นักเศรษฐศาสตร์ 52.7% เห็นว่างบประมาณปี 54 ควรขาดดุลน้อยกว่านี้ พร้อมหนุนรัฐบาลเดินหน้าจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีมรดก เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมในสังคม
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) เผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัย เศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 24 แห่ง เรื่อง “พรบ.งบประมาณปี 54 : หนี้สิน VS รัฐสวัสดิการ” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 5- 9 ส.ค. ที่ผ่านมา พบว่า
นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 85.1 เห็นด้วยที่รัฐบาลจะดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล แต่ในจำนวนนี้ร้อยละ 52.7 เห็นว่าระดับ การขาดดุลต่อ GDP ควรน้อยกว่าร้อยละ 4.1 ต่อ GDP (ซึ่งเป็นระดับที่รัฐบาลเสนอให้สภาฯ พิจารณา) ส่วนความเห็นเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษี นัก เศรษฐศาสตร์ร้อยละ 50 เชื่อว่ารัฐบาลจะจัดเก็บได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่อีกร้อยละ 21.6 เชื่อว่าจะจัดเก็บได้น้อยกว่าเป้าหมายที่วางไว้
ส่วนประเด็นเรื่องระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ปัจจุบันอยู่ในระดับร้อยละ 42.6 ของ GDP นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 58.1 เชื่อว่ายัง เป็นระดับไม่น่าเป็นห่วงและสามารถบริหารจัดการได้ และเมื่อถามความเห็นเกี่ยวกับนโยบายงบประมาณของรัฐบาล นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 35.1 เชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถดำเนินนโยบายงบประมาณแบบสมดุลได้ภายใน 5 ปี (ภายในปี 2558) ขณะที่ร้อยละ 33.8 เชื่อว่าจะสามารถ ดำเนินนโยบายงบประมาณแบบสมดุลได้ภายใน 5-10 ปี (ช่วงปี 2559-2563)
สำหรับประเด็น การวางแผนจัดหารายได้เพื่อรองรับกับสังคมผู้สูงอายุซึ่งเป็นสังคมที่รัฐบาลจะต้องมีรายจ่ายด้านสวัสดิการต่างๆ สำหรับ คนกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้นั้น นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 71.6 มองว่ารัฐบาลยังขาดการเตรียมพร้อมในเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ ยังได้ เสนอแนะแนวทางในการปรับเพิ่มการจัดเก็บรายได้เพื่อรองรับการนำแนวทางรัฐสวัสดิการมาใช้ โดยนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 38.1 สนับสนุนให้ รัฐบาลเดินหน้าจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีมรดก เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม ร้อยละ 20.5 เสนอให้ขยาย ฐานภาษีให้ครอบคลุมทุกคน โดยเฉพาะเกษตรกร คนใช้แรงงาน โดยเสนอให้รัฐนำสวัสดิการที่ประชาชนจะได้รับมาเป็นสิ่งจูงใจให้คนเข้ามาอยู่ใน ระบบภาษีมากขึ้น ร้อยละ 18.2 เสนอให้เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี ระบบการจัดเก็บภาษี รวมไปถึงการใช้จ่ายเงินภาษีที่รัฐบาลควร ดำเนินการโดยคำนึงถึงหลักธรรมาภิบาลไปพร้อมๆ กัน
(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
เห็นด้วย ร้อยละ 85.1 กับการขาดดุลงบประมาณที่ร้อยละ 4.1 ของ GDP ร้อยละ 31.1
แต่ระดับการขาดดุลต่อ GDP ควรน้อยกว่าร้อยละ 4.1 ของ GDP ร้อยละ 52.7
แต่ระดับการขาดดุลต่อ GDP ควรสูงกว่าร้อยละ 4.1 ของ GDP ร้อยละ 1.3
ไม่เห็นด้วย และคิดว่าควรดำเนินนโยบายงบประมาณแบบสมดุล ร้อยละ 10.8 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ ร้อยละ 4.1 2. ความเห็นต่อประเด็น การจัดเก็บรายได้ปีงบประมาณ 2554 ว่ารัฐบาลจะสามารถจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้าหมายหรือไม่ (เป้าหมายการจัดเก็บรายได้ปี 2554 อยู่ที่ 1,958,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 53 ร้อยละ 20.5 (ที่มา: รายงาน งบประมาณโดยสังเขป ประจำปีงบประมาณ 2554, สำนักงบประมาณ)) เห็นว่าจะจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ร้อยละ 50.0 เห็นว่าจะจัดเก็บรายได้ได้มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ร้อยละ 18.9 เห็นว่าจะจัดเก็บรายได้ได้น้อยกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ร้อยละ 21.6 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ ร้อยละ 9.5 3. ความเห็นต่อประเด็น ระดับหนี้สาธารณะในปัจจุบันที่ระดับร้อยละ 42.59 ของจีดีพี (ข้อมูล ณ พ.ค. 53) น่าเป็นห่วง ร้อยละ 35.1 ไม่น่าเป็นห่วง และสามารถบริหารจัดการได้ ร้อยละ 58.1 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ ร้อยละ 6.8 4. คาดการณ์นโยบายงบประมาณรัฐบาลว่ารัฐบาลจะสามารถใช้นโยบายงบประมาณแบบสมดุลได้ในปีใด ภายใน 5 ปี (ภายในปี 2558) ร้อยละ 35.1 ภายใน 5-10 ปี (ช่วงปี 2559-2563) ร้อยละ 33.8 นานกว่า 10 ปี (หลังปี 2563) ร้อยละ 9.5 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ ร้อยละ 21.6 5. ความเห็นต่อประเด็น ความพร้อมของรัฐบาลในการวางแผนจัดหารายได้เพื่อรองรับกับสังคมผู้สูงอายุซึ่งเป็น สังคมที่รัฐจะต้องมีรายจ่ายด้านสวัสดิการต่างๆ สำหรับคนกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น (ในอนาคตอันใกล้) พร้อมแล้ว ร้อยละ 14.9 ยังไม่พร้อม ร้อยละ 71.6 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ ร้อยละ 13.5 6. ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐเกี่ยวกับแนวทางในการปรับเพิ่มการจัดเก็บรายได้เพื่อรองรับการนำแนวทางรัฐสวัสดิการมาใช้ (คำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุคำตอบเองโดยอิสระ)
สนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้าจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ภาษีจากที่ดินว่างเปล่า) ภาษีมรดก เพื่อลดความเหลื่อมล้ำสร้างความเป็นธรรมแก่สังคม
ร้อยละ 31.8
ขยายฐานภาษีให้ทุกคน โดยเฉพาะเกษตรกร คนใช้แรงงาน โดยเสนอให้รัฐนำสวัสดิการที่ประชาชนจะได้รับมา เป็นสิ่งจูงใจให้คนเข้ามาอยู่ในระบบภาษีมากขึ้น เช่นเดียวกับองค์กรธุรกิจที่นักเศรษฐศาสตร์มองว่าควรที่จะชักจูงให้เข้าสู่ระบบ
ร้อยละ 20.5
เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี ระบบการจัดเก็บภาษี รวมไปถึงการใช้จ่ายเงินภาษีของรัฐบาลที่ควรดำเนิน โดยคำนึงถึงหลักธรรมาภิบาลไปพร้อมๆ กัน
ร้อยละ 18.2
กระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนกลไกให้ธุรกิจภาคเอกชนมีกำไรเพิ่มขึ้น(เช่น การลงทุน ในระบบโครงสร้างพื้นฐาน การลดต้นทุนการขนส่ง เป็นต้น) โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs
ร้อยละ 6.8
เพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10
ร้อยละ 6.8
อื่นๆ เช่น เพิ่มระดับการออมภาคครัวเรือน การประกันสังคมนอกระบบ การปรับโครงสร้างภาษี เป็นต้น ร้อยละ 15.9
หมายเหตุ: รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้ เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) โทร. 02-350-3500 ต่อ 1776 E-mail: bangkokpoll@bu.ac.th Website: http://research.bu.ac.th Twitter : http://twitter.com/bangkok_poll รายละเอียดในการสำรวจ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจโดยตรงไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่อง ทางสื่อมวลชน 2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปี) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 24 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการ คลัง สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารนครหลวงไทย ธนาคารเพื่อการส่งออก และนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย บริษัทหลักทรัพย์ภัทร บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส บริษัทหลักทรัพย์เคจี ไอ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลา นครินทร์ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยประจำศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิธีการรวบรวมข้อมูล รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 5-9 สิงหาคม 2553 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 17 สิงหาคม 2553 ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน ร้อยละ ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่ หน่วยงานภาครัฐ 38 51.4 หน่วยงานภาคเอกชน 22 29.7 สถาบันการศึกษา 14 18.9 รวม 74 100.0 เพศ ชาย 42 56.8 หญิง 32 43.2 รวม 74 100.0 อายุ 18 ปี — 25 ปี 1 1.4 26 ปี — 35 ปี 36 48.6 36 ปี — 45 ปี 20 27.0 46 ปีขึ้นไป 17 23.0 รวม 74 100.0 การศึกษา ปริญญาตรี 3 4.1 ปริญญาโท 57 77.0 ปริญญาเอก 14 18.9 รวม 74 100.0 ประสบการณ์ทำงานรวม 1-5 ปี 18 24.3 6-10 ปี 21 28.4 11-15 ปี 9 12.2 16-20 ปี 8 10.8 ตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป 18 24.3 รวม 74 100.0 --ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์-- -พห-