ถนอมจิตร สิริภคพร
มกราคม 2557
ปี 2556 ที่ผ่านมา ไทยซึ่งเป็นผู้นำด้านการผลิตและผู้ส่งออกกุ้งอันดับหนึ่งของโลกมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2534 ต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤตโรคตายด่วน (EMS : Early Mortality Syndrome) ทำให้ปริมาณผลผลิตกุ้งของไทยปี 2556 อยู่ที่ประมาณ 260,000 ตัน ลดลงจากปีก่อนที่ 472,881 ตัน หรือลดลงประมาณร้อยละ 45 ส่งผลกระทบต่อปริมาณการส่งออกกุ้งของไทยในช่วง 11 เดือนแรก ปี 2556 ที่มีจำนวนเพียง 187,330 ตัน คิดเป็นมูลค่า 60,086 ล้านบาท ลดลงถึงร้อยละ 39.3 และ 28.9 ตามลำดับ ทำให้ไทยสูญเสียตำแหน่งผู้นำการส่งออกกุ้งในตลาดหลักสำคัญโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาให้กับอินเดียเป็นครั้งแรก
โรคตายด่วนพบครั้งแรกในจีนตั้งแต่ปี 2552 และระบาดสู่เวียดนามในปี 2553 หลังจากนั้นได้ระบาดเข้าสู่มาเลเซีย และ ภาคตะวันออกของไทยแถบจังหวัดจันทบุรีและระยองในปี 2554 กระทั่งปลายปี 2555 เริ่มระบาดไปทั่วประเทศ และสร้างความสูญเสียต่ออุตสาหกรรมกุ้งของไทยอย่างรุนแรงตั้งแต่ต้นปี 2556 เป็นต้นมา ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนกุ้งอย่างหนัก ขณะที่ราคากุ้งปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ สะท้อนจากราคาเฉลี่ยกุ้งขาวขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม ปี 2556 อยู่ที่กิโลกรัมละ 208.65 บาท เพิ่มจาก 128.86 บาทในปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 61.9
ผลจากการขาดแคลนกุ้งนำมาซึ่งการปรับตัวของอุตสาหกรรมกุ้งไทย เริ่มตั้งแต่การปรับลดกำลังการผลิต การนำเข้าวัตถุดิบ การหันไปใช้อาหารทะเลอื่นเป็นวัตถุดิบแทน และการย้ายฐาน การผลิตไปต่างประเทศ อาทิ อินเดีย รวมทั้งการเปลี่ยนไปผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง ทำตลาดโดย ไม่เน้นปริมาณเพื่อเจาะตลาด Premium ซึ่งสอดคล้องกับการส่งออกกุ้งแปรรูปของไทยในปี 2556 ที่มีสัดส่วนร้อยละ 50.4 สูงขึ้นเมื่อเทียบกับสัดส่วนร้อยละ 44.3 ในปี 2555
สำหรับตลาดหลักสำคัญที่ไทยมีการส่งออกกุ้งลดลงมากในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2556 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป โดยลดลงร้อยละ 39.5 28.3 และ 44.0 ตามลำดับ สาเหตุจากปัญหาขาดแคลนกุ้งเป็นหลัก นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ตอบสนองต่อราคากุ้งที่ปรับตัวสูงขึ้นมากในแต่ละตลาด โดยตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยราคามากกว่าคุณภาพสินค้า จึงทำให้การส่งออกลดลงมากกว่าตลาดญี่ปุ่นซึ่ง เน้นคุณภาพมากกว่าราคา ส่วนตลาดสหภาพยุโรปแม้จะเน้นคุณภาพแต่เนื่องจากมีปัญหาเศรษฐกิจ ที่ยืดเยื้อ จึงทำให้การส่งออกไปยังตลาดดังกล่าวลดลงมากกว่าตลาดสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาการนำเข้ากุ้งในตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่ไทยเราครองความเป็นผู้นำอย่างโดดเด่นมาอย่างยาวนาน พบว่า ในช่วง 10 เดือนแรกปี 2556 อินเดียสามารถครองส่วนแบ่งตลาดกุ้งในสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับหนึ่งที่ร้อยละ 18.7 แทนที่ไทยได้เป็นครั้งแรก ขณะที่ไทยมีส่วนแบ่งตลาดเพียงร้อยละ 16.4 ตกลงมาเป็นอันดับสอง ตามด้วยอันดับสามคือ อินโดนีเซียที่มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 16.0 ตามลำดับ
จากการที่ภาครัฐและเอกชนได้ร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาโรคตายด่วน เช่น การคัดเลือก พ่อแม่พันธุ์ และการเน้นวิธีการเลี้ยงโดยการอนุบาลให้ลูกกุ้งแข็งแรงจะทำให้อุตสาหกรรมกุ้งของไทยเริ่มจะฟ้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผลผลิตจากการเลี้ยงในรอบแรกปีนี้ซึ่งจะออกในช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายนได้ผลดี คาดว่าผลผลิตกุ้งจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในปี 2558 อย่างไรก็ตาม ในปี 2557 ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากประเด็นการตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ของสหภาพยุโรป และประเด็นเรื่องการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับของสหรัฐอเมริกา ซึ่งทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องเร่งแก้ไข เพื่อมิให้ส่งผลกระทบซ้ำเติมต่ออุตสาหกรรมกุ้งโดยรวม
การนำเข้ากุ้งทุกประเภทในสหรัฐอเมริกา
หน่วย : เมตริกตัน
มกราคม-ตุลาคม % % ส่วนแบ่งตลาด 2555 2556 เปลี่ยนแปลง 2555 2556 อินเดีย 50,099 78,104 55.9 11.6 18.7 ไทย 109,435 68,418 -37.5 25.4 16.4 อินโดนีเซีย 60,499 66,798 10.4 14.0 16.0 เอกวาดอร์ 69,122 65,130 -5.8 16.0 15.6 เวียดนาม 32,438 46,715 44.0 7.5 11.2 จีน 29,438 26,070 -11.4 6.8 6.2 เม็กซิโก 21,370 14,387 -32.7 5.0 3.4 อื่นๆ 59,288 51,789 -12.6 13.7 12.5 TOTAL 431,689 417,411 -3.3 100.0 100.0 ที่มา: National Marine Fisheries Service of United States
*******************************************************
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย