ฉบับที่ 52 /2555
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันนี้ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อรวมทั้งแนวโน้มในระยะต่อไป เพื่อกำหนดแนวนโยบายการเงินที่เหมาะสม โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
เศรษฐกิจโลกในภาพรวมยังคงอ่อนแอ แม้มีสัญญาณที่ดีขึ้นบ้างจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชี้ว่าภาคที่อยู่อาศัยและการจ้างงานปรับตัวดีขึ้น และการผ่อนคลายนโยบายการเงินของประเทศหลักได้ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้ตลาดการเงินโลกได้บ้าง แต่อุปสงค์โลกที่อ่อนแอส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภูมิภาคและจีนมากกว่าที่ประเมินไว้ โดยเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัว และอาจส่งผลต่อการส่งออกของประเทศภูมิภาคมากขึ้นอีกในระยะข้างหน้า ขณะที่ความเสี่ยงด้านการคลังของสหรัฐฯ และการแก้ไขวิกฤตหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศยูโรยังเป็นความเสี่ยงที่สำคัญของเศรษฐกิจโลกต่อไป
เศรษฐกิจไทยโดยรวมขยายตัวได้ต่อเนื่องในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ แต่ภาคการส่งออกและการผลิตเพื่อการส่งออกได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชัดเจนขึ้น คณะกรรมการฯ ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น แต่ยังคงมีความไม่แน่นอน ซึ่งอาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของการส่งออกในระยะต่อไป ขณะที่การใช้จ่ายภายในประเทศและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ดี แต่ชะลอลงหลังจากการลงทุนเพื่อการฟื้นฟูจากผลของอุทกภัยหมดลง สำหรับสินเชื่อภาคเอกชนยังขยายตัวในระดับสูงและยังต้องติดตามต่อไป ส่วนแรงกดดันเงินเฟ้อทรงตัวอยู่ในระดับที่รับได้
กรรมการฯ ส่วนใหญ่มีความเห็นว่า ในภาวะที่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังอ่อนแอและมีความเสี่ยงสูง นโยบายการเงินควรผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อรองรับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกและรักษาแรงส่งของอุปสงค์ในประเทศที่อาจจะอ่อนแรงลงในระยะต่อไป คณะกรรมการฯ จึงมีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 3.00 เป็นร้อยละ 2.75 ต่อปี โดยให้มีผลทันที ทั้งนี้ กรรมการฯ 2 เสียง เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 3.00 ต่อปี เนื่องจากเห็นว่าแรงส่งของการขยายตัวของเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถรอดูความชัดเจนในระยะต่อไปได้
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อมูลเพิ่มเติม : ทีมกลยุทธ์นโยบายการเงิน 1 โทร: 0-2283-5621, 0-2283-6186
e-mail: MonetaryPolicyStrategyTeam1@bot.or.th
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย