บทวิเคราะห์: ราคายางต่ำจริงหรือ

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 19, 2012 13:58 —ธนาคารแห่งประเทศไทย

ถนัด ตันสกุล

เศรษฐกรอาวุโส ส่วนเศรษฐกิจภาค

สานักงานภาคใต้ ธนาคารแห่งประเทศไทย

ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย โดยในปี 2554 มีมูลค่าการส่งออกเกือบ 4 แสนล้านบาท เป็นอันดับหนึ่งของสินค้าเกษตรและเป็นอันดับสามของสินค้าส่งออกของไทย ปัจจุบันยางพาราได้ขยายพื้นที่ปลูกไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ปี 2554 ราคายางพาราได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากกิโลกรัมละ 180 บาท มาอยู่ที่กิโลกรัมละ 90 บาทในช่วงสิ้นปี ทำให้ในช่วงต้นปี 2555 เกษตรกรชาวสวนยางออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2555 รัฐบาลได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือออกมา แต่ประเด็นคำถามที่ยังคงมีอยู่คือ ราคายางพาราต่ำจริงหรือไม่และมาตรการดังกล่าวจะมีผลต่อตลาดยางพาราอย่างไร

เป็นที่ทราบกันดีว่า ปัจจัยพื้นฐานที่กำหนดราคายางพาราคือความต้องการใช้(อุปสงค์) และปริมาณผลผลิต(อุปทาน) โดยปริมาณการใช้ยางของโลกจะขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ โดยปัญหาเศรษฐกิจ ของสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาส่งผลให้ปริมาณการใช้ยางในปี 2554 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.4 ขณะที่ปริมาณผลผลิตยางของโลกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5.5 ตามการขยายพื้นที่ปลูกในแหล่งผลิตที่สำคัญ

สำหรับปัจจัยอื่นๆ ที่กระทบต่อราคายางพารา ได้แก่ (1) การซื้อขายยางในตลาดล่วงหน้าโตเกียว (TOCOM) เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อราคายางในตลาดจริง รวมทั้งราคาซื้อขายในประเทศไทย (2) ราคาน้ำมัน เนื่องจากเป็นวัตถุดิบในการผลิตยางสังเคราะห์ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 57 ของการบริโภคยางของโลกและสามารถใช้ทดแทนยางพาราได้ จากข้อมูลในอดีต ราคายางพารากับราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวไปด้วยกัน ยกเว้นในปี 2553 และ 2554 ที่ราคายางพารามีความผันผวนสูงกว่าราคาน้ำมันมาก เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนและ การเกิดภัยพิบัติสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น (3) ปัจจัยอื่นๆ เช่น น้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทยส่งผลให้เกิดการสะดุด ของห่วงโซ่การผลิตโลก กระทบต่อความต้องการใช้ยางโลก เป็นต้น

แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาราคายางจะปรับตัวลดลง แต่ยังนับว่าอยู่สูงกว่าต้นทุนการผลิต สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรแสดงต้นทุนการผลิตยางในปี 2554 อยู่ที่กิโลกรัมละ 46.57 บาท และราคายางที่ลดลงยังสูงกว่าราคาเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา(2545-2554) ที่ราคาเฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ 69.35 บาท ราคายางที่ปรับลดจึงไม่ได้ต่ำจริง แต่ราคายางที่ลดลงอย่างรวดเร็วในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม 2554 ได้สร้างความกังวลให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาราคายางอยู่เหนือระดับ 100 บาทต่อกิโลกรัม ประกอบกับค่าครองชีพได้ปรับตัวสูงขึ้นและรัฐบาลได้ออกนโยบายที่อาจจะส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น เช่น การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท การลอยตัวราคาพลังงาน เป็นต้น รวมทั้งเกษตรกรชาวสวนยางส่วนหนึ่งได้ก่อหนี้เพิ่มขึ้นจากเงินที่คาดว่า จะได้รับในช่วงที่ยางราคาดี สะท้อนอยู่ในข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งพบว่าครัวเรือนภาคใต้มีหนี้สูงขึ้น

เพื่อแก้ไขปัญหาความผันผวนของราคายางพารา รัฐบาลได้ออกมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางพารา โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 120 บาทต่อกิโลกรัมซึ่งเป็นระดับราคาที่เหมาะสมและยั่งยืน วิธีการคือ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท โดยจัดสรรให้สถาบันเกษตรกร 5,000 ล้านบาท องค์การสวนยาง 10,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการรับซื้อยางพารา ไปแปรรูปและรอขายในราคาที่เหมาะสมซึ่งช่วยลดผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาดในช่วงที่ราคาตกต่ำ โครงการนี้ มีระยะเวลา 1 ปี 3 เดือน (มกราคม 2555 - มีนาคม 2556) มาตรการดังกล่าวได้ส่งผลทางจิตวิทยาทาให้ราคายางขยับตัวสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 90 บาทเมื่อต้นปี 2555 เป็นกิโลกรัมละ 110 บาทในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ประกอบกับราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูง

อย่างไรก็ตาม มาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของรัฐบาล คาดว่าจะได้ผลทางด้านจิตวิทยาในระยะสั้นเท่านั้น โดยราคายางได้ปรับจากกิโลกรัมละ 90 บาท เป็น 110 บาท ส่วนในระยะยาวจากการคาดการณ์ของ IRSG ผลผลิตยางพาราในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีอัตราเพิ่มเฉลี่ยร้อยละ 4.96 ขณะที่ความต้องการใช้ยางพาราโลกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.94 ทำให้ ณ สิ้นปี 2559 จะมีผลผลิตยางจานวน 13,970 พันตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2555 (ผลผลิต 11,322 พันตัน) จานวน 2,648 พันตัน ส่วนความต้องการใช้มีจำนวน 13,880 พันตัน เพิ่มขึ้นจาก ปี 2555 (ความต้องการใช้ 11,291 พันตัน) จำนวน 2,589 พันตัน อนาคตยางพาราจึงไม่น่าเป็นห่วง อาจจะ ผันผวนในระยะสั้น แต่ในระยะยาวปริมาณผลผลิตและความต้องการใช้ยางพาราจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนปัจจัยท้าทายอื่น ๆ อาทิ การใช้ยางสังเคราะห์ทดแทน ก็มีข้อจำกัดทางเทคนิค การขยายพื้นที่ปลูกในประเทศจีน ก็ถูกจำกัดด้วยพื้นที่ที่ต้องมีภูมิอากาศที่เหมาะสม นอกจากนี้ การลงทุนตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และราคาน้ำมัน ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยบวกต่อราคายาง ดังนั้น เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้ายางพารา ในระยะยาวทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องกระตุ้นการบริโภคยางภายในประเทศ เร่งหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ และที่สำคัญต้องสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางภายในประเทศเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแทนที่จะส่งออกในรูปวัตถุดิบเหมือนในอดีต ที่ผ่านมา

          บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

          ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ