ปัจจุบันบริษัทประกันภัยต้องวางเงินสำรองประกันภัยไว้กับนายทะเบียนในอัตราร้อยละ 25 ของเงินสำรองประกันภัยตามประกาศ คปภ. ว่าด้วยการวางเงินสำรองสำหรับเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ตกเป็นรายได้ของบริษัท ปี พ.ศ. 2552 และฉบับที่ 2 ปี พ.ศ. 2555 เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยให้ได้รับการชดใช้เงินตามสัญญาประกันภัย หากบริษัทประกันภัยเลิกประกอบธุรกิจ ด้วยพัฒนาการของการกำกับดูแลตามระดับความเสี่ยงที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน กรอบกับหลักเกณฑ์ที่แตกต่างกันของบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย สำนักงาน คปภ. จึงได้ปรับปรุงและจัดทำร่างประกาศดังกล่าว เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น สอดคล้องกับการกำกับตามระดับความเสี่ยงและภาระผูกพันตามสัญญาประกันภัย โดยกำหนดให้บริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัยมีหลักการเดียวกันในวางเงินสำรอง โดยใช้มูลค่าเงินสำรองตามราคาประเมิน ตามประกาศ คปภ. เรื่องการประเมินราคาทรัพย์สินและหนี้สินของบริษัทประกันภัย พ.ศ. 2554 ในรายงานการดำรงเงินกองทุนใน ไตรมาสที่ 2 รายงานฐานะการเงินและกิจการของบริษัทไตรมาสที่ 4 และรายงานการดำรงเงินกองทุนประจำปี และกำหนดให้บริษัทประกันภัยต้องนำทรัพย์สินมาวางไว้กับนายทะเบียนให้ถูกต้องภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนนับแต่วันสิ้นสุดระยะเวลาที่บริษัทต้องส่งรายงานดังกล่าว
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเสริมว่า ร่างประกาศฯ ดังกล่าวได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากสมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทย รวมถึงบริษัทประกันภัยทุกบริษัทในการแสดงความคิดเห็น ณ เดือนกันยายน บริษัทประกันภัยได้นำทรัพย์สินลงทุนของบริษัทมาวางเป็นเงินสำรองกับนายทะเบียน จำนวนทั้งสิ้น 315,365.73 ล้านบาท โดยเป็นเงินสำรองของบริษัทประกันวินาศภัย จำนวน 20,500.54 ล้านบาท และเป็นของบริษัทประกันชีวิต 294,865.19 ล้านบาท
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย