ของแพง แบงก์ชาติ และวินัยในการดาเนินนโยบายภาครัฐ

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday May 30, 2012 10:12 —ธนาคารแห่งประเทศไทย

นางสาวรุจา อดิศรกาญจน์

นางสาวชนาภรณ์ เสรีวรวิทย์กุล

เศรษฐกร สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย

ตอนนี้ประชาชนส่วนใหญ่คงรู้สึกว่าของแพงขึ้น และอาจรู้สึกว่าทาไมตัวเลขเงินเฟ้อในเดือนเมษายนถึงลดลงสวนทางกับความรู้สึกของตัวเอง ก่อนจะดูว่าสินค้าแพงขึ้นจริงหรือไม่ เราควรทาความเข้าใจก่อนว่า เงินเฟ้อเกิดจากอะไรได้บ้าง การที่ข้าวของแพงขึ้นเราเรียกอีกอย่างว่า “เงินเฟ้อ” เงินเฟ้อนี้เกิดได้จาก 3 สาเหตุ ได้แก่ 1) มีต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างแรงงาน ค่าพลังงาน หรือค่าวัตถุดิบ แต่เมื่อผู้ผลิตยังอยากได้กาไรเท่าเดิม จึงต้องปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 2) มีความต้องการซื้อสินค้าและบริการที่มากกว่าสินค้าที่ผลิตได้ คนขายก็จะขายแพงขึ้น และ 3) มีการคาดการณ์ว่าสินค้าจะแพงขึ้น ก็ยิ่งทาให้คนต้องการซื้อของเพื่อกักตุนกันมาก จนทาให้ราคาแพงขึ้นจริง ผู้ใช้แรงงานก็จะเรียกร้องค่าแรงเพิ่ม วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตก็จะมีราคาสูงขึ้น ในที่สุดราคาสินค้าก็เพิ่มขึ้นเป็นวงจรไม่รู้จบ ซึ่งเงินเฟ้ออาจเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งหรือหลายสาเหตุร่วมกันก็ได้

เมื่อรู้ที่มาที่ไปของเงินเฟ้อแล้ว คราวนี้มาดูกันว่าทาไมตัวเลขเงินเฟ้อที่ทางการประกาศจึงสวนทางกับความรู้สึก ก่อนอื่นต้องยึดหลักการง่าย ๆ ปกติตัวเลขเงินเฟ้อมักจะเทียบกับราคาเมื่อปีที่แล้ว คือ หากตัวเลขเงินเฟ้อเป็นบวกแสดงว่าสินค้าแพงขึ้นกว่าปีที่แล้ว หากตัวเลขเป็นลบแสดงว่าสินค้าถูกลงกว่าปีที่แล้ว และถ้าเงินเฟ้ออยู่ที่ 0% แสดงว่าสินค้ามีราคาเท่ากับปีที่แล้ว ดังนั้น แค่ตัวเลขเงินเฟ้อเป็นบวกก็แสดงว่าสินค้าแพงขึ้นแล้ว ซึ่งตรงกับที่หลายคนรู้สึก แต่ตัวเลขที่เป็นบวกน้อยลงแปลว่าของแพงขึ้นไม่มาก อาจเป็นเพราะตอนนี้รัฐยังมีมาตรการชดเชยราคาพลังงานหลายตัว และราคาสินค้าปีก่อนปรับขึ้นไปมากแล้ว เทียบกันแล้วตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดจึงเพิ่มขึ้นจากปีก่อนไม่มาก แต่ที่สวนทางกับความรู้สึกอาจเป็นเพราะสินค้าที่ราคาแพงขึ้นหลาย ๆ ตัวเป็นสินค้าที่ต้องกินต้องใช้ในชีวิตประจาวัน

เวลาที่มีข่าวว่าของแพง หน่วยงานที่สังคมจับตามองนอกจากกระทรวงพาณิชย์แล้ว ก็ยังมีแบงก์ชาติอีกด้วย เพราะกระทรวงพาณิชย์จะมีหน้าที่ดูแลการขึ้นราคาสินค้าแต่ละชนิดให้มีความเป็นธรรมสอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ส่วนแบงก์ชาติจะมีหน้าที่ดูแลเสถียรภาพของราคาสินค้าในภาพรวมหรือเงินเฟ้อไม่ให้สูงและผันผวนมากจนกระทบกับความกินดีอยู่ดีของประชาชน ซึ่งในส่วนของแบงก์ชาติก็ได้มีการติดตามอัตราเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง เพราะอัตราเงินเฟ้อจะเป็นตัวบั่นทอนกาลังซื้อของประชาชนและทาให้การทาธุรกิจลาบากขึ้น

ทุกวันนี้ แบงก์ชาติดูแลเสถียรภาพของเงินเฟ้อผ่านการดาเนินนโยบายการเงิน ซึ่งใช้กรอบนโยบายแบบมีเงินเฟ้อเป็นเป้าหมาย (Inflation Targeting: IT) กรอบนี้มีหัวใจสาคัญ 4 ประการที่จะช่วยให้แบงก์ชาติรักษาพันธะสัญญาว่าจะดูแลความกินดีอยู่ดีของประชาชนไว้ 1) บอกกันตรงๆ ไปเลยว่าแบงก์ชาติจะใช้อัตราเงินเฟ้อเท่าไรเป็นเป้าหมาย เป็นการให้คามั่นไว้ว่าจะไม่พิมพ์เงินเพิ่มเกินกว่าที่ได้สัญญาไว้ จนส่งผลต่อเงินเฟ้อ โดยตอนนี้แบงก์ชาติมีเป้าหมายเงินเฟ้ออยู่ในช่วงร้อยละ 0.5-3.0 ต่อปี 2) แบงก์ชาติต้องมีเครื่องมือที่ใช้ดาเนินนโยบาย เพื่อให้เงินเฟ้ออยู่ในเป้าหมาย โดยปัจจุบันคือ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก จูงใจให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายและส่งผลต่อราคาสินค้าในที่สุด 3) แบงก์ชาติต้องสื่อสารเหตุผลของการทานโยบายทั้งในปัจจุบัน และ ทิศทางของเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ รวมถึงการทานโยบายการเงินที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้ประชาชนเข้าใจ เพื่อจูงใจประชาชนในการวางแผนและตัดสินใจจับจ่ายใช้สอย และทาให้เงินเฟ้อที่ออกมาจริงอยู่ในเป้าที่คิดกันมาอย่างรอบด้านแล้ว 4) แบงก์ชาติต้องมีความรับผิดชอบต่อการทานโยบาย เช่น หากเงินเฟ้อหลุดออกจากช่วงที่กาหนด แบงก์ชาติต้องออกมาชี้แจงว่าทาไมมันถึงหลุดออกไปและจะทาให้กลับเข้าช่วงที่เป็นเป้าหมายได้เมื่อไร ทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะช่วยให้การดาเนินนโยบายมีความโปร่งใส เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างความเชื่อมั่นในการดาเนินนโยบายของธนาคารกลาง เพื่อให้ทุกคนคาดเดาเงินเฟ้อและวางแผนการใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้

ทั้งนี้ กรอบของนโยบายการเงินไม่ใช่ความศรัทธาแรงกล้าที่ต้องยึดมั่นถือมั่นจนวันตาย แต่เป็นเพียงกรอบและขั้นตอนที่จะทาให้บรรลุพันธะสัญญาเท่านั้น หากวันใดกรอบที่ใช้ไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ ขอเพียงเป็นกรอบที่มีความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และสามารถอธิบายให้ทุกคนเข้าใจได้

ที่ผ่านมา กรอบนโยบายการเงินในปัจจุบันยังใช้ได้ดีกับสภาพเศรษฐกิจไทย สามารถดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตได้โดยเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบที่กาหนด แต่การที่แบงก์ชาติดูแลเงินเฟ้ออย่างเดียวไม่ได้ยืนยันว่าเศรษฐกิจจะมีความสมดุลตลอดไป สิ่งสาคัญคือ ทุกหน่วยงานของภาครัฐที่เป็นผู้กาหนดนโยบายทั้งด้านการเงินและการคลังก็จาเป็นต้องมีวินัยในการดาเนินนโยบายเช่นกัน เนื่องจากวิกฤตที่เกิดทุกประเทศทั่วโลกล้วนมีลักษณะเหมือนกันคือ การขาดวินัยในการดาเนินนโยบายของภาครัฐเพราะโดยธรรมชาติของภาคเอกชนก็พยายามแสวงหากาไรอย่างเต็มที่ วิกฤตในภาพรวมจึงเกิดจากความหละหลวมของนโยบายภาครัฐ เช่น ปี 2540 เป็นความหละหลวมของนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่ตรึงอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่คงที่ไม่เหมาะกับภาวะเศรษฐกิจ วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เป็นความหละหลวมของนโยบายการเงินที่ดึงให้อัตราดอกเบี้ยต่านานเกินไป ส่วนวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปเป็นความหละหลวมในการใช้จ่ายและก่อหนี้ของภาครัฐที่เกินตัว ดังนั้น วินัยของภาครัฐในการดาเนินนโยบายจึงมีความสาคัญมาก ในฐานะธนาคารกลาง วินัยของแบงก์ชาติจะเกิดขึ้นได้จะต้องอาศัยกรอบการดาเนินนโยบายที่ชัดเจน โปร่งใส ให้สาธารณชนตรวจสอบได้

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคลจึงไม่จาเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 29 พฤษภาคม 2555

          ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ