ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. อนุญาตให้สถาบันการเงินซื้อตราสารหนี้สกุลบาทจากต่างประเทศ นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน
ธปท. เปิดเผยว่า ธปท. ได้ออกหนังสือแจ้งต่อ ธ.พาณิชย์ทุกแห่ง ธ.เพื่อการส่งออกและนำเข้าฯ ธ.ออมสิน ธ.อิสลามฯ ธ.พัฒนาวิสาหกิจฯ
และบริษัทเงินทุนทุกแห่ง เกี่ยวกับการปรับปรุงมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทที่เกี่ยวกับการซื้อขายตราสารหนี้เงินบาทที่ออกและ
ขายโดยผู้มีถิ่นฐานในต่างประเทศ โดยให้สถาบันการเงินไทยสามารถซื้อพันธบัตรและหุ้นกู้สกุลเงินบาทที่ออกและขายโดยนิติบุคคลที่มีถิ่นฐานใน
ต่างประเทศได้ทุกประเทศ ที่ได้รับอนุญาตให้ออกและขายได้จาก ก.คลังให้ออกจำหน่ายในประเทศ จากเดิมที่อนุญาตให้ซื้อพันธบัตรและหุ้นกู้สกุล
เงินบาทได้เฉพาะที่ออกและขายโดยสถาบันการเงินระหว่างประเทศ สถาบันการเงินของรัฐบาลในต่างประเทศ รัฐบาลต่างประเทศ หรือ
นิติบุคคลในประเทศ เฉพาะในกลุ่มอาเซียน รวมถึงญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน ที่ได้รับอนุญาตจาก รมว.คลังเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อช่วยในการพัฒนา
ตลาดตราสารหนี้ในประเทศไทยตามนโยบายของภาครัฐ โดยให้มีผลทันทีในวันที่ 22 พ.ย.50 (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้,
ไทยรัฐ)
2. ยอดจองซื้อพันธบัตรกองทุนฟื้นฟูฯ วันแรกกว่า 6 หมื่นล้านบาท นางพวงทิพย์ ปรมาพจน์ ผอ.สำนักบริหารธุรกิจและการเงิน
สายจัดการกองทุน ธปท. เปิดเผยว่า การจองพันธบัตรกองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งเปิดให้จองเมื่อวานนี้ (22 พ.ย.) เป็นวันแรก มียอดจองผ่าน
ธ.พาณิชย์ทั้ง 11 แห่ง วงเงิน 6 หมื่นล้านบาท โดยมีประชาชนสั่งจองทั้งสิ้น 1 หมื่นราย จากวงเงินพันธบัตรฯ ทั้งหมด 8 หมื่นล้านบาท
สำหรับประชาชนที่สนใจจะจองพันธบัตรออมทรัพย์ของกองทุนฟื้นฟูฯ ยังสามารถไปจองที่ ธ.ออมสิน ธ.กรุงไทย ธ.ซิตี้แบงก์ และ ธ.ฮ่องกง
และเซี่ยงไฮ้ฯ ที่ยังมีเหลือให้จองได้อีกจนถึงวันที่ 29 พ.ย.นี้ โดย ธปท. จะพยายามกระจายพันธบัตรให้กับรายย่อยให้ได้มากที่สุด ส่วนกรณี
ที่มีข่าวร้องเรียนว่าไปรอตั้งแต่เช้าแต่ไม่สามารถจองได้ทันในบางธนาคารนั้น คาดว่าโควตาของแต่ละธนาคารที่กระจายไปยังสาขาคงจะหมดจริง
หากประชาชนที่ยังต้องการจองซื้อพันธบัตรสามารถไปจองได้ที่ธนาคาร 5 แห่ง ที่ยังมีวงเงินเหลือเปิดให้จองได้อีก สำหรับวงเงินพันธบัตรของ
กองทุนฟื้นฟูฯ ที่ยังเหลืออีก 5 หมื่นล้านบาท ภายในปีนี้กองทุนจะยังไม่ออกขาย ส่วนปีหน้าจะขายหรือไม่ต้องประเมินภาพรวมของภาวะตลาดอีกครั้ง
ทั้งนี้ ยืนยันว่าการออกพันธบัตรของกองทุนไม่ได้เป็นตัวเร่งให้ ธ.พาณิชย์มีการระดมเงินฝากเพิ่มขึ้น ซึ่งการระดมเงินฝากของ ธ.พาณิชย์ขึ้นอยู่กับ
สภาพคล่องของแต่ละธนาคารมากกว่า (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
3. นักวิชาการขอให้ ธปท. ยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 นายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีต รมช.คลัง กล่าวในงานสัมมนา
เรื่อง “เสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงินไทยบนกติกาใหม่ : โอกาสหรือกับดัก?” ว่า ธปท. ควรยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้า
ร้อยละ 30 เพราะทำให้เกิดตลาดเงิน 2 ตลาด ส่งผลให้ค่าเงินในตลาดต่างประเทศแข็งค่ามากกว่าตลาดในประเทศ กดดันให้เงินบาทแข็งค่า
ตลอดเวลาและยังเป็นอุปสรรคในการค้าระหว่างประเทศ เพราะทำให้นักลงทุนสับสนเนื่องจากการกำหนดราคาตามมาตรฐานบัญชีให้ยึดตาม
ราคาตลาดต่างประเทศ และการคงไว้ยังสร้างปัญหาให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องการเงินลงทุนจากต่างชาติ นอกจากนี้ การดูแลค่าเงินบาทของ
ธปท. ที่เข้าแทรกแซงตลอดเวลาทำให้ทุนสำรองสะสมเพิ่มขึ้น ซึ่งในอนาคตอาจสร้างปัญหา เพราะภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ก็สะสมทุนสำรองเช่นกัน
ขณะที่ นายอัมพร แสงมณี ผอ.ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า มาตรการกันสำรองร้อยละ 30 เป็นมาตรการระยะสั้น จะยกเลิกเมื่อ
เหมาะสม ขณะนี้ค่าเงินบาทยังอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ และการดูแลค่าเงินของ ธปท. จะไม่ทำให้ทุนสำรองที่เพิ่มขึ้น
สร้างปัญหา เพราะมีนโยบายการบริหารทุนสำรองที่ชัดเจน มีผลตอบแทนค่อนข้างดี ด้าน นายพรชัย ชุนหจินดา ศาสตราจารย์ภาควิชาการเงิน
คณะพาณิชย์ฯ มธ. กล่าวว่า สิ่งที่น่าห่วงคือ นักลงทุนมีการโยกย้ายเงินผ่านระบบธนาคารที่ทำธุรกรรม นำเงินออกในรูปเงินสด โลหะมีค่า
การถ่ายโอนกำไร และการออกใบกำกับสินค้าที่บิดเบือน ซึ่งวิธีนี้จะมีมากขึ้นในอนาคต (โพสต์ทูเดย์, เดลินิวส์)
4. ก.คลังให้ ธ.กรุงเทพรอกฎหมายใหม่กรณีการขายหุ้นที่ถือใน ธ.สินเอเชีย นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า
ทางออกของปัญหาการขายหุ้น ธ.สินเอเชีย ที่ ธ.กรุงเทพถือหุ้นทั้งหมดประมาณร้อยละ 19 ที่มีข้อกำหนดให้ขายหุ้นดังกล่าวออกไปภายในกฎเกณฑ์
ของ ธปท. ที่ห้ามสถาบันการเงินมีหุ้นในสถาบันการเงินอื่นเกินร้อยละ 10 ซึ่งจะมีผลสิ้นสุดในเดือน ธ.ค.นี้ ขณะที่ สนง.กฤษฎีกาได้ตอบข้อหารือ
ของ ก.คลังว่า ธ.สินเอเชียไม่สามารถขายหุ้นให้พันธมิตรร่วมทุนได้มากกว่าร้อยละ 5 ต่อราย ภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่เดิม และการอนุญาต
ให้ต่างชาติถือหุ้นในสถาบันการเงินเกินกว่าร้อยละ 25 จะทำได้เฉพาะกรณีเพื่อแก้ปัญหาฐานะของสถาบันการเงินเท่านั้น จะสามารถแก้ไขได้
โดยการใช้ พรบ.สถาบันการเงินฉบับใหม่ที่ ธปท. เสนอแก้ไข ที่อนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นในสถาบันการเงินแต่ละแห่งได้ถึงร้อยละ 49 จาก
ปัจจุบันกำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 25 รวมทั้งอนุญาตให้ผู้ถือหุ้นแต่ละรายสามารถถือหุ้นในสถาบันการเงินได้เกินร้อยละ 5 ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอน
การพิจารณาของกรรมาธิการของ สนช. คาดว่าจะผ่านการพิจารณาของ สนช. ทันรัฐบาลชุดนี้ โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในต้นเดือน ธ.ค.
(มติชน, กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. เศรษฐกิจเยอรมนีในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวร้อยละ 0.7 รายงานจากเบอร์ลินเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 50 สำนักงานสถิติแห่งชาติ
เยอรมนีเปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 3 เศรษฐกิจเติบโตร้อยละ 0.7 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) เพิ่มขึ้นจากที่ขยายตัวร้อยละ 0.3 ในไตรมาส
ก่อนหน้า ขณะที่เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้วเศรษฐกิจเติบโตร้อยละ 2.4 เทียบกับที่ระดับร้อยละ 2.5 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยภาคเอกชน
มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 แต่การใช้จ่ายภาครัฐลดลงร้อยละ 0.1 ส่วนการลงทุนขยายตัวร้อยละ 0.6 อุปสงค์ในประเทศ การส่งออก
และการนำเข้าขยายตัว 0.9 3.1 และร้อยละ 3.9 ตามลำดับ ทั้งนี้การฟื้นตัวดังกล่าวเนื่องจากอุปสงค์ในประเทศเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม
การขยายตัวทางเศรษฐกิจกำลังอยู่ในอัตราที่ชะลอลง เนื่องจากระดับราคาน้ำมันสูงขึ้น และการแข็งค่าของเงินยูโรที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุน
ของกิจการ (รอยเตอร์)
2. คำสั่งซื้อใหม่สินค้าอุตสาหกรรมของ Euro zone ในเดือน ก.ย.50 ลดลงมากกว่าที่คาดไว้ รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ
22 พ.ย.50 Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานคำสั่งซื้อใหม่สินค้าอุตสาหกรรมของ Euro zone ในเดือน ก.ย.50 ลดลง
ร้อยละ 1.6 ต่อเดือนและเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 ต่อปี ลดลงมากกว่าที่คาดไว้เมื่อเทียบต่อเดือน โดยผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์โดย
รอยเตอร์คาดว่าคำสั่งซื้อในเดือน ก.ย.50 จะลดลงร้อยละ 0.8 ต่อเดือนและเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 ต่อปี ทั้งนี้ เป็นผลจากค่าเงินยูโรที่แข็งขึ้น
มาอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.4873 ดอลลาร์ สรอ.ต่อยูโร โดยสูงขึ้นถึงประมาณร้อยละ 12.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน และราคาน้ำมัน
ที่สูงขึ้นมาอยู่ในระดับสูงกว่า 97 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและวิกฤติสินเชื่อในตลาดการเงินในขณะนี้ล้วนส่งผล
ต่อความเชื่อมั่นและการลงทุนของภาคธุรกิจรวมถึงการจ้างงานใหม่ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทั้งนี้ คำสั่งซื้อใหม่เป็น
ตัวชี้แนวโน้มผลผลิตอุตสาหกรรมและกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมในอนาคตซึ่งส่งผลต่อการกำหนดนโยบายการเงินของ ธ.กลางยุโรปหรือ ECB
โดยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ECB ได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.0 ต่อปี โดยให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจของ Euro zone
ในขณะนี้มีความเสี่ยงทั้งด้านเงินเฟ้อและเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัวลง ทำให้นักวิเคราะห์คาดว่า ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันต่อไปจนถึง
สิ้นปีหน้า (รอยเตอร์)
3. การลงทุนทางธุรกิจของอังกฤษในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 50 ขยายตัวต่ำสุดในรอบปี รายงานจากลอนดอนเมื่อ 22 พ.ย.50
The Office for National Statistics เปิดเผยว่า การลงทุนทางธุรกิจของอังกฤษในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 50 ขยายตัวต่ำสุดในรอบปี
ร้อยละ 4.6 ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 7.8 ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างมีความเห็นว่าตัวเลขการลงทุนดังกล่าวอาจส่งผลให้
ทางการอังกฤษปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 3 ลง นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่าการลงทุนทางธุรกิจ
อาจชะลอตัวต่อเนื่องไปถึงไตรมาสที่ 4 สาเหตุจากผลกระทบของปัญหาด้านสินเชื่อ ทั้งนี้ อัตราการขยายตัวของการลงทุนทางธุรกิจได้ขยายตัว
สูงสุดในรอบ 8 ปี เหนือระดับร้อยละ 13 ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 49 แล้วจึงค่อยๆ ชะลอลงในปี 50 อนึ่ง ธ.กลางอังกฤษได้ส่งสัญญาณเกี่ยวกับ
การคาดการณ์การลงทุนทางธุรกิจว่าจะชะลอลงสอดคล้องกับความคิดเห็นของบรรดานักวิเคราะห์ เนื่องจากผลการสำรวจพบว่าการลงทุนภาค
บริการเอกชนลดลงต่ำสุดในรอบปีร้อยละ 0.7 ในช่วงไตรมาสที่ 3 ขณะที่การลงทุนในภาคการก่อสร้างและภาคการผลิตขยายตัวร้อยละ 2.8
สำหรับการลงทุนโดยรวมในช่วงไตรมาสที่ 3 มีมูลค่ารวมประมาณ 35 พัน ล.ปอนด์ ไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนหน้า (รอยเตอร์)
4. ดัชนีราคาผู้บริโภคของมาเลเซียในเดือน ต.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เทียบต่อปี รายงานจากกัวลาลัมเปอร์เมื่อ
21 พ.ย.50 ทางการมาเลเซีย เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของมาเลเซียในเดือน ต.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เทียบต่อปี
สูงกว่าเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 แต่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่า ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจะ
ส่งผลให้ CPI ขยายตัวร้อยละ 2.0 ทั้งนี้ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของ CPI ดังกล่าว เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาอาหาร สาธารณูปโภค
และการขนส่ง ขณะที่เมื่อเทียบต่อเดือน CPI ขยายตัวร้อยละ 0.1 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 23 พ.ย. 50 22 พ.ย. 50 29 ธ.ค.49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.809 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.5995/33.9349 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.38375 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 808.82/18.18 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 12,850/12,950 12,750/12,850 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 89.07 90.26 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 32.89*/29.34* 32.49/28.94 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มเมื่อ 23 พ.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. อนุญาตให้สถาบันการเงินซื้อตราสารหนี้สกุลบาทจากต่างประเทศ นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน
ธปท. เปิดเผยว่า ธปท. ได้ออกหนังสือแจ้งต่อ ธ.พาณิชย์ทุกแห่ง ธ.เพื่อการส่งออกและนำเข้าฯ ธ.ออมสิน ธ.อิสลามฯ ธ.พัฒนาวิสาหกิจฯ
และบริษัทเงินทุนทุกแห่ง เกี่ยวกับการปรับปรุงมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทที่เกี่ยวกับการซื้อขายตราสารหนี้เงินบาทที่ออกและ
ขายโดยผู้มีถิ่นฐานในต่างประเทศ โดยให้สถาบันการเงินไทยสามารถซื้อพันธบัตรและหุ้นกู้สกุลเงินบาทที่ออกและขายโดยนิติบุคคลที่มีถิ่นฐานใน
ต่างประเทศได้ทุกประเทศ ที่ได้รับอนุญาตให้ออกและขายได้จาก ก.คลังให้ออกจำหน่ายในประเทศ จากเดิมที่อนุญาตให้ซื้อพันธบัตรและหุ้นกู้สกุล
เงินบาทได้เฉพาะที่ออกและขายโดยสถาบันการเงินระหว่างประเทศ สถาบันการเงินของรัฐบาลในต่างประเทศ รัฐบาลต่างประเทศ หรือ
นิติบุคคลในประเทศ เฉพาะในกลุ่มอาเซียน รวมถึงญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน ที่ได้รับอนุญาตจาก รมว.คลังเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อช่วยในการพัฒนา
ตลาดตราสารหนี้ในประเทศไทยตามนโยบายของภาครัฐ โดยให้มีผลทันทีในวันที่ 22 พ.ย.50 (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้,
ไทยรัฐ)
2. ยอดจองซื้อพันธบัตรกองทุนฟื้นฟูฯ วันแรกกว่า 6 หมื่นล้านบาท นางพวงทิพย์ ปรมาพจน์ ผอ.สำนักบริหารธุรกิจและการเงิน
สายจัดการกองทุน ธปท. เปิดเผยว่า การจองพันธบัตรกองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งเปิดให้จองเมื่อวานนี้ (22 พ.ย.) เป็นวันแรก มียอดจองผ่าน
ธ.พาณิชย์ทั้ง 11 แห่ง วงเงิน 6 หมื่นล้านบาท โดยมีประชาชนสั่งจองทั้งสิ้น 1 หมื่นราย จากวงเงินพันธบัตรฯ ทั้งหมด 8 หมื่นล้านบาท
สำหรับประชาชนที่สนใจจะจองพันธบัตรออมทรัพย์ของกองทุนฟื้นฟูฯ ยังสามารถไปจองที่ ธ.ออมสิน ธ.กรุงไทย ธ.ซิตี้แบงก์ และ ธ.ฮ่องกง
และเซี่ยงไฮ้ฯ ที่ยังมีเหลือให้จองได้อีกจนถึงวันที่ 29 พ.ย.นี้ โดย ธปท. จะพยายามกระจายพันธบัตรให้กับรายย่อยให้ได้มากที่สุด ส่วนกรณี
ที่มีข่าวร้องเรียนว่าไปรอตั้งแต่เช้าแต่ไม่สามารถจองได้ทันในบางธนาคารนั้น คาดว่าโควตาของแต่ละธนาคารที่กระจายไปยังสาขาคงจะหมดจริง
หากประชาชนที่ยังต้องการจองซื้อพันธบัตรสามารถไปจองได้ที่ธนาคาร 5 แห่ง ที่ยังมีวงเงินเหลือเปิดให้จองได้อีก สำหรับวงเงินพันธบัตรของ
กองทุนฟื้นฟูฯ ที่ยังเหลืออีก 5 หมื่นล้านบาท ภายในปีนี้กองทุนจะยังไม่ออกขาย ส่วนปีหน้าจะขายหรือไม่ต้องประเมินภาพรวมของภาวะตลาดอีกครั้ง
ทั้งนี้ ยืนยันว่าการออกพันธบัตรของกองทุนไม่ได้เป็นตัวเร่งให้ ธ.พาณิชย์มีการระดมเงินฝากเพิ่มขึ้น ซึ่งการระดมเงินฝากของ ธ.พาณิชย์ขึ้นอยู่กับ
สภาพคล่องของแต่ละธนาคารมากกว่า (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
3. นักวิชาการขอให้ ธปท. ยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 นายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีต รมช.คลัง กล่าวในงานสัมมนา
เรื่อง “เสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงินไทยบนกติกาใหม่ : โอกาสหรือกับดัก?” ว่า ธปท. ควรยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้า
ร้อยละ 30 เพราะทำให้เกิดตลาดเงิน 2 ตลาด ส่งผลให้ค่าเงินในตลาดต่างประเทศแข็งค่ามากกว่าตลาดในประเทศ กดดันให้เงินบาทแข็งค่า
ตลอดเวลาและยังเป็นอุปสรรคในการค้าระหว่างประเทศ เพราะทำให้นักลงทุนสับสนเนื่องจากการกำหนดราคาตามมาตรฐานบัญชีให้ยึดตาม
ราคาตลาดต่างประเทศ และการคงไว้ยังสร้างปัญหาให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องการเงินลงทุนจากต่างชาติ นอกจากนี้ การดูแลค่าเงินบาทของ
ธปท. ที่เข้าแทรกแซงตลอดเวลาทำให้ทุนสำรองสะสมเพิ่มขึ้น ซึ่งในอนาคตอาจสร้างปัญหา เพราะภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ก็สะสมทุนสำรองเช่นกัน
ขณะที่ นายอัมพร แสงมณี ผอ.ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า มาตรการกันสำรองร้อยละ 30 เป็นมาตรการระยะสั้น จะยกเลิกเมื่อ
เหมาะสม ขณะนี้ค่าเงินบาทยังอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ และการดูแลค่าเงินของ ธปท. จะไม่ทำให้ทุนสำรองที่เพิ่มขึ้น
สร้างปัญหา เพราะมีนโยบายการบริหารทุนสำรองที่ชัดเจน มีผลตอบแทนค่อนข้างดี ด้าน นายพรชัย ชุนหจินดา ศาสตราจารย์ภาควิชาการเงิน
คณะพาณิชย์ฯ มธ. กล่าวว่า สิ่งที่น่าห่วงคือ นักลงทุนมีการโยกย้ายเงินผ่านระบบธนาคารที่ทำธุรกรรม นำเงินออกในรูปเงินสด โลหะมีค่า
การถ่ายโอนกำไร และการออกใบกำกับสินค้าที่บิดเบือน ซึ่งวิธีนี้จะมีมากขึ้นในอนาคต (โพสต์ทูเดย์, เดลินิวส์)
4. ก.คลังให้ ธ.กรุงเทพรอกฎหมายใหม่กรณีการขายหุ้นที่ถือใน ธ.สินเอเชีย นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า
ทางออกของปัญหาการขายหุ้น ธ.สินเอเชีย ที่ ธ.กรุงเทพถือหุ้นทั้งหมดประมาณร้อยละ 19 ที่มีข้อกำหนดให้ขายหุ้นดังกล่าวออกไปภายในกฎเกณฑ์
ของ ธปท. ที่ห้ามสถาบันการเงินมีหุ้นในสถาบันการเงินอื่นเกินร้อยละ 10 ซึ่งจะมีผลสิ้นสุดในเดือน ธ.ค.นี้ ขณะที่ สนง.กฤษฎีกาได้ตอบข้อหารือ
ของ ก.คลังว่า ธ.สินเอเชียไม่สามารถขายหุ้นให้พันธมิตรร่วมทุนได้มากกว่าร้อยละ 5 ต่อราย ภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่เดิม และการอนุญาต
ให้ต่างชาติถือหุ้นในสถาบันการเงินเกินกว่าร้อยละ 25 จะทำได้เฉพาะกรณีเพื่อแก้ปัญหาฐานะของสถาบันการเงินเท่านั้น จะสามารถแก้ไขได้
โดยการใช้ พรบ.สถาบันการเงินฉบับใหม่ที่ ธปท. เสนอแก้ไข ที่อนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นในสถาบันการเงินแต่ละแห่งได้ถึงร้อยละ 49 จาก
ปัจจุบันกำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 25 รวมทั้งอนุญาตให้ผู้ถือหุ้นแต่ละรายสามารถถือหุ้นในสถาบันการเงินได้เกินร้อยละ 5 ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอน
การพิจารณาของกรรมาธิการของ สนช. คาดว่าจะผ่านการพิจารณาของ สนช. ทันรัฐบาลชุดนี้ โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในต้นเดือน ธ.ค.
(มติชน, กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. เศรษฐกิจเยอรมนีในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวร้อยละ 0.7 รายงานจากเบอร์ลินเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 50 สำนักงานสถิติแห่งชาติ
เยอรมนีเปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 3 เศรษฐกิจเติบโตร้อยละ 0.7 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) เพิ่มขึ้นจากที่ขยายตัวร้อยละ 0.3 ในไตรมาส
ก่อนหน้า ขณะที่เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้วเศรษฐกิจเติบโตร้อยละ 2.4 เทียบกับที่ระดับร้อยละ 2.5 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยภาคเอกชน
มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 แต่การใช้จ่ายภาครัฐลดลงร้อยละ 0.1 ส่วนการลงทุนขยายตัวร้อยละ 0.6 อุปสงค์ในประเทศ การส่งออก
และการนำเข้าขยายตัว 0.9 3.1 และร้อยละ 3.9 ตามลำดับ ทั้งนี้การฟื้นตัวดังกล่าวเนื่องจากอุปสงค์ในประเทศเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม
การขยายตัวทางเศรษฐกิจกำลังอยู่ในอัตราที่ชะลอลง เนื่องจากระดับราคาน้ำมันสูงขึ้น และการแข็งค่าของเงินยูโรที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุน
ของกิจการ (รอยเตอร์)
2. คำสั่งซื้อใหม่สินค้าอุตสาหกรรมของ Euro zone ในเดือน ก.ย.50 ลดลงมากกว่าที่คาดไว้ รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ
22 พ.ย.50 Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานคำสั่งซื้อใหม่สินค้าอุตสาหกรรมของ Euro zone ในเดือน ก.ย.50 ลดลง
ร้อยละ 1.6 ต่อเดือนและเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 ต่อปี ลดลงมากกว่าที่คาดไว้เมื่อเทียบต่อเดือน โดยผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์โดย
รอยเตอร์คาดว่าคำสั่งซื้อในเดือน ก.ย.50 จะลดลงร้อยละ 0.8 ต่อเดือนและเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 ต่อปี ทั้งนี้ เป็นผลจากค่าเงินยูโรที่แข็งขึ้น
มาอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.4873 ดอลลาร์ สรอ.ต่อยูโร โดยสูงขึ้นถึงประมาณร้อยละ 12.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน และราคาน้ำมัน
ที่สูงขึ้นมาอยู่ในระดับสูงกว่า 97 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและวิกฤติสินเชื่อในตลาดการเงินในขณะนี้ล้วนส่งผล
ต่อความเชื่อมั่นและการลงทุนของภาคธุรกิจรวมถึงการจ้างงานใหม่ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทั้งนี้ คำสั่งซื้อใหม่เป็น
ตัวชี้แนวโน้มผลผลิตอุตสาหกรรมและกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมในอนาคตซึ่งส่งผลต่อการกำหนดนโยบายการเงินของ ธ.กลางยุโรปหรือ ECB
โดยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ECB ได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.0 ต่อปี โดยให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจของ Euro zone
ในขณะนี้มีความเสี่ยงทั้งด้านเงินเฟ้อและเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัวลง ทำให้นักวิเคราะห์คาดว่า ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันต่อไปจนถึง
สิ้นปีหน้า (รอยเตอร์)
3. การลงทุนทางธุรกิจของอังกฤษในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 50 ขยายตัวต่ำสุดในรอบปี รายงานจากลอนดอนเมื่อ 22 พ.ย.50
The Office for National Statistics เปิดเผยว่า การลงทุนทางธุรกิจของอังกฤษในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 50 ขยายตัวต่ำสุดในรอบปี
ร้อยละ 4.6 ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 7.8 ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างมีความเห็นว่าตัวเลขการลงทุนดังกล่าวอาจส่งผลให้
ทางการอังกฤษปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 3 ลง นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่าการลงทุนทางธุรกิจ
อาจชะลอตัวต่อเนื่องไปถึงไตรมาสที่ 4 สาเหตุจากผลกระทบของปัญหาด้านสินเชื่อ ทั้งนี้ อัตราการขยายตัวของการลงทุนทางธุรกิจได้ขยายตัว
สูงสุดในรอบ 8 ปี เหนือระดับร้อยละ 13 ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 49 แล้วจึงค่อยๆ ชะลอลงในปี 50 อนึ่ง ธ.กลางอังกฤษได้ส่งสัญญาณเกี่ยวกับ
การคาดการณ์การลงทุนทางธุรกิจว่าจะชะลอลงสอดคล้องกับความคิดเห็นของบรรดานักวิเคราะห์ เนื่องจากผลการสำรวจพบว่าการลงทุนภาค
บริการเอกชนลดลงต่ำสุดในรอบปีร้อยละ 0.7 ในช่วงไตรมาสที่ 3 ขณะที่การลงทุนในภาคการก่อสร้างและภาคการผลิตขยายตัวร้อยละ 2.8
สำหรับการลงทุนโดยรวมในช่วงไตรมาสที่ 3 มีมูลค่ารวมประมาณ 35 พัน ล.ปอนด์ ไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนหน้า (รอยเตอร์)
4. ดัชนีราคาผู้บริโภคของมาเลเซียในเดือน ต.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เทียบต่อปี รายงานจากกัวลาลัมเปอร์เมื่อ
21 พ.ย.50 ทางการมาเลเซีย เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของมาเลเซียในเดือน ต.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เทียบต่อปี
สูงกว่าเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 แต่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่า ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจะ
ส่งผลให้ CPI ขยายตัวร้อยละ 2.0 ทั้งนี้ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของ CPI ดังกล่าว เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาอาหาร สาธารณูปโภค
และการขนส่ง ขณะที่เมื่อเทียบต่อเดือน CPI ขยายตัวร้อยละ 0.1 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 23 พ.ย. 50 22 พ.ย. 50 29 ธ.ค.49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.809 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.5995/33.9349 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.38375 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 808.82/18.18 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 12,850/12,950 12,750/12,850 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 89.07 90.26 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 32.89*/29.34* 32.49/28.94 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มเมื่อ 23 พ.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--