ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ระบุค่าเงินบาททรงตัวเป็นผลจากอุปสงค์และอุปทานของอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในภาวะสมดุล นางสุชาดา กิระกุล
ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาวะค่าเงินบาทซึ่งเคลื่อนไหวที่ระดับประมาณ 33.80 บาท/ดอลลาร์ สรอ.
ในช่วงที่ผ่านมาว่า ธปท.ไม่ได้เข้าแทรกแซงค่าเงินบาทในตลาดเงินเพื่อให้เงินบาททรงตัว แต่เป็นผลจากอุปสงค์และอุปทานของอัตรา
แลกเปลี่ยนค่อนข้างอยู่ในภาวะที่สมดุล ทั้งภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายที่เข้าออกในระดับที่ใกล้เคียงกัน ประกอบกับราคาน้ำมันที่แพงขึ้นทำให้
มีการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ.ไว้เพื่อเตรียมชำระค่าน้ำมัน ขณะที่ผู้ส่งออกทยอยทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงไว้ล่วงหน้าตลอดทั้งปี จึงทำให้
ในระยะนี้ไม่มีแรงกดดันต่อค่าเงินบาทมากนัก และยืนยันว่า ธปท.ไม่มีการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนแน่นอน (มติชน)
2. ธปท.พร้อมรับซื้อ พธบ.กองทุนฟื้นฟูฯ 6 พัน ล.บาทนางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
กล่าวถึง พธบ.ออมทรัพย์ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ นำออกขายให้กับนักลงทุนรายย่อยจำนวน 80,000 ล.บาทก่อนหน้านี้ ซึ่งขายได้ไม่หมดว่า ขณะนี้
ธปท.กำลังหานักลงทุนที่สนใจซื้อแบบเฉพาะเจาะจง (private placement) อยู่ แต่หากไม่มีนักลงทุนรายใดสนใจซื้อ ธปท.ก็จะต้องเข้าไป
ซื้อเอง แล้วจึงออก พธบ.ธปท.เพื่อมาระดมทุนอีกต่อหนึ่ง ทั้งนี้ แหล่งข่าวจาก ธปท.เปิดเผยว่า จำนวน พธบ.ออมทรัพย์ของกองทุนฟื้นฟูฯ
ที่ออกขายทั้งหมด จนถึงวันที่เปิดจองวันสุดท้ายในวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา มีเหลืออยู่ทั้งสิ้นจำนวน 6,000 ล.บาท จาก พธบ.ที่นำออกขาย
ทั้งหมดจำนวน 80,000 ล.บาท (กรุงเทพธุรกิจ, ไทยโพสต์, มติชน)
3. คาดว่าจีดีพีภาคเกษตรปี 51 จะขยายตัวเฉลี่ย 4-5% เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า จากการ
ประเมินผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตร (จีดีพีภาคเกษตร) ปี 50 คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ 4.3% เนื่องจากสภาพดินฟ้าอากาศที่ดี ส่งผลให้
การผลิตได้ผลผลิตตามเป้าหมาย ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรอยู่ในเกณฑ์ที่ดี นอกจากนี้ จากภาวะดังกล่าว จะส่งผลให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูก
เพิ่มขึ้นในปี 51 ดังนั้น จีดีพีภาคเกษตรปีหน้า คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 4-5% ประกอบกับมีปัจจัยบวกสนับสนุนโดยเฉพาะราคาสินค้า ความ
ต้องการสินค้าเกษตรของตลาดต่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มการขยายตัวด้านการเกษตรปี 51 จะเพิ่มขึ้นทั้งด้าน
ปริมาณและราคา แต่ยังมีปัจจัยลบที่สำคัญและควรระวังคือ ราคาน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น รวมทั้งปัญหาเงินบาทแข็งค่า การ
กีดกันทางการค้าที่ยังส่งผลกระทบต่อการแข่งขันกับประเทศคู่แข่ง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจ สรอ. ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญ (กรุงเทพธุรกิจ)
4. ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปัญหาซับไพร์มในสหรัฐฯ ได้ข้อสรุปการแก้ไข รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทย เปิดเผยบรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 6 ธ.ค.50 ว่า ดัชนีปิดการซื้อขายที่ระดับ 845.19 จุด เพิ่มขึ้น
11.85 จุด หรือ 1.42% มูลค่าการซื้อขาย 19,435 ล.บาท โดยระหว่างวันปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะจุดสูงสุดที่ 848.11 จุด และอ่อนตัวต่ำสุด
ที่ 838.76 จุด ทั้งนี้ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย เปิดเผยว่า การที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วันที่ 6 ธ.ค. ปรับตัว
เพิ่มขึ้น เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นถ้วนหน้าหลังจากได้ประเด็นสนับสนุนในเรื่องที่รัฐบาลสหรัฐฯ และ
สถาบันการเงิน ได้ข้อสรุปร่วมกันเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ซับไพร์ม โดยเบื้องต้นจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยตายตัวเป็นระยะเวลา 5 ปี
เพื่อลดอัตราการยึดหลักประกันอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะช่วยให้ปัญหาซับไพร์มที่เกิดขึ้นนั้น คลี่คลายลงได้เร็วกว่าที่เคยคาดการณ์กันไว้ ว่าอาจจะ
จบลงในช่วงกลางปี 51 นอกจากนี้ ตลาดมีความคาดหวังว่า ธ.กลางสหรัฐฯ อาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 11 ธ.ค.50 นี้
เป็นประเด็นที่ช่วยกระตุ้นจิตวิทยาการลงทุน และทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามายังตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลางสหภาพยุโรปคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 4.0 รายงานจากเมืองแฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนี
เมื่อวันที่ 6 ธ.ค..50 ธ.กลางสหภาพยุโรปประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 4.0 เป็นไปตามผลสำรวจความคิดเห็น
นักเศรษฐศาสตร์ของสำนักข่าวรอยเตอร์ ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่า ธ.กลางสหภาพยุโรปจะคงนโยบายการเงินในปัจจุบันไปตลอด
ปี 51 เพื่อจัดการกับปัญหาแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและลดปัจจัยเสี่ยงทั้งหลายที่มีต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ อัตรา
เงินเฟ้อของเขตเศรษฐกิจยุโรปในเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.0 สูงสุดในรอบ 6 ปีครึ่ง (รอยเตอร์)
2. ธ.กลางยุโรปหรือ ECB คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของ Euro zone ในปี 52 จะอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปี รายงาน
จากแฟรงค์เฟริท์ เมื่อ 6 ธ.ค.50 ECB คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของ Euro zone ในปี 52 จะอยู่ระหว่างร้อยละ 1.2 — 2.4 ต่อปี โดยมี
ค่ากลางอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ต่อปี ในขณะที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้จะอยู่ระหว่างร้อยละ 2 — 2.2 ต่อปี โดยมีค่ากลางอยู่ที่ร้อยละ 2.1 ต่อปี
และสำหรับปี 51 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ระหว่างร้อยละ 2 — 3 ต่อปี โดยมีค่ากลางอยู่ที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี นอกจาก ECB ยังคาดว่า
เศรษฐกิจของ Euro zone ในปีหน้าจะขยายตัวระหว่างร้อยละ 1.5 — 2.5 ต่อปี ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในปี 52 ซึ่งคาดว่าจะขยายตัว
ระหว่างร้อยละ 1.6 — 2.6 ต่อปี (รอยเตอร์)
3. ธ.กลางอังกฤษลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปีร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 5.50 ต่อปี รายงาน
จากลอนดอน เมื่อ 6 ธ.ค.50 ธ.กลางอังกฤษลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปีร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 5.50 ต่อปี
หลังจากมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจของอังกฤษอาจชะลอตัวลงเมื่อราคาบ้านลดลงอย่างมากและภาคบริการซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ
ชะลอตัวลงอีกในเดือน พ.ย.50 ที่ผ่านมา ในขณะที่สถานการณ์วิกฤติสินเชื่อที่เกิดขึ้นในตลาดการเงินทั่วโลกในขณะนี้ก็มีแนวโน้มในทางที่เลวลง
โดยก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ธ.กลางอังกฤษจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิมเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในขณะนี้
จากผลกระทบของราคาน้ำมัน แต่อย่างไรก็ดี ยังมีบางภาคเศรษฐกิจคือภาคการผลิตที่ผลผลิตขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ เช่นเดียวกับผลสำรวจที่
แสดงให้เห็นว่าภาคธุรกิจไม่ได้ผลกระทบจากวิกฤติสินเชื่อมากนัก ทั้งนี้ ตลาดกำลังเฝ้ารอดูผลการโหวตลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้จากรายงาน
การประชุมซึ่งมีกำหนดจะเผยแพร่ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อดูแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งต่อไป (รอยเตอร์)
4. คำสั่งซื้อสินค้าภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ที่ร้อยละ 4.0 รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 6 ธ.ค.50
ก.เศรษฐกิจเยอรมนี เปิดเผยว่า คำสั่งซื้อสินค้าภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีในเดือน ต.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 สูงกว่าผลสำรวจของ
นักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.9 (โดยผลการสำรวจอยู่ในช่วงระหว่าง -2.0 ถึง +3.0) เนื่องจาก
ภาคธุรกิจของเยอรมนีได้รับผลกำไรอย่างต่อเนื่องจากการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ แม้ว่าค่าเงินยูโรจะแข็งแกร่งก็ตาม โดยคำสั่งซื้อสินค้า
จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5.0 และคำสั่งซื้อสินค้าในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เทียบต่อเดือน นอกจากนี้ คำสั่งซื้อสินค้าทุนใน
เดือน ต.ค.50 ก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 เช่นเดียวกัน ขณะที่คำสั่งซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคลดลงร้อยละ 0.8 และคำสั่งซื้อสินค้าขั้นกลางลดลง
ร้อยละ 0.4 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 7 ธ.ค. 50 6 ธ.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.812 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.6228/33.9478 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.37125 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 845.19/19.44 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 12,750/12,850 12,650/12,750 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 83.04 85.23 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 32.49*/28.94* 32.49*/28.94* 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับลด 40 สตางค์เมื่อ 5 ธ.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ระบุค่าเงินบาททรงตัวเป็นผลจากอุปสงค์และอุปทานของอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในภาวะสมดุล นางสุชาดา กิระกุล
ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาวะค่าเงินบาทซึ่งเคลื่อนไหวที่ระดับประมาณ 33.80 บาท/ดอลลาร์ สรอ.
ในช่วงที่ผ่านมาว่า ธปท.ไม่ได้เข้าแทรกแซงค่าเงินบาทในตลาดเงินเพื่อให้เงินบาททรงตัว แต่เป็นผลจากอุปสงค์และอุปทานของอัตรา
แลกเปลี่ยนค่อนข้างอยู่ในภาวะที่สมดุล ทั้งภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายที่เข้าออกในระดับที่ใกล้เคียงกัน ประกอบกับราคาน้ำมันที่แพงขึ้นทำให้
มีการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ.ไว้เพื่อเตรียมชำระค่าน้ำมัน ขณะที่ผู้ส่งออกทยอยทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงไว้ล่วงหน้าตลอดทั้งปี จึงทำให้
ในระยะนี้ไม่มีแรงกดดันต่อค่าเงินบาทมากนัก และยืนยันว่า ธปท.ไม่มีการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนแน่นอน (มติชน)
2. ธปท.พร้อมรับซื้อ พธบ.กองทุนฟื้นฟูฯ 6 พัน ล.บาทนางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
กล่าวถึง พธบ.ออมทรัพย์ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ นำออกขายให้กับนักลงทุนรายย่อยจำนวน 80,000 ล.บาทก่อนหน้านี้ ซึ่งขายได้ไม่หมดว่า ขณะนี้
ธปท.กำลังหานักลงทุนที่สนใจซื้อแบบเฉพาะเจาะจง (private placement) อยู่ แต่หากไม่มีนักลงทุนรายใดสนใจซื้อ ธปท.ก็จะต้องเข้าไป
ซื้อเอง แล้วจึงออก พธบ.ธปท.เพื่อมาระดมทุนอีกต่อหนึ่ง ทั้งนี้ แหล่งข่าวจาก ธปท.เปิดเผยว่า จำนวน พธบ.ออมทรัพย์ของกองทุนฟื้นฟูฯ
ที่ออกขายทั้งหมด จนถึงวันที่เปิดจองวันสุดท้ายในวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา มีเหลืออยู่ทั้งสิ้นจำนวน 6,000 ล.บาท จาก พธบ.ที่นำออกขาย
ทั้งหมดจำนวน 80,000 ล.บาท (กรุงเทพธุรกิจ, ไทยโพสต์, มติชน)
3. คาดว่าจีดีพีภาคเกษตรปี 51 จะขยายตัวเฉลี่ย 4-5% เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า จากการ
ประเมินผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตร (จีดีพีภาคเกษตร) ปี 50 คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ 4.3% เนื่องจากสภาพดินฟ้าอากาศที่ดี ส่งผลให้
การผลิตได้ผลผลิตตามเป้าหมาย ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรอยู่ในเกณฑ์ที่ดี นอกจากนี้ จากภาวะดังกล่าว จะส่งผลให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูก
เพิ่มขึ้นในปี 51 ดังนั้น จีดีพีภาคเกษตรปีหน้า คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 4-5% ประกอบกับมีปัจจัยบวกสนับสนุนโดยเฉพาะราคาสินค้า ความ
ต้องการสินค้าเกษตรของตลาดต่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มการขยายตัวด้านการเกษตรปี 51 จะเพิ่มขึ้นทั้งด้าน
ปริมาณและราคา แต่ยังมีปัจจัยลบที่สำคัญและควรระวังคือ ราคาน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น รวมทั้งปัญหาเงินบาทแข็งค่า การ
กีดกันทางการค้าที่ยังส่งผลกระทบต่อการแข่งขันกับประเทศคู่แข่ง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจ สรอ. ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญ (กรุงเทพธุรกิจ)
4. ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปัญหาซับไพร์มในสหรัฐฯ ได้ข้อสรุปการแก้ไข รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทย เปิดเผยบรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 6 ธ.ค.50 ว่า ดัชนีปิดการซื้อขายที่ระดับ 845.19 จุด เพิ่มขึ้น
11.85 จุด หรือ 1.42% มูลค่าการซื้อขาย 19,435 ล.บาท โดยระหว่างวันปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะจุดสูงสุดที่ 848.11 จุด และอ่อนตัวต่ำสุด
ที่ 838.76 จุด ทั้งนี้ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย เปิดเผยว่า การที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วันที่ 6 ธ.ค. ปรับตัว
เพิ่มขึ้น เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นถ้วนหน้าหลังจากได้ประเด็นสนับสนุนในเรื่องที่รัฐบาลสหรัฐฯ และ
สถาบันการเงิน ได้ข้อสรุปร่วมกันเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ซับไพร์ม โดยเบื้องต้นจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยตายตัวเป็นระยะเวลา 5 ปี
เพื่อลดอัตราการยึดหลักประกันอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะช่วยให้ปัญหาซับไพร์มที่เกิดขึ้นนั้น คลี่คลายลงได้เร็วกว่าที่เคยคาดการณ์กันไว้ ว่าอาจจะ
จบลงในช่วงกลางปี 51 นอกจากนี้ ตลาดมีความคาดหวังว่า ธ.กลางสหรัฐฯ อาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 11 ธ.ค.50 นี้
เป็นประเด็นที่ช่วยกระตุ้นจิตวิทยาการลงทุน และทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามายังตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลางสหภาพยุโรปคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 4.0 รายงานจากเมืองแฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนี
เมื่อวันที่ 6 ธ.ค..50 ธ.กลางสหภาพยุโรปประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 4.0 เป็นไปตามผลสำรวจความคิดเห็น
นักเศรษฐศาสตร์ของสำนักข่าวรอยเตอร์ ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่า ธ.กลางสหภาพยุโรปจะคงนโยบายการเงินในปัจจุบันไปตลอด
ปี 51 เพื่อจัดการกับปัญหาแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและลดปัจจัยเสี่ยงทั้งหลายที่มีต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ อัตรา
เงินเฟ้อของเขตเศรษฐกิจยุโรปในเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.0 สูงสุดในรอบ 6 ปีครึ่ง (รอยเตอร์)
2. ธ.กลางยุโรปหรือ ECB คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของ Euro zone ในปี 52 จะอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปี รายงาน
จากแฟรงค์เฟริท์ เมื่อ 6 ธ.ค.50 ECB คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของ Euro zone ในปี 52 จะอยู่ระหว่างร้อยละ 1.2 — 2.4 ต่อปี โดยมี
ค่ากลางอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ต่อปี ในขณะที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้จะอยู่ระหว่างร้อยละ 2 — 2.2 ต่อปี โดยมีค่ากลางอยู่ที่ร้อยละ 2.1 ต่อปี
และสำหรับปี 51 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ระหว่างร้อยละ 2 — 3 ต่อปี โดยมีค่ากลางอยู่ที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี นอกจาก ECB ยังคาดว่า
เศรษฐกิจของ Euro zone ในปีหน้าจะขยายตัวระหว่างร้อยละ 1.5 — 2.5 ต่อปี ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในปี 52 ซึ่งคาดว่าจะขยายตัว
ระหว่างร้อยละ 1.6 — 2.6 ต่อปี (รอยเตอร์)
3. ธ.กลางอังกฤษลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปีร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 5.50 ต่อปี รายงาน
จากลอนดอน เมื่อ 6 ธ.ค.50 ธ.กลางอังกฤษลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปีร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 5.50 ต่อปี
หลังจากมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจของอังกฤษอาจชะลอตัวลงเมื่อราคาบ้านลดลงอย่างมากและภาคบริการซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ
ชะลอตัวลงอีกในเดือน พ.ย.50 ที่ผ่านมา ในขณะที่สถานการณ์วิกฤติสินเชื่อที่เกิดขึ้นในตลาดการเงินทั่วโลกในขณะนี้ก็มีแนวโน้มในทางที่เลวลง
โดยก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ธ.กลางอังกฤษจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิมเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในขณะนี้
จากผลกระทบของราคาน้ำมัน แต่อย่างไรก็ดี ยังมีบางภาคเศรษฐกิจคือภาคการผลิตที่ผลผลิตขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ เช่นเดียวกับผลสำรวจที่
แสดงให้เห็นว่าภาคธุรกิจไม่ได้ผลกระทบจากวิกฤติสินเชื่อมากนัก ทั้งนี้ ตลาดกำลังเฝ้ารอดูผลการโหวตลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้จากรายงาน
การประชุมซึ่งมีกำหนดจะเผยแพร่ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อดูแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งต่อไป (รอยเตอร์)
4. คำสั่งซื้อสินค้าภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ที่ร้อยละ 4.0 รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 6 ธ.ค.50
ก.เศรษฐกิจเยอรมนี เปิดเผยว่า คำสั่งซื้อสินค้าภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีในเดือน ต.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 สูงกว่าผลสำรวจของ
นักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.9 (โดยผลการสำรวจอยู่ในช่วงระหว่าง -2.0 ถึง +3.0) เนื่องจาก
ภาคธุรกิจของเยอรมนีได้รับผลกำไรอย่างต่อเนื่องจากการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ แม้ว่าค่าเงินยูโรจะแข็งแกร่งก็ตาม โดยคำสั่งซื้อสินค้า
จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5.0 และคำสั่งซื้อสินค้าในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เทียบต่อเดือน นอกจากนี้ คำสั่งซื้อสินค้าทุนใน
เดือน ต.ค.50 ก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 เช่นเดียวกัน ขณะที่คำสั่งซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคลดลงร้อยละ 0.8 และคำสั่งซื้อสินค้าขั้นกลางลดลง
ร้อยละ 0.4 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 7 ธ.ค. 50 6 ธ.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.812 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.6228/33.9478 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.37125 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 845.19/19.44 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 12,750/12,850 12,650/12,750 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 83.04 85.23 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 32.49*/28.94* 32.49*/28.94* 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับลด 40 สตางค์เมื่อ 5 ธ.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--