โสมสิริ หมัดอะดั้ม
มิถุนายน 2556
มาเลเซียมีบทบาทสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศของไทย โดยมีความสำคัญเป็นอันดับ 4 รองจากจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา และหากเปรียบเทียบมูลค่าการค้าระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน พบว่า มาเลเซียเป็นคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของไทย โดยในช่วงปี 2551 — 2555 ไทยและมาเลเซียมีมูลค่าการค้าระหว่างกันเฉลี่ยต่อปีเกือบ 700 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปมาเลเซีย คือ น้ำมันสำเร็จรูป ชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถยนต์ ยางพารา โดยเฉพาะน้ำยางข้น ซึ่งมาเลเซียนำเข้าเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงมือยาง เครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และผลิตภัณฑ์ยาง ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญ คือ คอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ น้ำมันดิบ เครื่องจักรและอุปกรณ์ และเคมีภัณฑ์
(พันล้านบาท)
2551 2552 2553 2554 2555 การค้ารวม 648.3 556.1 678.5 749.8 793.3 ส่งออก 325.3 260.8 34.6 373.6 383.7 นำเข้า 323.0 295.3 343.9 376.2 409.6 ที่มา: กรมศุลกากร
แม้ไทยกับมาเลเซียจะมีความสำคัญทางการค้าต่อกันมาก แต่สกุลเงินที่ระบุในการซื้อขายสินค้า ส่วนใหญ่เป็นเงินดอลลาร์ สรอ. คิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ยร้อยละ 87 ของมูลค่าการค้ารวม (ระหว่างปี 2547 — 2555) เนื่องจากเงินสกุลนี้เป็นสกุลเงินหลักที่ถูกใช้ในทางการค้าอย่างกว้างขวาง มีความคล่องตัวสูง และคู่ค้าส่วนใหญ่มีธุรกรรมทางการค้าทั่วโลก ฉะนั้น การกำหนดให้ชำระค่าสินค้าเป็นเงินดอลลาร์ สรอ. จะทำให้คู่ค้าสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงโดยการสร้างสมดุลระหว่างรายได้กับรายจ่ายให้เป็นเงินสกุลต่างประเทศสกุลเดียวกันได้ หรือที่เรียกกันว่า “Natural Hedge” ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้บางส่วน นอกเหนือจากการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนกับสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตาม การพึ่งพิงสกุลเงินหลักเพียงสกุลเดียว ทำให้ผู้ประกอบการมีความเสี่ยงเกิดขึ้นจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
ขณะที่เงินสกุลท้องถิ่นของทั้ง 2 ประเทศทั้งเงินสกุลบาทและริงกิต ถูกใช้ในการซื้อขายสินค้าระหว่างกันน้อย โดยในช่วงระหว่างปี 2547 — 2555 มีสัดส่วนเฉลี่ยประมาณร้อยละ 10 ของมูลค่าการค้ารวมเท่านั้น โดยการใช้เงินสกุลริงกิตปรับลดลงมากตั้งแต่มาเลเซียมีการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนและการปริวรรตเงินตราเมื่อปี 2541 เป็นต้นมา และธนาคารพาณิชย์ไทยลดการทำธุรกรรมที่อ้างอิงเงินสกุลริงกิต จึงเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้การตกลงระหว่างคู่ค้ามีการใช้เงินสกุลบาทในสัดส่วนที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสแรกของปีนี้เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของการระบุสกุลเงินในการซื้อขายสินค้าที่ชัดเจนขึ้น การใช้เงินสกุลดอลลาร์ สรอ. ปรับลดลงเหลือสัดส่วนเพียงร้อยละ 85 และใช้เงินสกุลท้องถิ่นสูงขึ้นเป็นร้อยละ 11.5 โดยเป็นเงินสกุลบาทร้อยละ 9.3 และเงินสกุลริงกิตร้อยละ 2.2
สำหรับเงินสกุลบาทถูกใช้มากขึ้นจากสัดส่วนเฉลี่ยร้อยละ 5.9 ในปี 2547 เป็นร้อยละ 9.3 ในไตรมาสแรกของปี 2556 ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากความผันผวนของค่าเงินบาท ที่ค่อนข้างมีการเคลื่อนไหวผันผวนอย่างรุนแรง หากมีปัจจัยเสี่ยงเข้ามากระทบ เช่น มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าออกอย่างรวดเร็วและมีปริมาณมาก เกิดการคาดการณ์และการเก็งกำไรในค่าเงิน เป็นต้น
ส่วนสัดส่วนการใช้เงินสกุลริงกิต ปรับลดลงจากเฉลี่ยร้อยละ 5.0 ในปี 2547 เหลือเพียงร้อยละ 2.2 ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากมาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนและปริวรรตเงินตราของมาเลเซียที่ประกาศใช้เมื่อปี 2541 ซึ่งถึงแม้จะมีการผ่อนคลายแล้วแต่ตลาดยังไม่มีความเชื่อมั่นในเงินสกุลนี้มากนัก
การเปลี่ยนแปลงสกุลเงินทางการค้ามาใช้เป็นเงินสกุลท้องถิ่นเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของผู้ประกอบการ เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อิงกับสกุลเงินหลัก นอกเหนือจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพื่อลดต้นทุน และการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนให้มากขึ้น สอดคล้องกับความพยายามของประเทศในกลุ่มอาเซียนที่จะให้มีการแลกเปลี่ยนเงินตราโดยตรงกันมากขึ้น โดยการพัฒนาศักยภาพของระบบการเงิน เพื่อรองรับการชาระเงินระหว่างกันด้วยเงินสกุลภูมิภาคที่จะมีมากขึ้นในอนาคต ดังนั้น ในอนาคตไทยและมาเลเซียน่าจะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงินน้อยลง
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย