ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.เผยความคืบหน้า ร่างกฎหมายการเงินทั้ง 3 ฉบับ ผอส.ฝ่ายกฎหมายและคดี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยว่า ขณะนี้กฎหมายการเงินที่ ธปท.เสนอร่างแก้ไขใหม่ทั้ง 3 ฉบับ ซึ่งประกอบด้วย พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ร.บ.ธุรกิจ
สถาบันการเงิน และ พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก มีความคืบหน้าไปมากแล้ว โดยในส่วนของกฎหมาย ธปท.ได้เสร็จสิ้นขั้นตอนการพิจารณา
ของคณะกรรมาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวาระแรกแล้ว รวมทั้งกฎหมายธุรกิจสถาบันการเงินและสถาบันคุ้มครองเงินฝากด้วย
และกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการขั้นตอนต่อไปอยู่ คาดว่าในช่วงเดือน ม.ค.51 กฎหมาย ธปท.จะสามารถนำมาประกาศบังคับใช้ได้ ส่วนกฎหมาย
สถาบันการเงินและคุ้มครองเงินฝากคาดว่าจะประกาศใช้ได้ในกลางปี 51 (โพสต์ทูเดย์, เดลินิวส์)
2. ธปท.ขอหารือ ก.คลังเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขฐานะของ ธ.ไทยธนาคาร รายงานข่าวจาก ก.คลัง เปิดเผยว่า ผู้บริหาร
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเข้าพบ รมว.คลังเพื่อหารือแนวทางแก้ไขฐานะของ ธ.ไทยธนาคาร ที่ปัญหาเริ่มรุนแรงมากขึ้น ก่อนที่
กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจะประชุมกันในวันที่ 29 พ.ย.นี้ ทั้งนี้ ธปท.ต้องการให้ รมว.คลังอนุมัติการเปลี่ยนผู้บริหาร
ของธนาคาร ในฐานะที่ ก.คลังเป็นเจ้าของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ธ.ไทยธนาคาร ซึ่ง ธปท.เชื่อว่าหากมีการเปลี่ยนแปลง
ผู้บริหาร การดำเนินงานของธนาคารจะดีขึ้น ซึ่งหากปัญหาแก้ไขไม่เบ็ดเสร็จ อาจจะส่งผลกระทบทำให้พันธมิตรของธนาคารดังเช่นกองทุน
ทีพีจีนิวบริดจ์ถอนตัวออกจากการถือหุ้นธนาคาร เพราะเห็นว่าไม่คุ้มทุน (โพสต์ทูเดย์)
3. ก.พาณิชย์คาดส่งออกปีนี้ขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15-17 รมว.พาณิชย์ คาดการณ์ว่า การส่งออกปีนี้จะขยายตัวไม่น้อยกว่า
ร้อยละ 15-17 และช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีนี้น่าจะขยายตัวดีต่อเนื่องที่ร้อยละ 15-18 ภายหลังการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบเพื่อการส่งออก
เดือน ต.ค.สูงขึ้น และสัดส่วนส่งออกตลาดใหม่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบมากนักต่อความสามารถการแข่งขัน
ด้านการส่งออกของไทย แต่มีความกังวลด้านราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมากกว่า เนื่องจากทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และอาจเสียเปรียบประเทศที่
นำเข้าน้ำมันน้อยกว่า อนึ่ง การส่งออกเดือน ต.ค.50เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 26.7 คิดเป็นมูลค่า 1.45 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นมูลค่า
การส่งออกที่สูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.24 คิดเป็นมูลค่า 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ส่งผลให้มียอดเกินดุล
การค้าเดือน ต.ค.ประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับการส่งออก 10 เดือนแรกปีนี้ขยายตัวประมาณร้อยละ 17.2 ขณะที่มูลค่า
การนำเข้าขยายตัวประมาณร้อยละ 7.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ก.พาณิชย์กำหนดเป้าหมายการส่งออกของปีนี้ว่าจะขยายตัว
เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 จากปีก่อนหน้า (สยามรัฐ)
4. ก.พลังงานเตรียมประกาศใช้โครงสร้างราคาน้ำมันอี 20 ซึ่งถูกกว่าน้ำมันเบนซิน 4.50-5 บาท/ลิตร รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า
ขณะนี้ประเทศไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับพลังงานทดแทน โดยได้เร่งให้มีการประกาศโครงสร้างราคาน้ำมันอี 20 ซึ่งเป็นน้ำมันเบนซินที่
ผสมกับเอทานอลในสัดส่วนร้อยละ 20 ออกมาใช้ให้เร็วขึ้น หลังจากราคาขายปลีกน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยจะมีส่วนต่างราคา
ที่ถูกกว่าแก๊สโซลฮอล์ 95 ประมาณ 50 สตางค์ถึง 1 บาท/ลิตร หรือถูกกว่าเบนซินเฉลี่ย 4.50-5 บาท/ลิตร ทั้งนี้ เชื่อว่า อี 20 น่าจะได้รับ
ความสนใจในอนาคต เนื่องจากค่ายรถยนต์ต่าง ๆ เริ่มปรับสเปกเครื่องยนต์รถใหม่ให้รองรับน้ำมันชนิดดังกล่าวแล้ว ขณะเดียวกันเตรียมหารือ
กับ ก.อุตสาหกรรมเพื่อขอให้กำหนดเป็นมาตรฐานบังคับสำหรับรถยนต์ใหม่ที่ออกจากโรงงานต้องใช้อี 20 ได้ (โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, ข่าวสด)
5. กรมการค้าภายในเตรียมปล่อยสินค้าขึ้นราคาหลังวิเคราะห์ต้นทุนพุ่งสูงขึ้น อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้
จัดอันดับความสำคัญและความจำเป็นในการพิจารณาปรับขึ้นราคาสินค้าตามที่ผู้ประกอบการยื่นขอมาจากทั้งสิ้น 13 ประเภทสินค้า จำนวน
588 รายการ เพื่อให้สินค้าที่มีความจำเป็นและมีภาระต้นทุนเพิ่มขึ้นมากที่สุดได้ปรับขึ้นราคาก่อนตามความจำเป็น ส่วนสินค้าที่มีภาระต้นทุนเพิ่มขึ้น
เล็กน้อย และผู้ประกอบการยังสามารถแบกรับภาระต้นทุนได้ ก็จะขอร้องให้ตรึงราคาสินค้าออกไปก่อน โดยในสัปดาห์นี้กรมฯ จะเชิญผู้ประกอบการ
น้ำมันพืชบรรจุขวด แบตเตอรี่ และยางรถยนต์ เข้ามาพบเป็นราย ๆ เพื่อหารือถึงภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น หลังจากที่ทั้ง 3 กลุ่มได้ทำเรื่องขอปรับขึ้น
ราคาเข้ามาใหม่ ซึ่งกรมฯ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ปรับขึ้นราคาขาย เพราะจากการตรวจสอบต้นทุนการผลิตสินค้าพบว่า
มีอัตราการเพิ่มขึ้นสูงมากและได้รับผลกระทบจริง (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, มติชน)
6. ก.อุตสาหกรรมคาดว่าจีดีพีอุตสาหกรรมปี 51 จะขยายตัวเพียงร้อยละ 5.08 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ปลัด
ก.อุตสาหกรรม ระบุว่า แนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมปี 51 จะยังเติบโต แต่อัตราการเติบโตจะอยู่ในระดับที่ทรงตัวและใกล้เคียงปี 50 โดยคาดว่า
ผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ภาคอุตสาหกรรม ปี 51 จะขยายตัวอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.08 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากปัจจัย
หลายด้าน อาทิ ค่าเงินยูโรที่มีทิศทางแข็งค่าขึ้น ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ปัญหาสินเชื่อคุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายภายในประเทศจะเป็นตัวผลักดันให้เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ โดยเฉพาะปี 51
ที่คาดว่าจะมีการลงทุนผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) ซึ่งขณะนี้มีผู้ยื่นขอรับการส่งเสริมแล้ว 3 ราย และคาดว่าก่อน
วันที่ 30 พ.ย.จะมีผู้ยื่นขอรับการส่งเสริมเพิ่ม 1-2 ราย (แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดขายของผู้ค้าปลีกใน สรอ.ในวันแรกของเทศกาลจับจ่ายในวันหยุดเมื่อวันที่ 23 พ.ย.50 ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3
เมื่อเทียบกับปีก่อน รายงานจากชิคาโก เมื่อ 24 พ.ย.50 ยอดขายของผู้ค้าปลีกใน สรอ.ในวันแรกของเทศกาลจับจ่ายในวันหยุดหรือที่เรียกว่า
Black Friday เมื่อวันที่ 23 พ.ย.50 ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมียอดขายประมาณ 10.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
สร้างความโล่งใจให้ผู้ค้าปลีกใน สรอ.ได้ระดับหนึ่งเนื่องจากโดยปรกติแล้วยอดขายใน Black Friday ในแต่ละปีจะมีสัดส่วนประมาณ
ร้อยละ 4.5 — 5 ของยอดขายทั้งหมดในช่วงเทศกาลดังกล่าวของแต่ละปี แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคใน สรอ.ยังต้องการจับจ่ายซื้อของแม้จะมี
ความกังวลเกี่ยวกับภาวะซบเซาของตลาดบ้าน วิกฤติสินเชื่อและราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้ 100 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลแล้วก็ตาม
นอกจากร้านค้าทั่วไปที่มีลูกค้าเพิ่มขึ้นแล้ว ร้านค้าออนไลน์อย่าง eBay, Shopping.com และ Paypal ก็มีปริมาณการเข้าเยี่ยมชมเว็ปไซด์
เพิ่มขึ้นมากด้วยเช่นเดียวกัน โดย Shopping.com รายงานว่าปริมาณการเข้าชมเว็ปไซด์ในปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 61 เมื่อเทียบกับปีก่อน (รอยเตอร์)
2. กิจการและคนงานในอังกฤษวิตกเกี่ยวกับผลกระทบจากวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ของ สรอ. รายงานจากลอนดอนเมื่อ
วันที่ 25 พ.ย. 50 สมาคมอุตสาหกรรมของอังกฤษ (Confederation of British Industry - CBI) รายงานผลการสำรวจกิจการต่างๆ
พบว่า กิจการร้อยละ 12 ประสบภาวะขาดแคลนเงินทุนแล้ว ขณะที่ร้อยละ 22 คาดว่าจะประสบกับภาวะเงินตึงตัวในอีก 3 เดือนข้างหน้า
ส่วนร้อยละ 31 เห็นว่าจะเกิดปัญหาการขาดแคลนเงินทุนในอีก 6 — 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ภาวะสินเชื่อและเงินทุนกู้ยืมมีต้นทุนสูงขึ้นส่งสัญญานว่า
ภาวะสินเชื่อจะไม่สดใส ซึ่งส่วนใหญ่วิตกว่าการขอสินเชื่อจะได้รับการปฏิเสธ อย่างไรก็ตามผลกระทบดังกล่าวมิได้ส่งผลต่อเงินทุนของกิจการ
ขนาดเล็ก แต่กิจการขนาดใหญ่ได้รับผลกระทบจากภาวะดังกล่าวและเริ่มที่จะลดแผนการลงทุนลงเพราะส่วนใหญ่คาดว่าสถานการณ์จะเลวลงกว่านี้
โดยบรรดาธุรกิจเหล่านี้ต่างวิตกว่าต้นทุนสินเชื่อจะสูงขึ้นอีกและการขอสินเชื่อจะเข้มงวดมากขึ้นในปีหน้า ขณะที่ผลการสำรวจกิจการที่ปรึกษา
และกิจการบัญชีพบว่า 2 ใน 3 ของคนงาน 1,860 คนในอังกฤษคาดว่า วิกฤติสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจอังกฤษ
และร้อยละ 12 เกรงว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงอย่างมาก (รอยเตอร์)
3. คาดว่าราคาบ้านในอังกฤษในเดือน พ.ย. จะขยายตัวลดลง รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 26 พ.ย.50
Hometrack บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษ เปิดเผยผลสำรวจคาดว่า ราคาบ้านในอังกฤษในเดือน พ.ย. จะขยายตัวสูงกว่า
ปีก่อนร้อยละ 3.6 แต่ลดลงจากร้อยละ 4.4 ในเดือน ต.ค. และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค.49 โดยมีสาเหตุจากอัตราดอกเบี้ยที่
เพิ่มสูงขึ้นและความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของประชาชนลดลง ขณะที่ดัชนีชี้วัดอันอื่นที่แสดงให้เห็นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังชะลอตัวคือ สัดส่วน
ของราคาทรัพย์สินที่ขายได้ลดลงอยู่ที่ระดับร้อยละ 93.8 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบสองปี ทั้งนี้ คาดว่าราคาบ้านในอังกฤษในปีหน้าจะเพิ่มขึ้น
เพียงร้อยละ 1 เนื่องจากทัศนคติของประชาชนที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจลดลง ระดับความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนและภาวะ
สินเชื่อที่ตึงตัว ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวในอนาคต อย่างไรก็ตาม จากการที่กำลังเกิดภาวะขาดแคลนที่อยู่อาศัยเข้าสู่ตลาดจะช่วยทำให้ราคาบ้าน
ไม่ลดลงไปมากนัก (รอยเตอร์)
4. รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีชี้เศรษฐกิจหลักของญี่ปุ่นในเดือน ต.ค.50 รายงานจากโตเกียวเมื่อ 26 พ.ย.50
รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจดัชนี้ชี้เศรษฐกิจหลักของญี่ปุ่นในเดือน ต.ค.50 จากความคิดเห็นของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งคาดการณ์ว่า
ยอดขายปลีกจะขยายตัวร้อยละ 0.5 เทียบต่อปี นับเป็นการขยายตัวในระดับเดียวกับ 2 เดือนก่อนหน้า ที่สภาพอากาศเอื้ออำนวยให้มีการจับจ่าย
ซื้อสินค้าในช่วงฤดูร้อน เช่นเดียวกับผลผลิตอุตสาหกรรมซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 สาเหตุจากยอดส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) คาดว่าจะทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับอัตราการว่างงานคาดว่าจะทรงตัวที่ระดับร้อยละ 4.0 ส่วนหนึ่ง
เป็นผลจากบริษัทขนาดเล็กมีการเลิกจ้างเนื่องจากบริษัทประสบภาวะวิกฤติด้านผลประกอบการและต้นทุนวัตถุดิบ ส่งผลต่อการแข่งขันทางการค้า
ทำให้จำเป็นต้องลดต้นทุนด้านแรงงานลง อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนการจ้างงานต่อกำลังแรงงานยังคงทรงตัวอยู่ที่ระดับ 1.05 ไม่เปลี่ยนแปลง
จากเดือนก่อนหน้า ในส่วนของการใช้จ่ายครัวเรือนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เทียบต่อปี นับเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ขณะที่
ยอดการก่อสร้างบ้านใหม่คาดว่าจะลดลงร้อยละ 36.0 เทียบต่อปี แต่เป็นการชะลอตัวต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าที่ลดลงร้อยละ 44.0 เทียบต่อปี
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 26 พ.ย. 50 23 พ.ย. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.823 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.6099/33.9287 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.39063 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 824.25/16.84 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,100/13,200 12,850/12,950 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 88.65 89.07 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 32.89*/29.34* 32.89*/29.34* 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มเมื่อ 23 พ.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.เผยความคืบหน้า ร่างกฎหมายการเงินทั้ง 3 ฉบับ ผอส.ฝ่ายกฎหมายและคดี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยว่า ขณะนี้กฎหมายการเงินที่ ธปท.เสนอร่างแก้ไขใหม่ทั้ง 3 ฉบับ ซึ่งประกอบด้วย พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ร.บ.ธุรกิจ
สถาบันการเงิน และ พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก มีความคืบหน้าไปมากแล้ว โดยในส่วนของกฎหมาย ธปท.ได้เสร็จสิ้นขั้นตอนการพิจารณา
ของคณะกรรมาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวาระแรกแล้ว รวมทั้งกฎหมายธุรกิจสถาบันการเงินและสถาบันคุ้มครองเงินฝากด้วย
และกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการขั้นตอนต่อไปอยู่ คาดว่าในช่วงเดือน ม.ค.51 กฎหมาย ธปท.จะสามารถนำมาประกาศบังคับใช้ได้ ส่วนกฎหมาย
สถาบันการเงินและคุ้มครองเงินฝากคาดว่าจะประกาศใช้ได้ในกลางปี 51 (โพสต์ทูเดย์, เดลินิวส์)
2. ธปท.ขอหารือ ก.คลังเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขฐานะของ ธ.ไทยธนาคาร รายงานข่าวจาก ก.คลัง เปิดเผยว่า ผู้บริหาร
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเข้าพบ รมว.คลังเพื่อหารือแนวทางแก้ไขฐานะของ ธ.ไทยธนาคาร ที่ปัญหาเริ่มรุนแรงมากขึ้น ก่อนที่
กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจะประชุมกันในวันที่ 29 พ.ย.นี้ ทั้งนี้ ธปท.ต้องการให้ รมว.คลังอนุมัติการเปลี่ยนผู้บริหาร
ของธนาคาร ในฐานะที่ ก.คลังเป็นเจ้าของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ธ.ไทยธนาคาร ซึ่ง ธปท.เชื่อว่าหากมีการเปลี่ยนแปลง
ผู้บริหาร การดำเนินงานของธนาคารจะดีขึ้น ซึ่งหากปัญหาแก้ไขไม่เบ็ดเสร็จ อาจจะส่งผลกระทบทำให้พันธมิตรของธนาคารดังเช่นกองทุน
ทีพีจีนิวบริดจ์ถอนตัวออกจากการถือหุ้นธนาคาร เพราะเห็นว่าไม่คุ้มทุน (โพสต์ทูเดย์)
3. ก.พาณิชย์คาดส่งออกปีนี้ขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15-17 รมว.พาณิชย์ คาดการณ์ว่า การส่งออกปีนี้จะขยายตัวไม่น้อยกว่า
ร้อยละ 15-17 และช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีนี้น่าจะขยายตัวดีต่อเนื่องที่ร้อยละ 15-18 ภายหลังการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบเพื่อการส่งออก
เดือน ต.ค.สูงขึ้น และสัดส่วนส่งออกตลาดใหม่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบมากนักต่อความสามารถการแข่งขัน
ด้านการส่งออกของไทย แต่มีความกังวลด้านราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมากกว่า เนื่องจากทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และอาจเสียเปรียบประเทศที่
นำเข้าน้ำมันน้อยกว่า อนึ่ง การส่งออกเดือน ต.ค.50เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 26.7 คิดเป็นมูลค่า 1.45 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นมูลค่า
การส่งออกที่สูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.24 คิดเป็นมูลค่า 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ส่งผลให้มียอดเกินดุล
การค้าเดือน ต.ค.ประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับการส่งออก 10 เดือนแรกปีนี้ขยายตัวประมาณร้อยละ 17.2 ขณะที่มูลค่า
การนำเข้าขยายตัวประมาณร้อยละ 7.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ก.พาณิชย์กำหนดเป้าหมายการส่งออกของปีนี้ว่าจะขยายตัว
เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 จากปีก่อนหน้า (สยามรัฐ)
4. ก.พลังงานเตรียมประกาศใช้โครงสร้างราคาน้ำมันอี 20 ซึ่งถูกกว่าน้ำมันเบนซิน 4.50-5 บาท/ลิตร รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า
ขณะนี้ประเทศไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับพลังงานทดแทน โดยได้เร่งให้มีการประกาศโครงสร้างราคาน้ำมันอี 20 ซึ่งเป็นน้ำมันเบนซินที่
ผสมกับเอทานอลในสัดส่วนร้อยละ 20 ออกมาใช้ให้เร็วขึ้น หลังจากราคาขายปลีกน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยจะมีส่วนต่างราคา
ที่ถูกกว่าแก๊สโซลฮอล์ 95 ประมาณ 50 สตางค์ถึง 1 บาท/ลิตร หรือถูกกว่าเบนซินเฉลี่ย 4.50-5 บาท/ลิตร ทั้งนี้ เชื่อว่า อี 20 น่าจะได้รับ
ความสนใจในอนาคต เนื่องจากค่ายรถยนต์ต่าง ๆ เริ่มปรับสเปกเครื่องยนต์รถใหม่ให้รองรับน้ำมันชนิดดังกล่าวแล้ว ขณะเดียวกันเตรียมหารือ
กับ ก.อุตสาหกรรมเพื่อขอให้กำหนดเป็นมาตรฐานบังคับสำหรับรถยนต์ใหม่ที่ออกจากโรงงานต้องใช้อี 20 ได้ (โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, ข่าวสด)
5. กรมการค้าภายในเตรียมปล่อยสินค้าขึ้นราคาหลังวิเคราะห์ต้นทุนพุ่งสูงขึ้น อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้
จัดอันดับความสำคัญและความจำเป็นในการพิจารณาปรับขึ้นราคาสินค้าตามที่ผู้ประกอบการยื่นขอมาจากทั้งสิ้น 13 ประเภทสินค้า จำนวน
588 รายการ เพื่อให้สินค้าที่มีความจำเป็นและมีภาระต้นทุนเพิ่มขึ้นมากที่สุดได้ปรับขึ้นราคาก่อนตามความจำเป็น ส่วนสินค้าที่มีภาระต้นทุนเพิ่มขึ้น
เล็กน้อย และผู้ประกอบการยังสามารถแบกรับภาระต้นทุนได้ ก็จะขอร้องให้ตรึงราคาสินค้าออกไปก่อน โดยในสัปดาห์นี้กรมฯ จะเชิญผู้ประกอบการ
น้ำมันพืชบรรจุขวด แบตเตอรี่ และยางรถยนต์ เข้ามาพบเป็นราย ๆ เพื่อหารือถึงภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น หลังจากที่ทั้ง 3 กลุ่มได้ทำเรื่องขอปรับขึ้น
ราคาเข้ามาใหม่ ซึ่งกรมฯ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ปรับขึ้นราคาขาย เพราะจากการตรวจสอบต้นทุนการผลิตสินค้าพบว่า
มีอัตราการเพิ่มขึ้นสูงมากและได้รับผลกระทบจริง (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, มติชน)
6. ก.อุตสาหกรรมคาดว่าจีดีพีอุตสาหกรรมปี 51 จะขยายตัวเพียงร้อยละ 5.08 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ปลัด
ก.อุตสาหกรรม ระบุว่า แนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมปี 51 จะยังเติบโต แต่อัตราการเติบโตจะอยู่ในระดับที่ทรงตัวและใกล้เคียงปี 50 โดยคาดว่า
ผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ภาคอุตสาหกรรม ปี 51 จะขยายตัวอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.08 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากปัจจัย
หลายด้าน อาทิ ค่าเงินยูโรที่มีทิศทางแข็งค่าขึ้น ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ปัญหาสินเชื่อคุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายภายในประเทศจะเป็นตัวผลักดันให้เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ โดยเฉพาะปี 51
ที่คาดว่าจะมีการลงทุนผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) ซึ่งขณะนี้มีผู้ยื่นขอรับการส่งเสริมแล้ว 3 ราย และคาดว่าก่อน
วันที่ 30 พ.ย.จะมีผู้ยื่นขอรับการส่งเสริมเพิ่ม 1-2 ราย (แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดขายของผู้ค้าปลีกใน สรอ.ในวันแรกของเทศกาลจับจ่ายในวันหยุดเมื่อวันที่ 23 พ.ย.50 ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3
เมื่อเทียบกับปีก่อน รายงานจากชิคาโก เมื่อ 24 พ.ย.50 ยอดขายของผู้ค้าปลีกใน สรอ.ในวันแรกของเทศกาลจับจ่ายในวันหยุดหรือที่เรียกว่า
Black Friday เมื่อวันที่ 23 พ.ย.50 ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมียอดขายประมาณ 10.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
สร้างความโล่งใจให้ผู้ค้าปลีกใน สรอ.ได้ระดับหนึ่งเนื่องจากโดยปรกติแล้วยอดขายใน Black Friday ในแต่ละปีจะมีสัดส่วนประมาณ
ร้อยละ 4.5 — 5 ของยอดขายทั้งหมดในช่วงเทศกาลดังกล่าวของแต่ละปี แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคใน สรอ.ยังต้องการจับจ่ายซื้อของแม้จะมี
ความกังวลเกี่ยวกับภาวะซบเซาของตลาดบ้าน วิกฤติสินเชื่อและราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้ 100 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลแล้วก็ตาม
นอกจากร้านค้าทั่วไปที่มีลูกค้าเพิ่มขึ้นแล้ว ร้านค้าออนไลน์อย่าง eBay, Shopping.com และ Paypal ก็มีปริมาณการเข้าเยี่ยมชมเว็ปไซด์
เพิ่มขึ้นมากด้วยเช่นเดียวกัน โดย Shopping.com รายงานว่าปริมาณการเข้าชมเว็ปไซด์ในปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 61 เมื่อเทียบกับปีก่อน (รอยเตอร์)
2. กิจการและคนงานในอังกฤษวิตกเกี่ยวกับผลกระทบจากวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ของ สรอ. รายงานจากลอนดอนเมื่อ
วันที่ 25 พ.ย. 50 สมาคมอุตสาหกรรมของอังกฤษ (Confederation of British Industry - CBI) รายงานผลการสำรวจกิจการต่างๆ
พบว่า กิจการร้อยละ 12 ประสบภาวะขาดแคลนเงินทุนแล้ว ขณะที่ร้อยละ 22 คาดว่าจะประสบกับภาวะเงินตึงตัวในอีก 3 เดือนข้างหน้า
ส่วนร้อยละ 31 เห็นว่าจะเกิดปัญหาการขาดแคลนเงินทุนในอีก 6 — 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ภาวะสินเชื่อและเงินทุนกู้ยืมมีต้นทุนสูงขึ้นส่งสัญญานว่า
ภาวะสินเชื่อจะไม่สดใส ซึ่งส่วนใหญ่วิตกว่าการขอสินเชื่อจะได้รับการปฏิเสธ อย่างไรก็ตามผลกระทบดังกล่าวมิได้ส่งผลต่อเงินทุนของกิจการ
ขนาดเล็ก แต่กิจการขนาดใหญ่ได้รับผลกระทบจากภาวะดังกล่าวและเริ่มที่จะลดแผนการลงทุนลงเพราะส่วนใหญ่คาดว่าสถานการณ์จะเลวลงกว่านี้
โดยบรรดาธุรกิจเหล่านี้ต่างวิตกว่าต้นทุนสินเชื่อจะสูงขึ้นอีกและการขอสินเชื่อจะเข้มงวดมากขึ้นในปีหน้า ขณะที่ผลการสำรวจกิจการที่ปรึกษา
และกิจการบัญชีพบว่า 2 ใน 3 ของคนงาน 1,860 คนในอังกฤษคาดว่า วิกฤติสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจอังกฤษ
และร้อยละ 12 เกรงว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงอย่างมาก (รอยเตอร์)
3. คาดว่าราคาบ้านในอังกฤษในเดือน พ.ย. จะขยายตัวลดลง รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 26 พ.ย.50
Hometrack บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษ เปิดเผยผลสำรวจคาดว่า ราคาบ้านในอังกฤษในเดือน พ.ย. จะขยายตัวสูงกว่า
ปีก่อนร้อยละ 3.6 แต่ลดลงจากร้อยละ 4.4 ในเดือน ต.ค. และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค.49 โดยมีสาเหตุจากอัตราดอกเบี้ยที่
เพิ่มสูงขึ้นและความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของประชาชนลดลง ขณะที่ดัชนีชี้วัดอันอื่นที่แสดงให้เห็นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังชะลอตัวคือ สัดส่วน
ของราคาทรัพย์สินที่ขายได้ลดลงอยู่ที่ระดับร้อยละ 93.8 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบสองปี ทั้งนี้ คาดว่าราคาบ้านในอังกฤษในปีหน้าจะเพิ่มขึ้น
เพียงร้อยละ 1 เนื่องจากทัศนคติของประชาชนที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจลดลง ระดับความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนและภาวะ
สินเชื่อที่ตึงตัว ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวในอนาคต อย่างไรก็ตาม จากการที่กำลังเกิดภาวะขาดแคลนที่อยู่อาศัยเข้าสู่ตลาดจะช่วยทำให้ราคาบ้าน
ไม่ลดลงไปมากนัก (รอยเตอร์)
4. รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีชี้เศรษฐกิจหลักของญี่ปุ่นในเดือน ต.ค.50 รายงานจากโตเกียวเมื่อ 26 พ.ย.50
รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจดัชนี้ชี้เศรษฐกิจหลักของญี่ปุ่นในเดือน ต.ค.50 จากความคิดเห็นของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งคาดการณ์ว่า
ยอดขายปลีกจะขยายตัวร้อยละ 0.5 เทียบต่อปี นับเป็นการขยายตัวในระดับเดียวกับ 2 เดือนก่อนหน้า ที่สภาพอากาศเอื้ออำนวยให้มีการจับจ่าย
ซื้อสินค้าในช่วงฤดูร้อน เช่นเดียวกับผลผลิตอุตสาหกรรมซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 สาเหตุจากยอดส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) คาดว่าจะทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับอัตราการว่างงานคาดว่าจะทรงตัวที่ระดับร้อยละ 4.0 ส่วนหนึ่ง
เป็นผลจากบริษัทขนาดเล็กมีการเลิกจ้างเนื่องจากบริษัทประสบภาวะวิกฤติด้านผลประกอบการและต้นทุนวัตถุดิบ ส่งผลต่อการแข่งขันทางการค้า
ทำให้จำเป็นต้องลดต้นทุนด้านแรงงานลง อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนการจ้างงานต่อกำลังแรงงานยังคงทรงตัวอยู่ที่ระดับ 1.05 ไม่เปลี่ยนแปลง
จากเดือนก่อนหน้า ในส่วนของการใช้จ่ายครัวเรือนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เทียบต่อปี นับเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ขณะที่
ยอดการก่อสร้างบ้านใหม่คาดว่าจะลดลงร้อยละ 36.0 เทียบต่อปี แต่เป็นการชะลอตัวต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าที่ลดลงร้อยละ 44.0 เทียบต่อปี
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 26 พ.ย. 50 23 พ.ย. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.823 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.6099/33.9287 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.39063 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 824.25/16.84 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,100/13,200 12,850/12,950 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 88.65 89.07 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 32.89*/29.34* 32.89*/29.34* 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มเมื่อ 23 พ.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--