ถอดเกร็ดเศรษฐกิจมังกร: พัฒนาการของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและนโยบายของจีน (*1)

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday December 23, 2010 11:52 —ธนาคารแห่งประเทศไทย

ถอดเกร็ดเศรษฐกิจมังกร: พัฒนาการของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและนโยบายของจีน(*1)

(Understanding Chinese Economic Transformation)

มนัสชัย จึงตระกูล(*2)

I. บทนำ

ปัจจุบันความสำคัญของเศรษฐกิจจีนต่อเศรษฐกิจโลกเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก หากมองย้อนประวัติศาสตร์การปฏิรูปเศรษฐกิจของจีนที่เริ่มต้นในปี 1978 นับเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจจีน ซึ่งเคยยากจนมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก โดยประชากรมีรายได้ต่อหัวเฉลี่ยเพียง 313 ดอลลาร์ สรอ. ต่อปี สามารถขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง จนขนาดของเศรษฐกิจปรับจากอันดับ 7 เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ จนรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นถึง 11 เท่าภายในช่วง 3 ทศวรรษ

บทความนี้เน้นการปูพื้นฐานเกี่ยวกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจการเงิน และการดำเนินนโยบายของประเทศจีนในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับภาพรวมของเศรษฐกิจจีนพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่สำคัญต่างๆ แนวคิดในการปฏิรูปเศรษฐกิจ รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นการศึกษาวิเคราะห์เศรษฐกิจจีนในประเด็นอื่นๆ ในเชิงลึกต่อไป

II. พัฒนาการของเศรษฐกิจจีน

พัฒนาการของเศรษฐกิจจีนสามารถแบ่งเป็น 3 ช่วงสำคัญ คือ 1) ก่อนการปฏิรูป (1953 — 1977) 2) ช่วงปฏิรูป (1978 - 2000) และ 3) หลังการปฏิรูป (2001 — ปัจจุบัน) โดยแต่ละช่วงมีสาระสำคัญ

(*1) ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

(*2) เศรษฐกร ฝ่ายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สายนโยบายการเงิน

II.1 เศรษฐกิจจีนก่อนการปฏิรูป (1953 - 1977)

การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของจีนเริ่มต้นภายหลังสงครามกลางเมืองเมื่อปี 1949 ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับชัยชนะเหนือพรรคก๊กมินตั๋งที่เป็นฝ่ายรัฐบาลในขณะนั้น ส่งผลให้นายเหมา เจ๋อ ตุง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1949 โดยเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐประชาชนจีน และเปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตยเป็นระบอบสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์

จีนเริ่มพัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ และมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี ฉบับแรกเมื่อปี 1953 ซึ่งมีต้นแบบจากระบบเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตที่รัฐเป็นเจ้าของกิจการ และทำหน้าที่จัดสรรปัจจัยการผลิตทุกประเภท การพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้แผนพัฒนาฉบับแรกนี้เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมหนักโดยเฉพาะเหล็กเป็นหลัก โดยในระยะแรกจีนได้รับความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตทั้งด้านเทคโนโลยีและเงินทุน

เศรษฐกิจจีนในระยะแรกมีความผันผวนค่อนข้างมาก เนื่องจากประสบปัญหาการขาดแคลนอาหารบ่อยครั้งจากการที่ผู้ผลิตขาดแรงจูงใจในการผลิตและการเร่งรัดพัฒนาภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี ฉบับที่ 2 (1958 - 1962) ประธานาธิบดีเหมา เจ๋อ ตุง ได้ประกาศนโยบาย “ก้าว กระโดดไกล (The Great Leap Forward)” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งรัดการพัฒนาเพื่อให้จีนเป็นประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัย ในช่วงเวลาดังกล่าวรัฐบาลตั้งเป้าเพิ่มผลผลิตเหล็กให้มากกว่าเดิม 2 เท่า ดังนั้นจึงมีการเกณฑ์แรงงานจากภาคเกษตรเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรไม่เพียงพอกับความต้องการ(*3) เศรษฐกิจถดถอยมาก ทำให้รัฐบาลต้องปรับนโยบายเป็นมุ่งผลผลิตทางการเกษตรในปี 1961(*4) ภายหลังการปรับนโยบาย ผลผลิตอาหารและการขยายตัวทางเศรษฐกิจเริ่มปรับเข้าสู่ภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในช่วง “ปฏิวัติวัฒนธรรม (Cultural Revolution: 1966 - 1976)”(*5) ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนไม่ราบรื่นนัก

II.2 เศรษฐกิจจีนช่วงปฏิรูป (1978 - 2000)

ความล้มเหลวของนโยบาย “ก้าวกระโดดไกล” และ “การปฏิวัติวัฒนธรรม” ทำให้ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลลดลง และความสำเร็จของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเอเชียอื่นๆ ที่ใช้ระบบเศรษฐกิจตลาด เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์และฮ่องกง เป็นตัวอย่างให้รัฐบาลและประชาชนจีนเห็นว่าระบบเศรษฐกิจแบบตลาดมีประสิทธิภาพกว่าระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์(*6)

(*3) ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1959 — 1961 ทำให้ผลผลิตอาหารขาดแคลนเพิ่มขึ้น มีการประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตจากการขาดแคลนอาหารประมาณ 14 — 30 ล้านคน (Heilig, 2009)

(*4) รัฐบาลแก้ปัญหาโดยการระงับการส่งออกสินค้าเกษตร และใช้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศนำเข้าอาหารและปุ๋ยจากต่างประเทศ

(*5) ความล้มเหลวของนโยบาย “ก้าวกระโดดไกล” ทำให้ความนิยมในตัวประธานาธิบดีเหมา เจ๋อ ตุง ลดลงมาก ดังนั้นเพื่อให้ได้รับความนิยมกลับมา ประธานาธิบดีเหมาจึงประกาศ “ปฏิวัติวัฒนธรรม” โน้มน้าวเยาวชนให้เข้าร่วมใน “กองทัพพิทักษ์แดง (Red Guards)” เพื่อเป็นเครื่องมือในการลงโทษผู้ที่ไม่เห็นด้วยหรือผู้ที่มีแนวคิดเบี่ยงเบนจากระบบสังคมนิยม ซึ่งได้สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนจีนเป็นอย่างมาก (Chow, 2007 หน้าที่ 28)

(*6) ความแตกต่างของระดับการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์และประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดที่เห็นได้ชัดเจนในช่วงเวลานั้น เช่น ความแตกต่างระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ และความแตกต่างระหว่างประเทศในยุโรปตะวันออกและยุโรปตะวันตก

เมื่อการเมืองเริ่มมีเสถียรภาพภายหลังการเสียชีวิตของประธานาธิบดีเหมา เจ๋อ ตุง นายเติ้ง เสี่ยวผิงผู้นำจีนรุ่นต่อมาได้เริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจจากระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดตามแนวนโยบาย “สี่ทันสมัย (Four Modernizations)”(*7) ควบคู่กับการเปิดประเทศ (Open Door Policy) โดยเริ่มปฏิรูปในภาคเกษตร เพื่อแก้ปัญหาอาหารขาดแคลนซึ่งเป็นปัญหาหลักในขณะนั้น ต่อมาจึงเริ่มปฏิรูปภาคเศรษฐกิจสำคัญอื่น โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. การปฏิรูปภาคเกษตร

ก่อนการปฏิรูปรัฐบาลกำหนดให้เกษตรกรต้องขายผลผลิตทั้งหมดให้กับรัฐบาลภายใต้ระบบนารวม (Commune System) ในราคาที่ทางการควบคุมซึ่งกำหนดไว้ต่ำมาก ทำให้เกษตรกรขาดแรงจูงใจในการผลิตและก่อให้เกิดปัญหาอาหารขาดแคลน ดังนั้น รัฐบาลจึงได้ยกเลิกระบบดังกล่าว และเปลี่ยนมาใช้ระบบ “ความรับผิดชอบของครัวเรือน (The Household Responsibility System)” แทนโดยเริ่มจากการมอบสิทธิการใช้ที่ดินให้แก่เกษตรกรภายใต้สัญญาเช่าระยะยาว และกำหนดให้เกษตรกรขายผลผลิตจำนวนหนึ่งให้กับรัฐบาลในราคาควบคุมเป็นค่าเช่าที่ดิน(*8) ส่วนผลผลิตที่เหลือเกษตรกรสามารถเก็บไว้บริโภคเองหรือนำไปขายต่อได้ตามราคาตลาดเพื่อเป็นการเพิ่มแรงจูงใจให้แก่เกษตรกร นอกจากนี้ ยังยกเลิกการจัดเก็บภาษีสินค้าเกษตรและอนุญาตให้มีการทำปศุสัตว์ได้(*9) ระบบดังกล่าวประสบความสำเร็จมากเพราะทำให้ผลผลิตอาหารเพิ่มขึ้นมากและสามารถแก้ปัญหาอาหารขาดแคลนได้ นอกจากนี้ ยังช่วยให้รายได้ของประชาชนโดยเฉพาะในชนบทเพิ่มขึ้นมาก

ตารางที่ 1 ผลผลิตการเกษตรและรายได้ของประชากรในชนบทจีน

                                 1978       1984  1984/1978(%)
Grain (Mega ton)                304.8      407.3       134
Cotton (Mega ton)                 2.2        6.3       286
Oil-bearing crops (Mega ton)      5.2       11.9       229
Fruit (Mega ton)                 23.8       47.8       201
Rural income per capita (RMB)     134        355       265
Rural poverty (Million people)    250        128        51
ที่มา: Wang (2008)

          (*7)  นโยบาย “สี่ทันสมัย” หมายถึง ความทันสมัยในด้าน 1) เกษตรกรรม 2) อุตสาหกรรม 3) การทหาร และ 4) วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยนายกรัฐมนตรี โจว เอินไหล เป็นผู้ริเริ่มนโยบายนี้เมื่อปี 1964 แต่ต้องยกเลิกไปเนื่องจากเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติวัฒนธรรม (Chow, 2007 หน้าที่ 47)
          (*8) ปัจจุบันรัฐบาลยกเลิกการเก็บค่าเช่าที่ดินจากผลผลิต และเกษตรกรมีสิทธิขายหรือโอนสิทธิการใช้ที่ดินให้กับบุคคลอื่นได้ อย่างไรก็ตามกรรมสิทธิ์ในที่ดินยังคงเป็นของรัฐบาล (Chow, 2007 หน้าที่ 50) และ (Wang, 2008 หน้าที่ 158)
          (*9) ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมรัฐบาลห้ามประชาชนทำปศุสัตว์เพราะรัฐบาลเห็นว่าเป็นกิจกรรมแบบทุนนิยม (Chow, 2007 หน้าที่ 49)

   2. การปฏิรูประบบราคา
          การปฏิรูประบบราคามีความสำคัญมากต่อการเปลี่ยนแปลงจากระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ไปเป็นระบบเศรษฐกิจแบบตลาด เพราะทำให้ผู้ผลิตมีแรงจูงใจในการผลิต ก่อให้เกิดการแข่งขันและพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิต ตลอดจนทำให้การจัดสรรทรัพยากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
          ดังนั้น จีนจึงได้ให้ความสำคัญกับการปฏิรูประบบราคาโดยเริ่มปฏิรูประบบราคาในภาคเกษตรก่อน โดยในช่วงปี 1978 — 1984 รัฐบาลปรับขึ้นราคารับซื้อผลผลิตสินค้าเกษตร (ราคาควบคุม) ร้อยละ 15-50 (Tao and Yuanfang, 2008 หน้าที่ 16) และเริ่มนำระบบสองราคา (Dual-Price System) มาใช้ซึ่งประกอบด้วย 1) ราคาควบคุมของทางการ และ 2) ราคาตลาด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มแรงจูงใจของผู้ผลิต และเพื่อป้องกันไม่ให้ระบบเศรษฐกิจได้รับผลกระทบมากเกินไป เพราะหากยกเลิกระบบควบคุมราคาทันที อาจทำให้เกิดปัญหาอัตราเงินเฟ้อสูง ดังเช่นที่เกิดขึ้นในอเมริกาใต้ ยุโรปตะวันออกและรัสเซีย

ตารางที่ 2 สินค้าที่ถูกควบคุมราคา (ร้อยละของจำนวนสินค้าทั้งหมด)

                                    1978   1997    2005
Controlled price and guided price    >90   15.5     7.2
Market price

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ