ร้อยละ 17.2 กระทบมาก เนื่องจาก
- ประเทศเวียดนามมีโครงสร้างเศรษฐกิจและทรัพยากรที่ คล้ายกับไทยโดยเฉพาะในแง่ของสินค้าส่งออกและตลาดส่งออกจึงอาจทำให้ไทยเสียเปรียบได้
ร้อยละ 8.6 ไม่กระทบ ร้อยละ 5.2 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
รายละเอียดในการสำรวจ วัตถุประสงค์
1. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจโดยตรงไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่องทางสื่อมวลชน
2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย
เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปี) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 20 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารธนชาติ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ บริษัท ทริสเรทติ้ง คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยทักษิณ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยประจำศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 16-23 กุมภาพันธ์ 2553 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 24 กุมภาพันธ์ 2553
ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน ร้อยละ ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่ หน่วยงานภาครัฐ 30 51.7 หน่วยงานภาคเอกชน 19 32.8 สถาบันการศึกษา 9 15.5 รวม 58 100.0 เพศ ชาย 32 55.2 หญิง 26 44.8 รวม 58 100.0 อายุ 18 ปี — 25 ปี 1 1.7 26 ปี — 35 ปี 30 51.8 36 ปี — 45 ปี 13 22.4 46 ปีขึ้นไป 14 24.1 รวม 58 100.0 การศึกษา ปริญญาตรี 4 6.9 ปริญญาโท 43 74.1 ปริญญาเอก 11 19.0 รวม 58 100.0 ประสบการณ์ทำงานรวม 1-5 ปี 13 22.4 6-10 ปี 20 34.6 11-15 ปี 6 10.3 16-20 ปี 5 8.6 ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป 14 24.1 รวม 58 100.0
--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--