ถนอมจิตร สิริภคพร
พฤษภาคม 2555
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2553-2554) ราคากุ้งของไทยทรงตัวอยู่ในระดับสูง สืบเนื่องจากผลผลิตกุ้งของโลกลดลง โดยเฉพาะในแหล่งเพาะเลี้ยงสำคัญหลายประเทศ อาทิ เวียดนาม จีน อินโดนีเซีย รวมทั้งไทย ที่ต่างได้รับผลกระทบจากโรคระบาด และอุทกภัย ตลอดจนสภาพภูมิอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันและแปรปรวน ผลักดันให้ราคากุ้งพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม หลังจากเพิ่งจะผ่านช่วงปีทองของราคากุ้งในปี 2554 มาได้ไม่นานนัก ราคากุ้งเริ่มอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็วตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2555 เป็นต้นมา สะท้อนจากการซื้อขายกุ้งที่ตลาดทะเลไทย ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม ราคาดิ่งลงอย่างต่อเนื่องจากเฉลี่ยกิโลกรัมละ 135 บาทในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2555 มาอยู่กิโลกรัมละ 105 บาทในช่วงปลายเดือนเมษายน 2555 ซึ่งเป็นราคาใกล้เคียงกับต้นทุนการผลิตที่สานักงานเศรษฐกิจการเกษตรรายงานที่ 99.01 บาทต่อกิโลกรัม
สาเหตุที่ราคากุ้งดิ่งลงมากทั้ง ๆ ที่ยังไม่ใช่ช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมากตามฤดูกาล (เดือนพฤษภาคม-มิถุนายนของปี) เป็นผลจากปัจจัยพื้นฐาน ดังนี้
1) ความต้องการกุ้งไทยในตลาดต่างประเทศลดลง เนื่องจากผลผลิตกุ้งไทยพึ่งพาตลาดต่างประเทศ เป็นหลัก โดยมีสัดส่วนการส่งออกถึงร้อยละ 90 การส่งออกที่ลดลงจึงส่งผลกระทบต่อราคากุ้งภายในประเทศค่อนข้างมาก จากข้อมูลการส่งออกของกรมศุลกากรไตรมาสแรกปี 2555 พบว่า ไทยมีปริมาณการส่งออกกุ้งแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป (ไม่รวมกุ้งกระป๋อง) ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 16.4 โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาที่มีปริมาณลดลงถึงร้อยละ 30.4 เช่นเดียวกับตลาดหลักอื่น อาทิ สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น ก็มีการส่งออกลดลงไปในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ ประกอบกับผู้นำเข้าบางส่วนปรับเปลี่ยนไปซื้อกุ้งขนาดเล็กและราคาถูกลงจากแหล่งอื่น รวมทั้งมีการเจรจาต่อรองราคามากขึ้น
ม.ค. 55 171 161 149 140 126 120 118 ก.พ. 55 169 159 148 137 131 129 125 มี.ค. 55 : - วันที่ 1-16 169 159 144 135 129 120 115 (ก่อนราคาตก) - วันที่ 17-30 157 142 130 124 113 103 98 (ราคาเริ่มตก) ณ 27 เม.ย.55 140 125 110 105 100 90 85 % เปลี่ยนแปลง -17.2 -21.4 -23.6 -22.2 -22.4 -25.0 -26.1 (27 เม.ย./1-16 มี.ค.55) ที่มา : www.samutsakonshrimp.com
2) ผลผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น จากการขยายพื้นที่ การเลี้ยงในหลายประเทศ ทำให้เกิดการแข่งขันแย่งส่วนแบ่งตลาดจากไทยมากขึ้น โดยผลผลิตที่เพิ่มขึ้นจากประเทศในกลุ่มละตินอเมริกา ได้แก่ เอกวาดอร์และเม็กซิโก ได้เข้ามามีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐอเมริกามากขึ้น ประกอบกับบางประเทศในกลุ่มเอเชียโดยเฉพาะอินเดียได้ปรับเปลี่ยนมาเลี้ยงกุ้งขาวเพิ่มขึ้นและเสนอขายในราคาถูก รวมทั้งอินโดนีเซียที่ฟื้นตัวจากโรคระบาดทำให้มีผลผลิตเพิ่ม และยิ่งไปกว่านั้นประเทศในกลุ่มเอเชียบางประเทศยังมีห้องเย็นเพื่อเก็บผลิตภัณฑ์แช่แข็งไม่เพียงพอ เมื่อถึงช่วงฤดูกาลผลผลิตกุ้งออกสู่ตลาดจะต้องรีบขายหรือส่งออก จึงเป็นจุดอ่อนให้ ถูกกดราคารับซื้อจากผู้นำเข้า
หน่วย : ตัน / ล้านบาท ประเทศส่งออก ไตรมาส 1/54 ไตรมาส 1/55 % yoy % สัดส่วน
แคนาดา ปริมาณ 4,926 3,886 -21.1 5.9 มูลค่า 1,339 1,207 -9.8 6.5 สหภาพยุโรป ปริมาณ 11,932 10,293 -13.7 15.8 มูลค่า 2,949 2,980 1.1 15.9 ญี่ปุ่น ปริมาณ 18,052 15,362 -14.9 23.5 มูลค่า 5,114 4,958 -3.1 26.5 เกาหลี ปริมาณ 2,071 2,092 1.0 3.2 มูลค่า 461 533 15.6 2.9 สหรัฐอเมริกา ปริมาณ 33,340 23,200 -30.4 35.5 มูลค่า 8,990 6,755 -24.9 36.1 อื่น ๆ ปริมาณ 7,825 10,506 34.3 16.1 มูลค่า 1,618 2,256 39.4 12.1 รวม ปริมาณ 78,147 65,340 -16.4 100.0 มูลค่า 20,470 18,689 -8.7 100.0 ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดย ธปท.สานักงานภาคใต้
จากปัญหาราคากุ้งตกต่ำทำให้กลุ่มเกษตรกร ผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดสงขลาออกมาประท้วงเรียกร้องให้ภาครัฐช่วยแก้ไขปัญหา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ได้อนุมัติวงเงิน 93.85 ล้านบาท เพื่อชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้อัตราร้อยละ 3 ให้กับผู้ประกอบการห้องเย็นเพื่อเสริมสภาพคล่องในการรับซื้อกุ้งขาวแวนนาไมจากเกษตรกรจานวน 30,000 ตัน อย่างไรก็ตาม ภายหลังออกมาตรการดังกล่าว กลุ่มเกษตรกรได้ออกมาเรียกร้องให้ปรับราคารับซื้อกุ้งสูงขึ้นโดยกุ้งขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัม จากที่กำหนดไว้เดิม 135 บาทเป็น 145 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการเลี้ยงปี 2555 ที่สูงขึ้นเป็น 122.85 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนขนาด 50 ตัวต่อกิโลกรัม ให้เป็นราคา 160 บาท และ 70 ตัวต่อกิโลกรัม ราคา 140 บาท ส่วนขนาดอื่นๆ ให้ปรับตามสัดส่วน
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมกุ้งของไทยจำเป็นต้องเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและการบริหารจัดการมากขึ้น เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ภายใต้การแข่งขันที่มีความท้าทายมากขึ้น โดยเกษตรกรควรมีการวางแผนการเลี้ยงและเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ ขณะที่ผู้มีความพร้อมอาจหันไปสนใจเลี้ยงกุ้งกุลาดำเป็นอีกทางเลือกหนึ่งนอกเหนือจากการผลิตกุ้งขาวที่นับวันจะมีคู่แข่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนภาคการผลิตเพื่อส่งออกควรมุ่งเน้นวางแผนการผลิตตามทิศทางความต้องการของตลาดเป็นหลัก โดยเพิ่มการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สร้างความหลากหลายและมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้ารวมถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ดูดีน่าซื้อมีคุณภาพในการเก็บรักษาอาหาร เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งที่ส่วนใหญ่ส่งออกในรูปวัตถุดิบแปรรูปอย่างง่ายและมีต้นทุนแรงงานถูกกว่า รวมถึงการมองหาตลาดใหม่ๆ แถบเอเชีย อาทิ จีน ตลอดจนการเพิ่มสัดส่วนตลาดภายในประเทศที่เริ่มมีแนวโน้มตอบรับดีขึ้น ทั้งนี้ เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนด้านราคาได้ในระดับหนึ่ง
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย