ฉบับที่ 11/2554
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยแถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อรวมทั้งแนวโน้มในระยะต่อไปเพื่อกำหนดแนวนโยบายการเงินที่เหมาะสม โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
เศรษฐกิจโลกขยายตัวในเกณฑ์ดี โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวต่อเนื่องจากการจ้างงานที่ดีขึ้นซึ่งช่วยสนับสนุนการบริโภค เศรษฐกิจยุโรปยังขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังมีความเสี่ยงด้านปัญหาหนี้สาธารณะ สำหรับเศรษฐกิจเอเชียขยายตัวแข็งแกร่ง แม้ภัยพิบัติในญี่ปุ่นจะมีผลกระทบบ้างผ่านความเชื่อมโยงการผลิตในภูมิภาค แนวโน้มเงินเฟ้อในประเทศต่างๆ สูงขึ้นจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีและราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น ทำให้หลายประเทศดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นเพื่อดูแลเงินเฟ้อ
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกขยายตัวได้ดี จากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ โดยสินเชื่อภาคธุรกิจเร่งตัวต่อเนื่องสอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ ภัยพิบัติในญี่ปุ่นคาดว่าจะส่งผลให้การผลิตและการส่งออกของอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ชะลอตัวลงบ้าง ขณะที่ผลกระทบจากอุทกภัยในภาคใต้อยู่ในวงจำกัด ในระยะต่อไปคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะยังมีแรงส่งที่ดี การผลิตจะเร่งขึ้นได้ภายหลังปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบจากญี่ปุ่นคลี่คลายลงและสามารถตอบสนองอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่มีอยู่ต่อเนื่อง
แรงกดดันด้านเงินเฟ้อมีมากขึ้นจากการขยายตัวต่อเนื่องของอุปสงค์ ทำให้ผู้ประกอบการสามารถส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้าได้ง่ายขึ้น สอดคล้องกับการคาดการณ์เงินเฟ้อที่ยังปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง และการทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าที่อยู่ภายใต้การควบคุมของทางการ จะเป็นปัจจัยเพิ่มเติมให้แรงกดดันเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูงในระยะต่อไป
คณะกรรมการฯ จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 2.50 เป็นร้อยละ 2.75 ต่อปี ด้วยมติ 6 ต่อ 1 เสียง โดยให้มีผลทันที และจะติดตามแนวโน้มแรงกดดันเงินเฟ้อในระยะต่อไปอย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะดำเนินนโยบายอย่างเหมาะสม
ข้อมูลเพิ่มเติม : ทีมกลยุทธ์นโยบายการเงิน 1 โทร: 0-2283-5621, 0-2283-6186
e-mail: MonetaryPolicyStrategyTeam@bot.or.th
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย