ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.เตรียมทบทวนเกณฑ์ในการใช้มาตรฐานกำกับดูแลสถาบันการเงิน รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การปล่อยสินเชื่อที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ขยายตัวเพียงร้อยละ 2.4 ลดลง
ต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 50 ที่ผ่านมา ขณะที่แนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 50 ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันการปรับมาตรฐานการกำกับสถาบันการเงินของ ธปท.ที่เริ่มดำเนินการไปแล้ว คือ มาตรฐานบัญชีใหม่ ไอเอสเอส 39 ได้ส่ง
ผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ สัดส่วนการกันสำรองหนี้ รวมทั้งเงินกองทุนของ ธพ.ลดลง ดังนั้น
ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน หาก ธปท.นำมาตรฐานที่กำลังจะดำเนินการในอนาคต คือ เกณฑ์การกำกับสถาบันการเงินของ
ธ.เพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (บีไอเอส) ฉบับที่ 2 (Basel II) มาใช้กำกับดูแลสถาบันการเงินของไทยในต้นปี 52 ที่จะถึงนี้ อาจจะ
กระทบต่อฐานะของสถาบันการเงินและการปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบมากขึ้น ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมานั้น การประกาศใช้มาตรฐานบัญชีใหม่
ไอเอเอส 39 รวมทั้งเกณฑ์ Basel II ในการกำกับดูแลสถาบันการเงินของประเทศตะวันตก เช่น สรอ. และประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาค
อาเซียนใช้ลักษณะการให้สถาบันการเงินเข้าร่วมโดยสมัครใจ และทยอยเพิ่มความเข้มข้นในการใช้เกณฑ์ดังกล่าว ไม่ใช่การประกาศใช้แบบ
เข้มข้นหรือใช้ทุกเกณฑ์ทั้งฉบับในทันที ดังนั้น สายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. จึงมีแนวคิดที่จะทำการทบทวนการนำเกณฑ์มาตรฐานสากล
มาใช้กับสถาบันการเงินของไทย ทั้งมาตรฐานบัญชี ไอเอสเอส 39 ไอเอสเอส 32 และการเปิดเผยข้อมูลตามไอเอสอาร์เอส 7 รวมทั้ง
เกณฑ์การกำกับดูแลตาม Basel II นอกจากนั้น ยังจะมีการทบทวนการประกาศใช้เกณฑ์ Basel II ด้วยว่าจะยังคงใช้บังคับทีเดียวทั้งหมด
หรือทยอยใช้บังคับเป็นขั้นเป็นตอนไป จะเป็นผลดีต่อระบบสถาบันการเงินไทยมากกว่ากัน (แนวหน้า, ไทยรัฐ, โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน,
โลกวันนี้)
2. สบน.เตรียมเสนอขยายแผนกรอบการก่อหนี้ให้รัฐบาลใหม่เป็นร้อยละ 45 ของจีดีพี รายงานข่าวจาก ก.คลัง เปิดเผยว่า
สำนักงานบริหารหนี้ (สบน.) ได้เตรียมแผนการก่อหนี้ให้รัฐบาลใหม่พิจารณาดำเนินการในโครงการต่าง ๆ ที่ได้หาเสียงไว้ก่อนการเลือกตั้ง
โดยการก่อหนี้ของรัฐบาลต้องอยู่ภายในกรอบความยั่งยืนทางการคลัง คือ ไม่ควรเกินร้อยละ 45 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) จากปัจจุบัน
สัดส่วนหนี้สาธารณะล่าสุดอยู่ที่ร้อยละ 38 ของจีดีพีที่อยู่ที่ 8.3 ล้านล้านบาท ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลใหม่สามารถกู้เงินเพื่อดำเนินการต่าง ๆ ได้
อีกร้อยละ 7 ของจีดีพี หรือประมาณ 5.8 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม กรอบความยั่งยืนทางการคลังให้สัดส่วนก่อหนี้สาธารณะได้ถึงร้อยละ 50
ของจีดีพี แต่ สบน.เห็นว่า การให้ก่อหนี้เต็มเพดานเป็นจำนวนเงินที่มากเกินไปถึงร้อยละ 12 ของจีดีพี หรือ 1 ล้านล้านบาท ทำให้เกิดความเสี่ยง
ด้านการคลังและทำให้ตลาดเงินมีปัญหาไม่มีสภาพคล่องเพียงพอ ทำให้ดอกเบี้ยปรับตัวสูง ส่งผลกระทบกับเอกชน ขณะที่การไปกู้เงินต่างประเทศ
ในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งก็ไม่ควรกู้จำนวนมาก (แนวหน้า)
3. ยอดเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจใน 2 เดือนแรกปี งปม.51 สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.51
รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยถึงการเบิกจ่ายเงินในเดือน พ.ย.50 ซึ่งเป็นเดือนที่ 2 ของปี งปม.51 ว่า
ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากคลังทั้งสิ้น 112,113 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.75 ของวงเงิน งปม. สูงกว่าการเบิกจ่ายในช่วง
เดียวกันของปีก่อนร้อยละ 0.75 แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 93,881 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.25 ของวงเงินประจำทั้งหมด 1,295,113 ล้านบาท
สูงกว่าการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำในช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 0.4 และรายจ่ายลงทุนจำนวน 18,252 ล้านบาท หรือร้อยละ 5 ของ
วงเงินงบลงทุนทั้งหมดที่ 364,887 ล้านบาท สูงกว่าการเบิกจ่ายงบลงทุนช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.38 สำหรับในช่วง 2 เดือนแรก
(ต.ค.-พ.ย.50) ของปี งปม.51 มีการเบิกจ่ายทั้งสิ้น 260,049 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.67 สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.51
เป็นรายจ่ายประจำ 214,987 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.60 ของวงเงินงบประจำทั้งหมด สูงกว่าการเบิกจ่ายงบประจำช่วงเดียวกันของปีก่อน
ร้อยละ 3.66 ส่วนรายจ่ายลงทุนเบิกจ่าย 45,065 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.35 ของงบลงทุน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 7.97
(มติชน, โพสต์ทูเดย์)
4. ก.คลังเผยขณะนี้มีสถาบันการเงินต่างประเทศกว่า 10 แห่ง ยื่นขออนุญาตออกบาทบอนด์ ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)
เปิดเผยว่า ขณะนี้มีสถาบันการเงินต่างประเทศจำนวนกว่า 10 แห่ง ได้ยื่นขออนุญาตออกพันธบัตรสกุลเงินบาท (บาทบอนด์) จำนวน
50,000 ล้านบาท จาก ก.คลัง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของต่างชาติที่มีต่อระบบเศรษฐกิจไทยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ก.คลังต้องพิจารณา
ผลกระทบในด้านการดูดซับสภาพคล่องว่า เม็ดเงินที่สถาบันการเงินดังกล่าวเข้ามาระดมทุนไปนั้นนำไปใช้ในประเทศหรือต่างประเทศ และส่งผล
กระทบต่อระบบเศรษฐกิจของไทยอย่างมีนัยสำคัญมากน้อยเพียงใด (มติชน, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธพ. จีนเผชิญปัญหาสินทรัพย์ไม่สอดคล้องกับหนี้สิน รายงานจากปักกิ่งเมื่อวันที่ 10 ธ.พ. 50 นาย ธพ. ระดับสูงของจีน
เปิดเผยว่า ธพ.ต่างๆพบว่าเป็นการยากที่จะบริหารสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับหนี้สิน เนื่องจากบรรดาผู้ฝากเงินต่างก็ถอนเงินเพื่อนำไปลงทุน
ในอสังหาริมทรัพย์ และลงทุนในตลาดหุ้น ทั้งนี้นาย Zhu Min รองประธาน ธ.กลางจีนกล่าวว่า ประชาชนจะพักเงินสดในบัญชีเงินฝาก
ออมทรัพย์มากกว่าจะนำเงินไปลงทุนในรูปเงินฝากตราสารหนี้ จึงมีแนวโน้มว่า ธพ.ต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเพิ่มขึ้น ทำให้ไม่สอดคล้องกัน
ระหว่างทรัพย์สินและหนี้สินซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ท้าทายสำหรับ ธพ. ในการบริหารจัดการสินทรัพย์และหนี้สินในระยะกลาง และระยะยาว ขณะที่
ภาคครัวเรือนมีการออมต่ำ ธพ.ต่างๆได้หาเงินทุนเพิ่มขึ้นจากผู้ฝากรายใหญ่ซึ่งมีต้นทุนสูงขึ้น แต่เงินฝากส่วนใหญ่เป็นเงินฝากระยะสั้น แต่ผู้กู้ยืม
ยังคงต้องการสินเชื่อระยะยาวอยู่ ประกอบกับเงินหยวนแข็งค่าขึ้นกระตุ้นให้เกิดความต้องการสินเชื่อที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศ แต่ทางการจีน
ได้มีคำสั่งให้ ธพ.ต่างๆ ลดการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ ส่งผลให้ สินทรัพย์ของ ธพ.ไม่สอดคล้องกับหนี้สินจึงเป็นการยากในการบริหารเงิน
ของทั้ง ธพ.ในประเทศและ ธพ.ต่างประเทศในจีนที่จะพัฒนาภายใต้เงื่อนไขของความไม่สอดคล้องดังกล่าวทำให้มีความวิตกว่าจะมีความเสี่ยง
เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ธ.กลางจีนยังคงดำเนินนโยบายสินเชื่อตึงตัวอย่างต่อเนื่อง คาดว่าในปีหน้าจะควบคุมสินเชื่อ ธพ. ได้ ทั้งนี้เมื่อวันเสาร์
ที่ผ่านมาทางการจีนปรับเพิ่มการดำรงทุนสำรองที่ ธพ. อีกเป็นครั้งที่ 10 ในปีนี้ เนื่องจาก ธ.กลาง เห็นว่า ธพ.ต่างๆยังมีสภาพคล่องส่วนเกิน
เป็นจำนวนมาก (รอยเตอร์)
2. คำสั่งซื้อเครื่องจักรของญี่ปุ่นในเดือน ต.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 ต่อเดือนสูงกว่าที่คาดไว้ รายงานจากโตเกียว เมื่อ
10 ธ.ค.50 คำสั่งซื้อเครื่องจักรของญี่ปุ่นซึ่งเป็นตัวชี้วัดการใช้จ่ายลงทุนของภาคธุรกิจในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 ในเดือน ต.ค.50 เมื่อ
เทียบกับเดือนก่อน สูงเป็นเกือบสองเท่าของที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 ต่อเดือน หลังจากลดลงร้อยละ 7.6 ในเดือนก่อน ช่วยคลาย
ความกังวลเกี่ยวกับการลงทุนของภาคเอกชนซึ่งในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมาชะลอตัวลงและมีส่วนทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวเพียง
ร้อยละ 0.4 ลดลงจากประมาณการเบื้องต้นที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.6 และต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.7 แต่อย่างไรก็ดี
คาดว่าการใช้จ่ายลงทุนในไตรมาสสุดท้ายปีนี้และไตรมาสแรกปีหน้าจะไม่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 เนื่องจากคาดว่าการใช้จ่ายลงทุน
เพื่อการก่อสร้างจะชะลอตัวลงจากกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้น ในเวลาเดียวกันก็มีรายงานว่าดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของพนักงานที่ทำงานในภาคบริการ
ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 38.8 ในเดือน พ.ย.50 ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค.46 โดยตัวเลขที่ต่ำกว่า 50 แสดงว่าคนที่มองแนวโน้มในทางที่เลวลง
มีมากกว่าคนที่มองว่าดีขึ้น ทั้งนี้ คาดว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.5 ต่อปีต่อไปจนถึงปลายปีหน้าเนื่องจาก
เกรงว่าปัญหาความวุ่นวายในตลาดการเงินทั่วโลกและเศรษฐกิจ สรอ.ที่ชะลอตัวลงจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็น
หลักชะลอตัวลงด้วย (รอยเตอร์)
3. ดัชนีราคาผู้ผลิตของเกาหลีใต้ในเดือน พ.ย.50 ขยายตัวร้อยละ 4.4 เทียบต่อปี รายงานจากโซลเมื่อ 9 ธ.ค.50
ธ.เกาหลีใต้เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (Producer prices index : PPI) ของเกาหลีใต้ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4
เทียบต่อปี นับเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สาเหตุจากการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน/น้ำประปา และสินค้าภาคการผลิต โดยราคา
สินค้าภาคการผลิต ครอบคลุมสินค้าปิโตรเคมี สิ่งทอ และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีสัดส่วนเป็นร้อยละ 61 ของ PPI เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 ขณะที่
ราคาพลังงาน/น้ำประปา เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 (รอยเตอร์)
4. คาดว่าดัชนีชี้วัดความคาดหวังของภาคการผลิตของเกาหลีใต้จะลดลงในไตรมาสแรกปีหน้า รายงานจากกรุงโซล ประเทศ
เกาหลีใต้เมื่อวันที่ 10 ธ.ค..50 Korea Development Bank ธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจของเกาหลีใต้ คาดการณ์ว่า ดัชนีชี้วัดบรรยากาศ
ทางธุรกิจในหมู่ผู้ผลิตสินค้าของเกาหลีใต้ในช่วงไตรมาสแรกปี 51 จะลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สองสาเหตุจากปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่ม
สูงขึ้นและความผันผวนในตลาดการเงิน โดยดัชนีจะลดลงไปอยู่ที่ระดับ 101 จากระดับ 104 ในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ซึ่งการที่ดัชนีอยู่เหนือ
ระดับ 100 หมายความว่าบริษัทส่วนใหญ่คาดว่าธุรกิจของพวกเขาจะปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ ดัชนีพุ่งขึ้นถึงระดับ 105 ในไตรมาส 3 ปีนี้ และเป็น
ระดับสูงสุดในรอบ 5 ไตรมาส อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตของเกาหลีใต้ยังมีมุมมองที่ดีเกี่ยวกับภาพรวมของธุรกิจในปีหน้า โดยคาดว่าดัชนีจะไปถึง
ระดับ 116 จาก 108 ในปีนี้ เนื่องจากการส่งออกจะเพิ่มขึ้นและเศรษฐกิจจะฟื้นตัวโดยสังเกตได้จากทัศนคติของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 11 ธ.ค. 50 7 ธ.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.737 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.5195/33.8622 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.38000 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 841.39/19.64 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 12,800/12,900 12,750/12,850 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 83.33 83.04 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 32.49*/28.94* 32.49*/28.94* 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับลด 40 สตางค์เมื่อ 5 ธ.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.เตรียมทบทวนเกณฑ์ในการใช้มาตรฐานกำกับดูแลสถาบันการเงิน รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การปล่อยสินเชื่อที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ขยายตัวเพียงร้อยละ 2.4 ลดลง
ต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 50 ที่ผ่านมา ขณะที่แนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 50 ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันการปรับมาตรฐานการกำกับสถาบันการเงินของ ธปท.ที่เริ่มดำเนินการไปแล้ว คือ มาตรฐานบัญชีใหม่ ไอเอสเอส 39 ได้ส่ง
ผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ สัดส่วนการกันสำรองหนี้ รวมทั้งเงินกองทุนของ ธพ.ลดลง ดังนั้น
ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน หาก ธปท.นำมาตรฐานที่กำลังจะดำเนินการในอนาคต คือ เกณฑ์การกำกับสถาบันการเงินของ
ธ.เพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (บีไอเอส) ฉบับที่ 2 (Basel II) มาใช้กำกับดูแลสถาบันการเงินของไทยในต้นปี 52 ที่จะถึงนี้ อาจจะ
กระทบต่อฐานะของสถาบันการเงินและการปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบมากขึ้น ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมานั้น การประกาศใช้มาตรฐานบัญชีใหม่
ไอเอเอส 39 รวมทั้งเกณฑ์ Basel II ในการกำกับดูแลสถาบันการเงินของประเทศตะวันตก เช่น สรอ. และประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาค
อาเซียนใช้ลักษณะการให้สถาบันการเงินเข้าร่วมโดยสมัครใจ และทยอยเพิ่มความเข้มข้นในการใช้เกณฑ์ดังกล่าว ไม่ใช่การประกาศใช้แบบ
เข้มข้นหรือใช้ทุกเกณฑ์ทั้งฉบับในทันที ดังนั้น สายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. จึงมีแนวคิดที่จะทำการทบทวนการนำเกณฑ์มาตรฐานสากล
มาใช้กับสถาบันการเงินของไทย ทั้งมาตรฐานบัญชี ไอเอสเอส 39 ไอเอสเอส 32 และการเปิดเผยข้อมูลตามไอเอสอาร์เอส 7 รวมทั้ง
เกณฑ์การกำกับดูแลตาม Basel II นอกจากนั้น ยังจะมีการทบทวนการประกาศใช้เกณฑ์ Basel II ด้วยว่าจะยังคงใช้บังคับทีเดียวทั้งหมด
หรือทยอยใช้บังคับเป็นขั้นเป็นตอนไป จะเป็นผลดีต่อระบบสถาบันการเงินไทยมากกว่ากัน (แนวหน้า, ไทยรัฐ, โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน,
โลกวันนี้)
2. สบน.เตรียมเสนอขยายแผนกรอบการก่อหนี้ให้รัฐบาลใหม่เป็นร้อยละ 45 ของจีดีพี รายงานข่าวจาก ก.คลัง เปิดเผยว่า
สำนักงานบริหารหนี้ (สบน.) ได้เตรียมแผนการก่อหนี้ให้รัฐบาลใหม่พิจารณาดำเนินการในโครงการต่าง ๆ ที่ได้หาเสียงไว้ก่อนการเลือกตั้ง
โดยการก่อหนี้ของรัฐบาลต้องอยู่ภายในกรอบความยั่งยืนทางการคลัง คือ ไม่ควรเกินร้อยละ 45 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) จากปัจจุบัน
สัดส่วนหนี้สาธารณะล่าสุดอยู่ที่ร้อยละ 38 ของจีดีพีที่อยู่ที่ 8.3 ล้านล้านบาท ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลใหม่สามารถกู้เงินเพื่อดำเนินการต่าง ๆ ได้
อีกร้อยละ 7 ของจีดีพี หรือประมาณ 5.8 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม กรอบความยั่งยืนทางการคลังให้สัดส่วนก่อหนี้สาธารณะได้ถึงร้อยละ 50
ของจีดีพี แต่ สบน.เห็นว่า การให้ก่อหนี้เต็มเพดานเป็นจำนวนเงินที่มากเกินไปถึงร้อยละ 12 ของจีดีพี หรือ 1 ล้านล้านบาท ทำให้เกิดความเสี่ยง
ด้านการคลังและทำให้ตลาดเงินมีปัญหาไม่มีสภาพคล่องเพียงพอ ทำให้ดอกเบี้ยปรับตัวสูง ส่งผลกระทบกับเอกชน ขณะที่การไปกู้เงินต่างประเทศ
ในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งก็ไม่ควรกู้จำนวนมาก (แนวหน้า)
3. ยอดเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจใน 2 เดือนแรกปี งปม.51 สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.51
รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยถึงการเบิกจ่ายเงินในเดือน พ.ย.50 ซึ่งเป็นเดือนที่ 2 ของปี งปม.51 ว่า
ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากคลังทั้งสิ้น 112,113 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.75 ของวงเงิน งปม. สูงกว่าการเบิกจ่ายในช่วง
เดียวกันของปีก่อนร้อยละ 0.75 แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 93,881 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.25 ของวงเงินประจำทั้งหมด 1,295,113 ล้านบาท
สูงกว่าการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำในช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 0.4 และรายจ่ายลงทุนจำนวน 18,252 ล้านบาท หรือร้อยละ 5 ของ
วงเงินงบลงทุนทั้งหมดที่ 364,887 ล้านบาท สูงกว่าการเบิกจ่ายงบลงทุนช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.38 สำหรับในช่วง 2 เดือนแรก
(ต.ค.-พ.ย.50) ของปี งปม.51 มีการเบิกจ่ายทั้งสิ้น 260,049 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.67 สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.51
เป็นรายจ่ายประจำ 214,987 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.60 ของวงเงินงบประจำทั้งหมด สูงกว่าการเบิกจ่ายงบประจำช่วงเดียวกันของปีก่อน
ร้อยละ 3.66 ส่วนรายจ่ายลงทุนเบิกจ่าย 45,065 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.35 ของงบลงทุน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 7.97
(มติชน, โพสต์ทูเดย์)
4. ก.คลังเผยขณะนี้มีสถาบันการเงินต่างประเทศกว่า 10 แห่ง ยื่นขออนุญาตออกบาทบอนด์ ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)
เปิดเผยว่า ขณะนี้มีสถาบันการเงินต่างประเทศจำนวนกว่า 10 แห่ง ได้ยื่นขออนุญาตออกพันธบัตรสกุลเงินบาท (บาทบอนด์) จำนวน
50,000 ล้านบาท จาก ก.คลัง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของต่างชาติที่มีต่อระบบเศรษฐกิจไทยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ก.คลังต้องพิจารณา
ผลกระทบในด้านการดูดซับสภาพคล่องว่า เม็ดเงินที่สถาบันการเงินดังกล่าวเข้ามาระดมทุนไปนั้นนำไปใช้ในประเทศหรือต่างประเทศ และส่งผล
กระทบต่อระบบเศรษฐกิจของไทยอย่างมีนัยสำคัญมากน้อยเพียงใด (มติชน, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธพ. จีนเผชิญปัญหาสินทรัพย์ไม่สอดคล้องกับหนี้สิน รายงานจากปักกิ่งเมื่อวันที่ 10 ธ.พ. 50 นาย ธพ. ระดับสูงของจีน
เปิดเผยว่า ธพ.ต่างๆพบว่าเป็นการยากที่จะบริหารสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับหนี้สิน เนื่องจากบรรดาผู้ฝากเงินต่างก็ถอนเงินเพื่อนำไปลงทุน
ในอสังหาริมทรัพย์ และลงทุนในตลาดหุ้น ทั้งนี้นาย Zhu Min รองประธาน ธ.กลางจีนกล่าวว่า ประชาชนจะพักเงินสดในบัญชีเงินฝาก
ออมทรัพย์มากกว่าจะนำเงินไปลงทุนในรูปเงินฝากตราสารหนี้ จึงมีแนวโน้มว่า ธพ.ต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเพิ่มขึ้น ทำให้ไม่สอดคล้องกัน
ระหว่างทรัพย์สินและหนี้สินซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ท้าทายสำหรับ ธพ. ในการบริหารจัดการสินทรัพย์และหนี้สินในระยะกลาง และระยะยาว ขณะที่
ภาคครัวเรือนมีการออมต่ำ ธพ.ต่างๆได้หาเงินทุนเพิ่มขึ้นจากผู้ฝากรายใหญ่ซึ่งมีต้นทุนสูงขึ้น แต่เงินฝากส่วนใหญ่เป็นเงินฝากระยะสั้น แต่ผู้กู้ยืม
ยังคงต้องการสินเชื่อระยะยาวอยู่ ประกอบกับเงินหยวนแข็งค่าขึ้นกระตุ้นให้เกิดความต้องการสินเชื่อที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศ แต่ทางการจีน
ได้มีคำสั่งให้ ธพ.ต่างๆ ลดการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ ส่งผลให้ สินทรัพย์ของ ธพ.ไม่สอดคล้องกับหนี้สินจึงเป็นการยากในการบริหารเงิน
ของทั้ง ธพ.ในประเทศและ ธพ.ต่างประเทศในจีนที่จะพัฒนาภายใต้เงื่อนไขของความไม่สอดคล้องดังกล่าวทำให้มีความวิตกว่าจะมีความเสี่ยง
เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ธ.กลางจีนยังคงดำเนินนโยบายสินเชื่อตึงตัวอย่างต่อเนื่อง คาดว่าในปีหน้าจะควบคุมสินเชื่อ ธพ. ได้ ทั้งนี้เมื่อวันเสาร์
ที่ผ่านมาทางการจีนปรับเพิ่มการดำรงทุนสำรองที่ ธพ. อีกเป็นครั้งที่ 10 ในปีนี้ เนื่องจาก ธ.กลาง เห็นว่า ธพ.ต่างๆยังมีสภาพคล่องส่วนเกิน
เป็นจำนวนมาก (รอยเตอร์)
2. คำสั่งซื้อเครื่องจักรของญี่ปุ่นในเดือน ต.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 ต่อเดือนสูงกว่าที่คาดไว้ รายงานจากโตเกียว เมื่อ
10 ธ.ค.50 คำสั่งซื้อเครื่องจักรของญี่ปุ่นซึ่งเป็นตัวชี้วัดการใช้จ่ายลงทุนของภาคธุรกิจในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 ในเดือน ต.ค.50 เมื่อ
เทียบกับเดือนก่อน สูงเป็นเกือบสองเท่าของที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 ต่อเดือน หลังจากลดลงร้อยละ 7.6 ในเดือนก่อน ช่วยคลาย
ความกังวลเกี่ยวกับการลงทุนของภาคเอกชนซึ่งในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมาชะลอตัวลงและมีส่วนทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวเพียง
ร้อยละ 0.4 ลดลงจากประมาณการเบื้องต้นที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.6 และต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.7 แต่อย่างไรก็ดี
คาดว่าการใช้จ่ายลงทุนในไตรมาสสุดท้ายปีนี้และไตรมาสแรกปีหน้าจะไม่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 เนื่องจากคาดว่าการใช้จ่ายลงทุน
เพื่อการก่อสร้างจะชะลอตัวลงจากกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้น ในเวลาเดียวกันก็มีรายงานว่าดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของพนักงานที่ทำงานในภาคบริการ
ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 38.8 ในเดือน พ.ย.50 ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค.46 โดยตัวเลขที่ต่ำกว่า 50 แสดงว่าคนที่มองแนวโน้มในทางที่เลวลง
มีมากกว่าคนที่มองว่าดีขึ้น ทั้งนี้ คาดว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.5 ต่อปีต่อไปจนถึงปลายปีหน้าเนื่องจาก
เกรงว่าปัญหาความวุ่นวายในตลาดการเงินทั่วโลกและเศรษฐกิจ สรอ.ที่ชะลอตัวลงจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็น
หลักชะลอตัวลงด้วย (รอยเตอร์)
3. ดัชนีราคาผู้ผลิตของเกาหลีใต้ในเดือน พ.ย.50 ขยายตัวร้อยละ 4.4 เทียบต่อปี รายงานจากโซลเมื่อ 9 ธ.ค.50
ธ.เกาหลีใต้เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (Producer prices index : PPI) ของเกาหลีใต้ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4
เทียบต่อปี นับเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สาเหตุจากการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน/น้ำประปา และสินค้าภาคการผลิต โดยราคา
สินค้าภาคการผลิต ครอบคลุมสินค้าปิโตรเคมี สิ่งทอ และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีสัดส่วนเป็นร้อยละ 61 ของ PPI เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 ขณะที่
ราคาพลังงาน/น้ำประปา เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 (รอยเตอร์)
4. คาดว่าดัชนีชี้วัดความคาดหวังของภาคการผลิตของเกาหลีใต้จะลดลงในไตรมาสแรกปีหน้า รายงานจากกรุงโซล ประเทศ
เกาหลีใต้เมื่อวันที่ 10 ธ.ค..50 Korea Development Bank ธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจของเกาหลีใต้ คาดการณ์ว่า ดัชนีชี้วัดบรรยากาศ
ทางธุรกิจในหมู่ผู้ผลิตสินค้าของเกาหลีใต้ในช่วงไตรมาสแรกปี 51 จะลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สองสาเหตุจากปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่ม
สูงขึ้นและความผันผวนในตลาดการเงิน โดยดัชนีจะลดลงไปอยู่ที่ระดับ 101 จากระดับ 104 ในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ซึ่งการที่ดัชนีอยู่เหนือ
ระดับ 100 หมายความว่าบริษัทส่วนใหญ่คาดว่าธุรกิจของพวกเขาจะปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ ดัชนีพุ่งขึ้นถึงระดับ 105 ในไตรมาส 3 ปีนี้ และเป็น
ระดับสูงสุดในรอบ 5 ไตรมาส อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตของเกาหลีใต้ยังมีมุมมองที่ดีเกี่ยวกับภาพรวมของธุรกิจในปีหน้า โดยคาดว่าดัชนีจะไปถึง
ระดับ 116 จาก 108 ในปีนี้ เนื่องจากการส่งออกจะเพิ่มขึ้นและเศรษฐกิจจะฟื้นตัวโดยสังเกตได้จากทัศนคติของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 11 ธ.ค. 50 7 ธ.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.737 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.5195/33.8622 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.38000 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 841.39/19.64 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 12,800/12,900 12,750/12,850 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 83.33 83.04 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 32.49*/28.94* 32.49*/28.94* 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับลด 40 สตางค์เมื่อ 5 ธ.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--