ฉบับที่ 8/2554
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยแถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อรวมทั้งแนวโน้มในระยะต่อไปเพื่อกำหนดแนวนโยบายการเงินที่เหมาะสม โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
เศรษฐกิจโลกยังมีแรงขับเคลื่อนต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นจากการประชุมครั้งก่อนตามการบริโภคที่เพิ่มขึ้น และเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของการจ้างงานภาคเอกชน และอัตราการว่างงานที่ลดลง เศรษฐกิจยุโรปขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป จากเศรษฐกิจหลักที่ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ สำหรับเศรษฐกิจเอเชียยังขยายตัวแข็งแกร่งจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่ดีต่อเนื่องคณะกรรมการฯ คาดว่า หากสถานการณ์ในตะวันออกกลางไม่ลุกลามจนกระทบอุปทานน้ำมันในตลาดโลกราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่เร่งขึ้นในระยะนี้ ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องของการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับเศรษฐกิจไทย ตัวเลขล่าสุดชี้ว่ายังขยายตัวดี และมีแนวโน้มจะขยายตัวได้ต่อเนื่องจากการส่งออกที่ขยายตัวดี การบริโภคภาคเอกชนที่ยังได้รับแรงสนับสนุนจากรายได้เกษตรกรและภาวะการจ้างงานที่ยังดีต่อเนื่อง การลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวตามภาคการผลิตและความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น รวมทั้งการใช้จ่ายของภาครัฐที่ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ จากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างเข้มแข็งดังกล่าวคณะกรรมการฯ จึงประเมินว่า ผลกระทบของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในขณะนี้ คงไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย
ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับสูงขึ้น ส่งผลให้แรงกดดันต่อเงินเฟ้อมีมากขึ้นเมื่อเทียบกับการประชุมครั้งก่อน แต่คณะกรรมการฯ ประเมินว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไปยังมีความเหมาะสมที่จะดูแลการคาดการณ์เงินเฟ้อไม่ให้เร่งขึ้น และลดโอกาสที่จะเกิดความไม่สมดุลในระบบการเงินได้ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 2.25 เป็นร้อยละ 2.50 ต่อปี โดยให้มีผลทันที แต่จะติดตามแนวโน้มแรงกดดันเงินเฟ้อในระยะต่อไปอย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะดำเนินนโยบายอย่างเหมาะสม
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อมูลเพิ่มเติม : ทีมกลยุทธ์นโยบายการเงิน 1 โทร: 0-2283-5621, 0-2283-6186
e-mail: MonetaryPolicyStrategyTeam@bot.or.th
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย