ฉบับที่ 30/2555
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันนี้ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อรวมทั้งแนวโน้มในระยะต่อไป เพื่อกำหนดแนวนโยบายการเงินที่เหมาะสม โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการประชุมครั้งก่อน จากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตของกรีซในกลุ่มประเทศยูโรและปัญหาภาคสถาบันการเงินในสเปน ซึ่งทำให้เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโรโดยรวมมีแนวโน้มหดตัวมากกว่าที่คาดไว้เดิม และอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมทั้งเศรษฐกิจเอเชียที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีน แต่อุปสงค์ภายในของประเทศในเอเชียที่ยังขยายตัวได้ดีและความสามารถใช้นโยบายการเงินการคลังเพิ่มเติมหากจำเป็น จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลกได้ระดับหนึ่ง
เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีเกินคาดในไตรมาสแรกของปีนี้ และมีสัญญาณว่าจะสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาวะการเงินที่ผ่อนคลาย สินเชื่อภาคเอกชนที่ขยายตัวสูง และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อย่างไรก็ดี ภาคการส่งออกมีโอกาสที่จะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจชะลอลงหากปัญหาในกลุ่มประเทศยูโรทวีความรุนแรงขึ้น
แรงกดดันเงินเฟ้อจากต้นทุนการผลิตแผ่วลงตามราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ภายใต้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลง แต่เศรษฐกิจในประเทศที่ขยายตัวได้ดีทำให้การส่งผ่านของต้นทุนไปยังราคาสินค้าและบริการมีอยู่ต่อเนื่อง ขณะที่การปรับค่าแรงที่ผ่านมาและการปรับโครงสร้างราคาพลังงานในอนาคต ทำให้การคาดการณ์เงินเฟ้อของประชาชนยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง โดยรวมแล้วแรงกดดันเงินเฟ้อยังคงมีอยู่แต่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า
คณะกรรมการฯ ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในขณะนี้มีความเสี่ยงด้านการขยายตัวมากกว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ โดยปัจจัยเสี่ยงหลักคือเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงอันเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจในยุโรป คณะกรรมการฯ จึงเห็นควรดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนปรนต่อไป เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยให้มั่นคงและรองรับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก และมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี โดยจะติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะปรับนโยบายการเงินตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
ข้อมูลเพิ่มเติม : ทีมกลยุทธ์นโยบายการเงิน 1 โทร: 0-2283-5621, 0-2283-6186
e-mail: MonetaryPolicyStrategyTeam@bot.or.th
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย