ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ชี้แจงกรณี ธ.กรุงเทพถือหุ้น ธ.สินเอเซียเป็นสัดส่วน 19% ซึ่งขัดกับหลักเกณฑ์สถาบันการเงิน 1 รูปแบบ ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่ ธ.กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ยังคงถือหุ้นใน ธ.สินเอเซีย เป็นสัดส่วน 19% ซึ่งขัดกับ
หลักเกณฑ์สถาบันการเงิน 1 รูปแบบ (One presence) ว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธ.กรุงเทพ ได้เข้าหารือกับ ธปท.
เพื่อแจ้งให้ทราบว่า ธนาคารยังไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับการขายหุ้น ธ.สินเอเซียที่ถืออยู่ให้กับนักลงทุนได้ทันภายในปลายปี 50 ฉะนั้น
ธ.กรุงเทพ ยินยอมที่จะจ่ายค่าปรับจากการถือหุ้น ธพ.ซ้อน 2 แห่งต่อไป จนกว่าจะสามารถจำหน่ายหุ้นให้นักลงทุนรายใหม่ได้ นอกจากนี้
ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ว่า ที่ประชุมได้หารือเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับ
กรณีการรายงานข้อมูลเครดิตบูโรของบุคคลที่ล้มละลายแต่ภายหลังได้พ้นสภาพกลับมาเป็นบุคคลปกติ ซึ่งมีการสอบถามว่าข้อมูลการเงินของบุคคล
ดังกล่าวยังต้องรายงานต่อเครดิตบูโรหรือไม่ ซึ่งที่ประชุมเห็นตรงกันว่า หากบุคคลดังกล่าวยังมีหนี้สินและยังชำระหนี้คืนไม่ครบถ้วน ก็จะต้อง
รายงานข้อมูลการเงินต่อเครดิตบูโรต่อไป (มติชน)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ย.50 ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย
กล่าวถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือน พ.ย.50 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับ
เศรษฐกิจโดยรวมปรับเพิ่มขึ้นจาก 68.6 เป็น 69.3 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานปรับจาก 69.8 เป็น 70.3 และดัชนี
ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตปรับจาก 88.1 เป็น 98.1 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรก
ในรอบ 13 เดือน คือปรับจาก 69.8 เป็น 70.0 เนื่องจากผู้บริโภคมีความหวังว่าการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค. จะทำให้การเมืองคลี่คลาย
มีผลต่อการบั่นทอนความเชื่อมั่นลดลง แต่ผู้บริโภคยังกังวลเรื่องค่าครองชีพและภาวะราคาน้ำมัน โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 49% จากทั้งหมดตอบว่า
ปัจจัยการเมืองมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่มีสัดส่วนถึง 51.1% (ข่าวสด, กรุงเทพธุรกิจ,
ไทยโพสต์, มติชน)
3. ก.พาณิชย์กำหนดเป้าหมายการส่งออกปี 51 ขยายตัว 10-12% แหล่งข่าวจาก ก.พาณิชย์ เปิดเผยว่า รมว.พาณิชย์ จะแถลง
ตัวเลขเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 51 โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีอัตราการขยายตัว 10-12% แม้ว่ามีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่อาจ
ส่งผลกระทบต่อการส่งออก เช่น ภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลายประเทศที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ซึ่งมีปัญหาสินเชื่อ
อสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพร์ม) ปัญหาราคาน้ำมันที่กระทบต่อต้นทุนการผลิต และอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่อาจแข็งค่าขึ้น สำหรับ
แผนการผลักดันการส่งออกในปี 51 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายนั้น กรมส่งเสริมการส่งออกจะเน้นผลักดันการส่งออกไปตลาดใหม่ให้มกาขึ้น
โดยมีเป้าหมายหลักในตลาดจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง แอฟริกาใต้ ยุโรปตะวันออก และประเทศเพื่อนบ้าน (กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน,มติชน)
4. สบน. ชี้การทำ งปม.ขาดดุลมีความจำเป็นในการดูแลเศรษฐกิจ และรัฐบาลสามารถก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นโดยไม่กระทบ
กรอบความยั่งยืนทางการคลัง ผอ.สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า การทำ งปม.ขาดดุลเพิ่มขึ้นมีความจำเป็นในการ
เพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลในการดูแลเศรษฐกิจ ซึ่งการทำ งปม.ขาดดุลในปี 51 จำนวน 160,000 ล.บาท มีสัดส่วนไม่ถึง 2% ของอัตรา
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และในปีต่อไปสามารถทำ งปม.ขาดดุลได้ 2.5% ของจีดีพี โดยที่ไม่กระทบกรอบความยั่งยืนทางการคลัง
ที่ให้ก่อหนี้สาธารณะไม่เกิน 50% ของจีดีพี ทั้งนี้ สัดส่วนหนี้สาธารณะปัจจุบันอยู่ที่ 38% ของจีดีพี สามารถก่อหนี้ได้เพิ่มถึง 10% ของจีดีพี
หรือประมาณ 800,000 ล.บาท เพื่อนำไปสู่การลงทุนที่เกิดประโยชน์ต่อประเทศ (โลกวันนี้, ไทยโพสต์, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดค้าปลีกของ สรอ.ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 สูงกว่าที่คาดไว้ในขณะที่ดัชนีราคาค้าส่งเพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุด
ในรอบ 34 ปี รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 13 ธ.ค.50 ก.พาณิชย์ของ สรอ.รายงานยอดค้าปลีกของ สรอ.เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 ในเดือน
พ.ย.50 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน สูงเป็นสองเท่าของที่คาดไว้ โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นซึ่งส่งผลให้ยอดขายปลีกของปั๊มน้ำมัน
เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 6.8 ต่อเดือน สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย.48 ในช่วงหลังเกิดพายุเฮอริเคนแคทรินา และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 เมื่อเทียบ
กับปีก่อน แต่หากไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมันเชื้อเพลิงและวัสดุก่อสร้างหรือที่เรียกว่ายอดค้าปลีกพื้นฐานในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ
1.1 ต่อเดือน หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ต่อเดือนในเดือน ต.ค.50 ในขณะเดียวกันราคาน้ำมันที่สูงขึ้นยังส่งผลให้ดัชนีราคาค้าส่งหรือ
ราคาสินค้าหน้าโรงงาน ฟาร์มและโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 3.2 ต่อเดือน สูงสุดในรอบ 34 ปีนับตั้งแต่เดือน ส.ค.16 และสูงกว่า
ที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ต่อเดือน ราคาค้าส่งที่สูงขึ้นได้สร้างแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อและทำให้นักวิเคราะห์คาดว่า
ธ.กลาง สรอ.หรือเฟดอาจไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกแม้จะมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจ สรอ.อาจชะลอตัวลงในไตรมาสสุดท้าย
ปีนี้และไตรมาสแรกปีหน้าจากผลกระทบของวิกฤติสินเชื่อและภาวะตกต่ำของตลาดบ้านก็ตาม (รอยเตอร์)
2. สินค้าคงคลังของธุรกิจใน สรอ. ในเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1 รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 50
ก.พาณิชย์ สรอ. เปิดเผยว่า ในเดือน ต.ค. สินค้าคงคลังของธุรกิจเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยร้อยละ 0.1 น้อยกว่าที่รอยเตอร์ได้สำรวจนักวิเคราะห์
จากวอลสตรีทคาดว่าสินค้าคงคลังจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ในเดือนกันยายน ขณะที่ธุรกิจมียอดขายสุทธิในเดือน ต.ค.
เพิ่มขึ้นราวร้อยละ 0.7 เท่ากับเดือน ก.ย. สำหรับจำนวนเดือนที่สินค้าคงคลังจะขายหมดอยู่ที่ 1.26 เดือนลดลงเล็กน้อยจาก 1.27 เดือน
ในเดือน ก.ย. บ่งชี้ว่าการปรับลดสินค้าคงคลังลงอาจจะไม่จำเป็นภายหลังจากไตรมาสที่ 4 อย่างไรก็ตามสินค้าคงคลังของรถยนต์และอุปกรณ์
ลดลงร้อยละ 0.4 หลังจากที่ลดลงร้อยละ 0.2 ในเดือน ก.ย. ทั้งนี้การที่สินค้าคงคลังของธุรกิจซึ่งเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์มวลรวม
ในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ทำให้นักเศรษฐศาสตร์หลายคนต้องทบทวนคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ สรอ.
ในไตรมาสที่ 4 นอกจากนั้นผลกระทบจากวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ของ สรอ. ส่งผลให้สินค้าคงคลังสำหรับวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์การทำสวน
ในเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 ภายหลังจากที่ลดลงร้อยละ 0.6 ในเดือน ก.ย. (รอยเตอร์)
3. คาดว่าเศรษฐกิจของ สรอ. ในไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.4 รายงานจากกรุงนิวยอร์ก ประเทศ สรอ.
เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.50 Lehman Brothers Holdings Inc คาดว่า เศรษฐกิจของ สรอ. ในไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะขยายตัวเพียงร้อยละ 0.4
ส่วนในปี 51 คาดว่าเศรษฐกิจของ สรอ. ที่คิดคำนวณจากจีดีพีจะขยายตัวเพียงร้อยละ 1.8 ขณะที่จีดีพีของโลกในปี 51 คาดว่าจะขยายตัว
ร้อยละ 2.7 (รอยเตอร์)
4. ภาคธุรกิจของญี่ปุ่นมีมุมมองที่เป็นลบต่อบรรยากาศทางธุรกิจ รายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.50
ธ.กลางญี่ปุ่นเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นภาคธุรกิจของญี่ปุ่นในเดือน ธ.ค. เกี่ยวกับบรรยากาศทางธุรกิจพบว่า ภาคธุรกิจมีความรู้สึกว่า
บรรยากาศทางธุรกิจแย่ลงกว่าที่สำรวจเมื่อช่วง 3 เดือนก่อนหน้า โดยดัชนีชี้วัดทัศนคติของผู้ผลิตรายใหญ่อยู่ที่ระดับ +19 เทียบกับระดับ +23
ในการสำรวจครั้งก่อนเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา และต่ำกว่าค่ากลางที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ระดับ +21 เช่นเดียวกับดัชนีสำหรับการสำรวจใน
ช่วง 3 เดือนข้างหน้าคือในเดือน มี.ค.51 ภาคธุรกิจก็คาดว่าบรรยากาศทางธุรกิจจะแย่ลงกว่าเดิมโดยดัชนีจะลดลงไปอยู่ที่ระดับ +15
สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจในระยะสั้นภาคธุรกิจขนาดใหญ่หลายแห่งคาดว่าการใช้จ่ายเงินลงทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่
ร้อยละ 10.5 ในช่วงปีงบประมาณสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.51 เทียบกับค่ากลางที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 14 ธ.ค. 50 13 ธ.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.605 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.3876/33.7242 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.36109 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 833.09/17.51 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 12,700/12,800 12,800/12,900 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 88.09 85.04 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 32.49*/28.94* 32.49*/28.94* 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับลด 40 สตางค์เมื่อ 5 ธ.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ชี้แจงกรณี ธ.กรุงเทพถือหุ้น ธ.สินเอเซียเป็นสัดส่วน 19% ซึ่งขัดกับหลักเกณฑ์สถาบันการเงิน 1 รูปแบบ ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่ ธ.กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ยังคงถือหุ้นใน ธ.สินเอเซีย เป็นสัดส่วน 19% ซึ่งขัดกับ
หลักเกณฑ์สถาบันการเงิน 1 รูปแบบ (One presence) ว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธ.กรุงเทพ ได้เข้าหารือกับ ธปท.
เพื่อแจ้งให้ทราบว่า ธนาคารยังไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับการขายหุ้น ธ.สินเอเซียที่ถืออยู่ให้กับนักลงทุนได้ทันภายในปลายปี 50 ฉะนั้น
ธ.กรุงเทพ ยินยอมที่จะจ่ายค่าปรับจากการถือหุ้น ธพ.ซ้อน 2 แห่งต่อไป จนกว่าจะสามารถจำหน่ายหุ้นให้นักลงทุนรายใหม่ได้ นอกจากนี้
ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ว่า ที่ประชุมได้หารือเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับ
กรณีการรายงานข้อมูลเครดิตบูโรของบุคคลที่ล้มละลายแต่ภายหลังได้พ้นสภาพกลับมาเป็นบุคคลปกติ ซึ่งมีการสอบถามว่าข้อมูลการเงินของบุคคล
ดังกล่าวยังต้องรายงานต่อเครดิตบูโรหรือไม่ ซึ่งที่ประชุมเห็นตรงกันว่า หากบุคคลดังกล่าวยังมีหนี้สินและยังชำระหนี้คืนไม่ครบถ้วน ก็จะต้อง
รายงานข้อมูลการเงินต่อเครดิตบูโรต่อไป (มติชน)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ย.50 ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย
กล่าวถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือน พ.ย.50 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับ
เศรษฐกิจโดยรวมปรับเพิ่มขึ้นจาก 68.6 เป็น 69.3 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานปรับจาก 69.8 เป็น 70.3 และดัชนี
ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตปรับจาก 88.1 เป็น 98.1 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรก
ในรอบ 13 เดือน คือปรับจาก 69.8 เป็น 70.0 เนื่องจากผู้บริโภคมีความหวังว่าการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค. จะทำให้การเมืองคลี่คลาย
มีผลต่อการบั่นทอนความเชื่อมั่นลดลง แต่ผู้บริโภคยังกังวลเรื่องค่าครองชีพและภาวะราคาน้ำมัน โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 49% จากทั้งหมดตอบว่า
ปัจจัยการเมืองมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่มีสัดส่วนถึง 51.1% (ข่าวสด, กรุงเทพธุรกิจ,
ไทยโพสต์, มติชน)
3. ก.พาณิชย์กำหนดเป้าหมายการส่งออกปี 51 ขยายตัว 10-12% แหล่งข่าวจาก ก.พาณิชย์ เปิดเผยว่า รมว.พาณิชย์ จะแถลง
ตัวเลขเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 51 โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีอัตราการขยายตัว 10-12% แม้ว่ามีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่อาจ
ส่งผลกระทบต่อการส่งออก เช่น ภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลายประเทศที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ซึ่งมีปัญหาสินเชื่อ
อสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพร์ม) ปัญหาราคาน้ำมันที่กระทบต่อต้นทุนการผลิต และอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่อาจแข็งค่าขึ้น สำหรับ
แผนการผลักดันการส่งออกในปี 51 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายนั้น กรมส่งเสริมการส่งออกจะเน้นผลักดันการส่งออกไปตลาดใหม่ให้มกาขึ้น
โดยมีเป้าหมายหลักในตลาดจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง แอฟริกาใต้ ยุโรปตะวันออก และประเทศเพื่อนบ้าน (กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน,มติชน)
4. สบน. ชี้การทำ งปม.ขาดดุลมีความจำเป็นในการดูแลเศรษฐกิจ และรัฐบาลสามารถก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นโดยไม่กระทบ
กรอบความยั่งยืนทางการคลัง ผอ.สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า การทำ งปม.ขาดดุลเพิ่มขึ้นมีความจำเป็นในการ
เพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลในการดูแลเศรษฐกิจ ซึ่งการทำ งปม.ขาดดุลในปี 51 จำนวน 160,000 ล.บาท มีสัดส่วนไม่ถึง 2% ของอัตรา
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และในปีต่อไปสามารถทำ งปม.ขาดดุลได้ 2.5% ของจีดีพี โดยที่ไม่กระทบกรอบความยั่งยืนทางการคลัง
ที่ให้ก่อหนี้สาธารณะไม่เกิน 50% ของจีดีพี ทั้งนี้ สัดส่วนหนี้สาธารณะปัจจุบันอยู่ที่ 38% ของจีดีพี สามารถก่อหนี้ได้เพิ่มถึง 10% ของจีดีพี
หรือประมาณ 800,000 ล.บาท เพื่อนำไปสู่การลงทุนที่เกิดประโยชน์ต่อประเทศ (โลกวันนี้, ไทยโพสต์, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดค้าปลีกของ สรอ.ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 สูงกว่าที่คาดไว้ในขณะที่ดัชนีราคาค้าส่งเพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุด
ในรอบ 34 ปี รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 13 ธ.ค.50 ก.พาณิชย์ของ สรอ.รายงานยอดค้าปลีกของ สรอ.เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 ในเดือน
พ.ย.50 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน สูงเป็นสองเท่าของที่คาดไว้ โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นซึ่งส่งผลให้ยอดขายปลีกของปั๊มน้ำมัน
เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 6.8 ต่อเดือน สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย.48 ในช่วงหลังเกิดพายุเฮอริเคนแคทรินา และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 เมื่อเทียบ
กับปีก่อน แต่หากไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมันเชื้อเพลิงและวัสดุก่อสร้างหรือที่เรียกว่ายอดค้าปลีกพื้นฐานในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ
1.1 ต่อเดือน หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ต่อเดือนในเดือน ต.ค.50 ในขณะเดียวกันราคาน้ำมันที่สูงขึ้นยังส่งผลให้ดัชนีราคาค้าส่งหรือ
ราคาสินค้าหน้าโรงงาน ฟาร์มและโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 3.2 ต่อเดือน สูงสุดในรอบ 34 ปีนับตั้งแต่เดือน ส.ค.16 และสูงกว่า
ที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ต่อเดือน ราคาค้าส่งที่สูงขึ้นได้สร้างแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อและทำให้นักวิเคราะห์คาดว่า
ธ.กลาง สรอ.หรือเฟดอาจไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกแม้จะมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจ สรอ.อาจชะลอตัวลงในไตรมาสสุดท้าย
ปีนี้และไตรมาสแรกปีหน้าจากผลกระทบของวิกฤติสินเชื่อและภาวะตกต่ำของตลาดบ้านก็ตาม (รอยเตอร์)
2. สินค้าคงคลังของธุรกิจใน สรอ. ในเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1 รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 50
ก.พาณิชย์ สรอ. เปิดเผยว่า ในเดือน ต.ค. สินค้าคงคลังของธุรกิจเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยร้อยละ 0.1 น้อยกว่าที่รอยเตอร์ได้สำรวจนักวิเคราะห์
จากวอลสตรีทคาดว่าสินค้าคงคลังจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ในเดือนกันยายน ขณะที่ธุรกิจมียอดขายสุทธิในเดือน ต.ค.
เพิ่มขึ้นราวร้อยละ 0.7 เท่ากับเดือน ก.ย. สำหรับจำนวนเดือนที่สินค้าคงคลังจะขายหมดอยู่ที่ 1.26 เดือนลดลงเล็กน้อยจาก 1.27 เดือน
ในเดือน ก.ย. บ่งชี้ว่าการปรับลดสินค้าคงคลังลงอาจจะไม่จำเป็นภายหลังจากไตรมาสที่ 4 อย่างไรก็ตามสินค้าคงคลังของรถยนต์และอุปกรณ์
ลดลงร้อยละ 0.4 หลังจากที่ลดลงร้อยละ 0.2 ในเดือน ก.ย. ทั้งนี้การที่สินค้าคงคลังของธุรกิจซึ่งเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์มวลรวม
ในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ทำให้นักเศรษฐศาสตร์หลายคนต้องทบทวนคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ สรอ.
ในไตรมาสที่ 4 นอกจากนั้นผลกระทบจากวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ของ สรอ. ส่งผลให้สินค้าคงคลังสำหรับวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์การทำสวน
ในเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 ภายหลังจากที่ลดลงร้อยละ 0.6 ในเดือน ก.ย. (รอยเตอร์)
3. คาดว่าเศรษฐกิจของ สรอ. ในไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.4 รายงานจากกรุงนิวยอร์ก ประเทศ สรอ.
เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.50 Lehman Brothers Holdings Inc คาดว่า เศรษฐกิจของ สรอ. ในไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะขยายตัวเพียงร้อยละ 0.4
ส่วนในปี 51 คาดว่าเศรษฐกิจของ สรอ. ที่คิดคำนวณจากจีดีพีจะขยายตัวเพียงร้อยละ 1.8 ขณะที่จีดีพีของโลกในปี 51 คาดว่าจะขยายตัว
ร้อยละ 2.7 (รอยเตอร์)
4. ภาคธุรกิจของญี่ปุ่นมีมุมมองที่เป็นลบต่อบรรยากาศทางธุรกิจ รายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.50
ธ.กลางญี่ปุ่นเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นภาคธุรกิจของญี่ปุ่นในเดือน ธ.ค. เกี่ยวกับบรรยากาศทางธุรกิจพบว่า ภาคธุรกิจมีความรู้สึกว่า
บรรยากาศทางธุรกิจแย่ลงกว่าที่สำรวจเมื่อช่วง 3 เดือนก่อนหน้า โดยดัชนีชี้วัดทัศนคติของผู้ผลิตรายใหญ่อยู่ที่ระดับ +19 เทียบกับระดับ +23
ในการสำรวจครั้งก่อนเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา และต่ำกว่าค่ากลางที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ระดับ +21 เช่นเดียวกับดัชนีสำหรับการสำรวจใน
ช่วง 3 เดือนข้างหน้าคือในเดือน มี.ค.51 ภาคธุรกิจก็คาดว่าบรรยากาศทางธุรกิจจะแย่ลงกว่าเดิมโดยดัชนีจะลดลงไปอยู่ที่ระดับ +15
สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจในระยะสั้นภาคธุรกิจขนาดใหญ่หลายแห่งคาดว่าการใช้จ่ายเงินลงทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่
ร้อยละ 10.5 ในช่วงปีงบประมาณสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.51 เทียบกับค่ากลางที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 14 ธ.ค. 50 13 ธ.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.605 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.3876/33.7242 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.36109 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 833.09/17.51 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 12,700/12,800 12,800/12,900 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 88.09 85.04 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 32.49*/28.94* 32.49*/28.94* 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับลด 40 สตางค์เมื่อ 5 ธ.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--