รายงานผลการสารวจภาวะการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน
ในไตรมาสที่ 4 ปี 2553 และแนวโน้มในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2554*
ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2553 ความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และสะสมสินค้าคงคลังตามความต้องการของภาคธุรกิจ สำหรับภาคครัวเรือนความต้องการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเป็นสำคัญจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและเงื่อนไขการกู้ที่เอื้ออำนวย ส่วนความต้องการสินเชื่อบัตรเครดิต *(1) และสินเชื่อภาคครัวเรือนอื่นๆ เพิ่มขึ้น จากความต้องการจับจ่ายใช้สอยสินค้าจำเป็นทั่วไปและสินค้าคงทน ตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสนี้
มาตรฐานการให้สินเชื่อแก่ภาคธุรกิจในไตรมาสที่ 4 ของปี 2553 โดยรวมไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อน สถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการให้สินเชื่อมากขึ้นจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจ สภาพอุตสาหกรรม และธุรกิจ แต่ขณะเดียวกันยังจำเป็นต้องผ่อนคลาย มาตรฐานการให้สินเชื่อในระดับหนึ่ง เนื่องจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากสถาบันการเงินด้วยกันเองและทางเลือกในการระดมทุนของธุรกิจ โดยเฉพาะจากตลาดตราสารหนี้ ทางด้านมาตรฐานการให้สินเชื่อภาคครัวเรือนทุกประเภทไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนเช่นกัน
สำหรับแนวโน้มภาวะสินเชื่อในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 คาดว่าความต้องการสินเชื่อภาคธุรกิจทั้งจากธุรกิจขนาดใหญ่และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่วนความต้องการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจะลดลงเล็กน้อย ความต้องการสินเชื่อบัตรเครดิตใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน แต่สินเชื่อครัวเรือนอื่นๆ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเนื่องจากความเชื่อมั่นที่ปรับดีขึ้นของผู้บริโภค สำหรับมาตรฐานการให้สินเชื่อ คาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงมาตรฐานการให้สินเชื่อจากไตรมาสก่อนสำหรับสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อครัวเรือนอื่นๆ แต่จะเพิ่มความเข้มงวดขึ้นเล็กน้อยสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจากความกังวลด้านคุณภาพของสินเชื่อ ขณะที่จะผ่อนคลายลงสำหรับสินเชื่อบัตรเครดิต
** ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เริ่มจัดทาแบบสารวจภาวะและแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อรายไตรมาส (BOT’s Survey on Credit Conditions) ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2550 ซึ่งเป็นการสารวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินต่างๆ ที่ดูแลงานด้าน สินเชื่อ สาหรับรอบการสารวจเดือนตุลาคม 2553 ได้รับความร่วมมือในการตอบกลับแบบสอบถามจากสถาบันการเงินรวมทั้งสิ้นจานวน 22 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารพาณิชย์ไทย 14 แห่ง สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ 5 แห่ง และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions: SFIs) 3 แห่ง ครอบคลุมสินเชื่อมากกว่าร้อยละ 78 ของสินเชื่อทั้งระบบการคานวนค่า Diffusion Index (DI) จัดทาโดยการถ่วงน้าหนักคาตอบ 5 ระดับตามสัดส่วนสินเชื่อในแต่ละประเภทของสถาบันการเงินและหาผลรวมสุทธิของสัดส่วนที่ได้ถ่วงน้าหนักแล้ว โดยถ้าค่า DI = -100 หมายถึงลดลงมากหรือเข้มงวดมาก, DI = 0 หมายถึงไม่เปลี่ยนแปลง และ DI = 100 หมายถึงเพิ่มขึ้นมากหรือผ่อนคลายมาก
*(1) ผลการสารวจนี้ไม่รวม Non-banks หรือสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร แต่ประกอบธุรกิจเป็นตัวกลางทางการเงินและมีการให้บริการด้านสินเชื่อ เช่น บริษัท บัตรกรุงไทย จากัด (มหาชน) (KTC), บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จากัด, บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จากัด (มหาชน), บริษัท อีซี่ บาย จากัด (มหาชน), บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จากัด เป็นต้น
ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2553 ความต้องการสินเชื่อภาคธุรกิจทุกประเภทเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนจากการขอสินเชื่อเพื่อการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Fixed investment) เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน (Working capital) และเพื่อการสะสมสินค้าคงคลัง (Inventory build-up) โดยภาคธุรกิจที่ต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นอยู่ในภาคตัวกลางทางการเงิน ภาคการผลิตโดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ยางและผลิตภัณฑ์พลาสติก และภาคการค้าส่งและปลีก เช่นเดียวกับไตรมาสก่อน
อย่างไรก็ดี ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความสามารถในการระดมทุนยังคงใช้แหล่งเงินทุนอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น การออกตราสารหนี้และการใช้เงินทุนภายในของบริษัท ขณะที่ธุรกิจขนาดกลางและย่อมพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินเป็นหลัก โดยมีอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนความต้องการสินเชื่อ เช่นเดียวกับไตรมาสก่อน
มาตรฐานการให้สินเชื่อแก่ภาคธุรกิจของสถาบันการเงินในไตรมาสที่ 4 ของปี 2553โดยรวมไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อน แม้ว่ามีปัจจัยที่สถาบันการเงินพิจารณาเพิ่มความเข้มงวดในมาตรฐานการให้สินเชื่อ ได้แก่ ความกังวล (Risk perception) ต่อภาวะเศรษฐกิจทั่วไป สภาพอุตสาหกรรมและธุรกิจ และด้านสภาพคล่องมีสัญญาณตึงตัวขึ้นบ้าง แต่ขณะเดียวกัน หากเข้มงวดเกินไปอาจเสียลูกค้าได้ เนื่องจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นทั้งจากสถาบันการเงินด้วยกันเอง และทางเลือกในการระดมทุนของธุรกิจ โดยเฉพาะจากตลาดตราสารหนี้และตลาดทุน
อย่างไรก็ดี แม้มาตรฐานการให้สินเชื่อโดยรวมไม่เปลี่ยนแปลง แต่สถาบันการเงินกำหนดเงื่อนไขการให้สินเชื่อที่แปรผันตามความเสี่ยง กล่าวคือ ปรับ margin ให้กว้างขึ้นและลดวงเงินสินเชื่อสาหรับลูกค้าที่มีความเสี่ยงไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใด ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สถาบันการเงินได้เพิ่มอัตราค่าธรรมเนียมที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-interest charges) เพิ่มหลักประกันและเงื่อนไขประกอบสัญญาเงินกู้ ในทางตรงกันข้าม สถาบันการเงินผ่อนคลายเงื่อนไขการให้สินเชื่อโดยปรับ margin ให้แคบลงสำหรับลูกค้าจัดชั้นปกติไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใด เพื่อรักษาลูกค้าภายใต้ภาวะการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจขนาดใหญ่สถาบันการเงินยังลดค่าธรรมเนียมอื่นที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย
แนวโน้มภาวะสินเชื่อภาคธุรกิจในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 สถาบันการเงินคาดว่าความต้องการสินเชื่อภาคธุรกิจทุกประเภทจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และคาดว่ามาตรฐานการให้สินเชื่อจะใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนสาหรับธุรกิจขนาดใหญ่ ขณะที่เข้มงวดขึ้นเล็กน้อยสาหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจากความกังวลด้านคุณภาพของสินเชื่อ
ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2553 ความต้องการสินเชื่อภาคครัวเรือนทุกประเภทเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยความต้องการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วนความต้องการสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อภาคครัวเรือนอื่นๆ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า จากความต้องการจับจ่ายใช้สอยสินค้าจำเป็นทั่วไปและสินค้าคงทนตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสนี้
มาตรฐานการให้สินเชื่อครัวเรื่อนทุกประเภทในไตรมาสที่ 4 ของปี 2553 โดยรวมไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อน แม้ว่าสถาบันการเงินมีปัจจัยให้เพิ่มความเข้มงวดในการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อครัวเรือนอื่นๆ จากความกังวลต่อแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ ภาวะเศรษฐกิจทั่วไป ความน่าเชื่อถือของผู้กู้ และหลักทรัพย์ค่าประกัน แต่ขณะเดียวกัน การแข่งขันที่สูงขึ้นจากสถาบันการเงินด้วยกันเองส่งผลให้ไม่สามารถเข้มงวดได้มากนัก สำหรับสินเชื่อบัตรเครดิต มาตรฐานการให้สินเชื่อยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนแม้สถาบันการเงินเห็นว่ามีปัจจัยที่เอื้อต่อการผ่อนคลายเพิ่มขึ้นได้จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดีต่อเนื่อง
แนวโน้มภาวะสินเชื่อภาคครัวเรือนในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 สถาบันการเงินคาดว่าความต้องการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจะลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ความต้องการสินเชื่อบัตรเครดิตจะทรงตัวและสินเชื่อครัวเรือนอื่นๆ จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นที่ปรับดีขึ้นของผู้บริโภค โดยสถาบันการเงินคาดว่ามาตรฐานการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อภาคครัวเรือนอื่นๆ จะไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่จะผ่อนคลายเล็กน้อยสาหรับสินเชื่อบัตรเครดิต
ทีมวิเคราะห์สนเทศธุรกิจ
(Economic Intelligence Team)
ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ
สายนโยบายการเงิน
มกราคม 2554
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้จัดทำแบบสำรวจภาวะและแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อ (Credit Conditions Survey) ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินที่ดูแลงานด้านสินเชื่อ โดยสำรวจเป็นประจำทุกไตรมาส เพื่อสร้างความเข้าใจในการวิเคราะห์สินเชื่อที่ครบถ้วนและลึกมากยิ่งขึ้น คำถามในแบบสำรวจครอบคลุมทั้งด้านอุปทานของสินเชื่ออุปสงค์ของสินเชื่อและแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในไตรมาสข้างหน้า
การสำรวจนี้ เริ่มสำรวจครั้งแรกในเดือนมกราคม 2551 ธปท.ได้ขอความร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์ไทย สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จานวน 25 แห่ง ซึ่งครอบคลุมสินเชื่อมากกว่าร้อยละ 90 ของสินเชื่อทั้งระบบรายงานฉบับนี้สามารถดูได้จาก http://www.bot.or.th/Thai/EconomicConditions/Thai/BLP/Pages/index.aspx
Disclaimer: รายงานฉบับนี้ไม่จาเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย และไม่ได้สะท้อนความเห็นของสถาบันการเงินใดสถาบันหนึ่ง คณะกรรมการนโยบายการเงินใช้ข้อมูลนี้เพื่อประกอบกับข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ ในการวิเคราะห์และประเมินภาวะเศรษฐกิจ
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: นางสาววรางคณา อิ่มอุดม ผู้บริหารทีม ทีมวิเคราะห์สนเทศธุรกิจ โทร. 0-2283-6131
นางสาวธัญลักษณ์ วิบูลย์ศรีสัจจะ เศรษฐกร ทีมวิเคราะห์สนเทศธุรกิจ โทร. 0-2283-5646
ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ สายนโยบายการเงิน
ที่อยู่ 273 ถนนสามเสน เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
เบอร์แฟกซ์ 0-2282-5082
เวบไซต์ธนาคาร www.bot.or.th
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย