แท็ก
ธปท.
ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. คาดว่าปีหน้า ธ.พาณิชย์จะควบรวมกิจการมากขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่า
การด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ภาพการทำธุรกิจ ธ.พาณิชย์ในปี 51 น่าจะมีการแข่งขันในธุรกิจที่รุนแรงขึ้น เพราะมี
ความจำเป็นต้องมีการจับมือกันทำธุรกิจและหาพันธมิตรที่มีกลยุทธ์ที่ดีมาเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้มากขึ้น โดยน่าจะเห็นการควบรวมกิจการ
ของ ธ.พาณิชย์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าจะมีปัจจัยที่อาจจะมีผลกระทบต่อการทำธุรกิจของสถาบันการเงินบ้าง แต่เชื่อว่าสถาบันการเงิน
น่าจะปรับตัวได้และมีความท้าทายที่ต้องระมัดระวัง แต่เชื่อได้ว่าผลประกอบการของ ธ.พาณิชย์ปีหน้าน่าจะดีขึ้นเพราะผ่านการกันสำรองตาม
มาตรฐาน IAS39 ไปแล้วในสิ้นปีนี้ ขณะที่แนวโน้มธุรกิจสถาบันการเงินปี 51 คงเป็นภาพของการปรับตัวและต้องเชื่อมโยงกับภาพรวมเศรษฐกิจ
เพราะถ้าขยายตัวดีสินเชื่อก็จะขยายตัวตาม แต่ถ้ามีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น สถาบันการเงินก็คงได้รับแรงกดดันด้านหนี้เสีย นอกจากนี้ ภาวะ
น้ำมันแพงซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าและค่าครองชีพสูงขึ้นอาจส่งผลให้การใช้จ่ายของครัวเรืองตึงตัวมากขึ้นได้ ทั้งนี้ ต้องดูกฎเกณฑ์การกำกับดูแล
สถาบันการเงินรวมถึง พรบ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่ที่ผ่าน สนช. ออกมาบังคับใช้ในเร็ว ๆ นี้ด้วย (โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน)
2. ธปท. ขอขยายวงเงินลงทุนต่างประเทศทุกช่องทาง รายงานข่าวจาก ธปท. แจ้งว่า ธปท. ทำหนังสือขอให้ ก.คลังพิจารณา
ผ่อนคลายกฎระเบียบต่าง ๆ เกี่ยวกับการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและเอื้อต่อการลงทุนและประกอบ
ธุรกิจของภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก เนื่องจากในปัจจุบันยังคงมีความต้องการส่งเงินไปต่างประเทศเพิ่มเติม
ซึ่งต้องขออนุญาตจาก ธปท. ดังนั้น ธปท. จึงได้เสนอให้มีการปรับระเบียบการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตรา ดังนี้ 1) ขยายขอบเขตการลงทุน
โดยตรงและให้กู้ยืมแก่กิจการในเครือต่างประเทศ ดังนี้ 1.1) อนุญาตให้บริษัทแม่ในประเทศไทยลงทุนหรือให้กู้ยืมแก่บริษัทในเครือในต่างประเทศ
ได้ไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากเดิม 50 ล้านดอลลาร์ สรอ. 1.2) อนุญาตให้บริษัทแม่ในไทยลงทุนหรือให้กู้ยืมแก่บริษัทแม่ในต่างประเทศ
และบริษัทในเครือของบริษัทแม่ดังกล่าวไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์ สรอ. และ 1.3) ให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ลงทุนโดยตรงตาม
1.1 และ 1.2 ได้ไม่จำกัดจำนวนและให้กู้ยืมตาม 1.1 และ 1.2 ได้ไม่เกินกรณีละ 100ล้านดอลลาร์ สรอง. 2) เพิ่มวงเงินที่บุคคลไทย
ประสงค์จะโอนอออกไปยังต่างประเทศเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1 ล้านดอลลาร์ สรอ เป็น 5 ล้านดอลลาร์ สรอ. และ 3) ให้บุคคลไทย
ทั้งที่เป็นนิติบุคคลและบุคคลธรรมดามีความคล่องตัวในการฝากเงินสกุลเงินตราต่างประเทศไว้กับสถาบันการเงินในประเทศมากขึ้น โดยผู้มีเงินตรา
ต่างประเทศอันมีแหล่งที่มาจากต่างประเทศไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีการใดสามารถฝากเงินตราต่างประเทศกับสถาบันการเงินในประเทศไทยได้
โดยไม่ต้องแสดงภาระการใช้เงินนั้นในอนาคตและฝากได้ไม่จำกัดจำนวน จากเดิมที่กำหนดเงื่อนไขวงเงินและภาระผูกพันที่ต้องใช้เงินตรา
ต่างประเทศในอนาคต และอนุญาตให้บุคคลในประเทศสามารถนำเงินบาทซื้อหรือแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินตราประเทศแล้วนำมาฝากไว้กับสถาบัน
การเงินได้ โดยกรณีที่มีภาระผูกพันต้องชำระเงินตราต่างประเทศให้แก่บุคคลในต่างประเทศในอนาคตให้มียอดคงค้างบัญชีได้ไม่เกิน 1 ล้านดอลลาร์
สรอ. สำหรับบุคคลธรรมดาและไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับนิติบุคคล ส่วนกรณีที่ไม่มีภาระผูกพันให้มียอดคงค้างในบัญชีได้
ไม่เกิน 100,000 ดอลลาร์ สรอ. สำหรับบุคคลธรรมดา และไม่เกิน 300,00 บาท หรือเทียบเท่าสำหรับนิติบุคคล (มติชน)
3. กองทุนฟื้นฟูฯ ขายพันธบัตรที่เหลือ 6 พันล้านบาท ให้ ธปท. นางพวงทิพย์ ปรมาพจน์ ผอ.สำนักบริหารธุรกิจและการเงิน
สายจัดการกองทุน ธปท. กล่าวถึงพันธบัตรออมทรัพย์ของกองทุนฟื้นฟูฯ ที่ยังเหลืออีก 6 พันล้านบาท หลังจากเปิดจำหน่ายให้กับประชาชนรายย่อย
8 หมื่นล้านบาท ว่า พันธบัตรที่เหลือทั้งหมดในล็อตนี้จะขายให้กับ ธปท. รวมถึงพันธบัตรอีก 5 หมื่นล้านบาท ที่มีแผนจะออกจำหน่ายแบบเฉพาะ
เจาะจงในปี 51 ก็ได้ตกลงที่จะขายให้ ธปท. เพียงรายเดียว เนื่องจากไม่ต้องการให้มีปริมาณความต้องการขายพันธบัตรเข้าไปในตลาดมาก
เกินไป เพราะจะส่งผลให้ราคาพันธบัตรทั่วไปของตลาดลดต่ำลง ขณะที่ผลตอบแทนของพันธบัตรจะสูงขึ้นจนอาจสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาด
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรที่จะจำหน่ายให้กับ ธปท. ทั้งนี้ หลังจากจำหน่ายพันธบัตรล็อตสุดท้ายให้กับ
ธปท. แล้วจะทำให้ไม่มีหนี้ระยะสั้น จะเหลือเฉพาะหนี้ระยะยาวเท่านั้น โดยกองทุนฟื้นฟูฯ จะมีรายได้จากการจำหน่ายหุ้นที่ถืออยู่ในสถาบันการเงิน
การจำหน่ายที่ดิน และเงินชำระค่าสินทรัพย์จากบริษัทบริหารสินทรัพย์ไทยซึ่งมากพอจะชำระหนี้ได้ต่อไปในอนาคต (มติชน, กรุงเทพธุรกิจ)
4. ควรให้อิสระ ธปท. ในการพิจารณาตัดสินใจยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผอ.สนง.
บริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า นโยบายของพรรคการเมืองที่จะยกเลิกมาตรการสำรองร้อยละ 30 ของ ธปท. หลังจากเข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่
ถือว่าเป็นนโยบายที่เป็นไปได้ เพราะเป็นมาตรการที่จะเป็นประโยชน์กับตลาดตราสารหนี้ในประเทศ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรกดดันให้ ธปท.
ยกเลิกมาตรการดังกล่าว ควรปล่อยให้เป็นอิสระของ ธปท. ที่จะตัดสินใจ ทั้งนี้ การยกเลิกมาตรการร้อยละ 30 และการป้องกันความเสี่ยง
เต็มจำนวนจะทำให้เกิดความสมดุลในตลาดการเงิน โดยปัจจุบัน ธปท. รักษาระดับของค่าเงินบาทให้คงที่ได้ ขณะที่หลายประเทศค่าเงินยังคง
แข็งค่าขึ้น ทำให้ ธปท. ต้องใช้เงินเข้าไปแทรกแซงจำนวนมาก ส่งผลให้สภาพคล่องล้นตลาด เนื่องจาก ธปท. ต้องออกพันธบัตรจำนวนมาก
และมีต้นทุนการดำเนินการสูง ทั้งนี้ การยกเลิกมาตรการดังกล่าวต้องทำไปพร้อมกันหลายด้าน ต้องค่อย ๆ ปล่อยให้เงินแข็งค่าขึ้นเพื่อให้เกิด
ความสมดุล โดยที่ผ่านมาไทยพึ่งพาภาคการส่งออกมากเกินไปทำให้ต้องดำเนินนโยบายเงินบาทในลักษณะที่ช่วยเหลือผู้ส่งออก ทำให้มีต้นทุนต่อ
ระบบเศรษฐกิจในภาพใหญ่ตามมาคือภาคการลงทุนและการบริโภคในประเทศไม่ขยายตัว แต่หากปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศ
ก็จะลดลง ทำให้เกิดการลงทุนและการบริโภคในประเทศขยายตัวมากขึ้นได้ (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อัตราเงินเฟ้อของ สรอ.ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 ต่อเดือนสูงสุดในรอบ 2 ปี รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ
14 ธ.ค.50 กรมแรงงานของ สรอ.รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคของ สรอ.พุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 0.8 ในเดือน พ.ย.50 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน
สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย.48 และหากไม่รวมราคาอาหารและพลังงานหรือที่เรียกว่าดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานก็ยังเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 0.3 ต่อเดือน
สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค.50 และสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ต่อเดือน โดยหากเทียบต่อปีแล้ว ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับเดือน พ.ย.49 สูงสุดเมื่อเทียบต่อปีนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.49 ในขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 ต่อปี
สูงสุดในรอบ 7 เดือน และในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 ต่อปี เทียบกับร้อยละ 2.5 ต่อปีตลอดทั้งปี 49
โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นถึงร้อยละ 9.3 ในเดือนเดียวกัน สูงสุดในรอบ 6 เดือน โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมัน
สูงขึ้นถึงร้อยละ 37.1 เพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดเมื่อเทียบต่อปีนับตั้งแต่เดือน ก.ย.48 ทั้งนี้ นอกจากน้ำมันแล้วสินค้าอื่นก็มีราคาสูงขึ้นเช่นเดียวกัน
อย่างเช่นเสื้อผ้ามีราคาสูงขึ้นร้อยละ 0.8 ยามีราคาสูงขึ้นร้อยละ 0.4 และต้นทุนการเป็นเจ้าของบ้านซึ่งมีสัดส่วนถึง 1 ใน 4 ในการคำนวณ
อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นร้อยละ 0.3 อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นดังกล่าวทำให้ตลาดการเงินคาดว่า ธ.กลาง สรอ.หรือเฟดอาจไม่ลดอัตราดอกเบี้ย
ลงอีกแม้ว่าเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากผลกระทบของวิกฤติสินเชื่อและภาวะตกต่ำของตลาดบ้านก็ตาม (รอยเตอร์)
2. คาดว่าความเชื่อมั่นของธุรกิจและของผู้บริโภคในเยอรมนีในเดือน ธ.ค. จะลดลงอีกรายงานจากเบอร์ลิน เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.50
ผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์คาดว่า ความเชื่อมั่นของธุรกิจในเดือน ธ.ค. จะลดลงอีกภายหลังจากเพิ่งฟื้นตัวเมื่อเดือนที่แล้วเป็น
ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน เม.ย. ส่วนความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ม.ค. คาดว่าจะลดลงอยู่ที่ระดับ 4.0 ลดลงจากระดับ 4.3 ในเดือน ธ.ค.
ทั้งนี้ผลสำรวจคาดว่าดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นธุรกิจของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ Info ในเดือน ธ.ค. จะลดลงอยู่ที่ 103.8 จากระดับ 104.2 เมื่อ
เดือนที่แล้ว เนื่องจากเป็นวัฏจักรขาลงของธุรกิจ ซึ่งนาย Alexander Koch นักเศรษฐศาสตร์จาก Unicredit คาดว่าการที่ความเชื่อมั่น
ธุรกิจลดลงมีสาเหตุจากผลกระทบของต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น เงินยูโรที่แข็งค่า และวิกฤติในตลาดการเงิน อย่างไรก็ตามแนวโน้มที่ลดลงดังกล่าว
มิได้หมายความว่าอุตสาหกรรมของเยอรมนีจะชะงักงันหรือถดถอย เนื่องจากระดับการคาดการณ์ดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่ดีอยู่มาก อย่างไรก็ตาม
Info ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมนีทั้งในปีนี้ และปีหน้า เนื่องจากการลงทุนชะลอลงจะส่งผลต่อการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจในปีหน้า แต่แม้ว่าเยอรมนีจะประสบความยุ่งยากในตลาดการเงิน และการแข็งค่าของเงินยูโรที่ทำสถิติสูงสุดเมื่อเดือนที่แล้วก็ตาม
ผู้ส่งออกของเยอรมนีกลับส่งออกสินค้าเดือน ต.ค. เป็นมูลค่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ (รอยเตอร์)
3. ราคาบ้านในเยอรมนีเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ
14 ธ.ค.50 กลุ่มบริษัทการเงิน Hypoport ของเยอรมนีรายงานราคาบ้านในเยอรมนีเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรก
ในรอบ 8 เดือน โดยบ้านใหม่มีราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 และบ้านมือสองมีราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 ในขณะที่ราคาอพาร์ทเมนต์ลดลงร้อยละ 1.7
ต่อเดือน และหากเทียบต่อปีราคาบ้านโดยรวมลดลงร้อยละ 4.1 โดยอพาร์ทเมนต์มีราคาลดลงมากสุดคือร้อยละ 7.8 และบ้านมือสองลดลง
ร้อยละ 6.2 ในขณะที่ราคาบ้านใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 ต่อปี ทั้งนี้ Hypoport คาดว่าในช่วงหลายเดือนข้างหน้าราคาบ้านมีแนวโน้มสูงขึ้น
ในขณะที่คาดว่าราคาอพาร์ทเมนต์ทั่วประเทศจะลดลงเล็กน้อย (รอยเตอร์)
4. ยอดขายของห้างสรรพสินค้าชั้นนำ 3 แห่งของเกาหลีใต้ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ที่ร้อยละ 8.5
เทียบต่อปี รายงานจากโซล เมื่อ 17 ธ.ค.50 ก.พาณิชย์เกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ยอดขายของห้างสรรพสินค้าชั้นนำ 3 แห่งของเกาหลีใต้
ได้แก่ Lotte Shopping Co., Shinsegae Co. Ltd.และ Hyundai Department Store Co. Ltd. ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้น
ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ที่ร้อยละ 8.5 เทียบต่อปี หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 ในเดือน ต.ค.50 ทั้งนี้ ตัวเลขยอดขายของห้างสรรพสินค้า
เป็นตัวเลขที่รัฐบาลเกาหลีใต้เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากแสดงถึงความแข็งแกร่งของความต้องการในประเทศ อันมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่ง
ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ขณะที่ รมว.คลังคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ยอดขายของห้างสรรพสินค้าฯ ในเดือน พ.ย.50 จะเพิ่มขึ้นเพียง
ร้อยละ 6.0 เทียบต่อปี นอกจากนี้ รมว.พาณิชย์ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ยอดขายของ Discount Store ชั้นนำ 3 แห่งในเดือน พ.ย.50
ลดลงร้อยละ 0.7 เทียบต่อปี หลังจากที่ลดลงถึงร้อยละ 12.0 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 9 เดือน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 17 ธ.ค. 50 14 ธ.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.601 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.3892/33.7243 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.36047 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 836.40/17.09 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 12,650/12,750 12,700/12,800 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 87.98 88.09 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 32.49*/28.94* 32.49*/28.94* 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับลด 40 สตางค์เมื่อ 5 ธ.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. คาดว่าปีหน้า ธ.พาณิชย์จะควบรวมกิจการมากขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่า
การด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ภาพการทำธุรกิจ ธ.พาณิชย์ในปี 51 น่าจะมีการแข่งขันในธุรกิจที่รุนแรงขึ้น เพราะมี
ความจำเป็นต้องมีการจับมือกันทำธุรกิจและหาพันธมิตรที่มีกลยุทธ์ที่ดีมาเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้มากขึ้น โดยน่าจะเห็นการควบรวมกิจการ
ของ ธ.พาณิชย์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าจะมีปัจจัยที่อาจจะมีผลกระทบต่อการทำธุรกิจของสถาบันการเงินบ้าง แต่เชื่อว่าสถาบันการเงิน
น่าจะปรับตัวได้และมีความท้าทายที่ต้องระมัดระวัง แต่เชื่อได้ว่าผลประกอบการของ ธ.พาณิชย์ปีหน้าน่าจะดีขึ้นเพราะผ่านการกันสำรองตาม
มาตรฐาน IAS39 ไปแล้วในสิ้นปีนี้ ขณะที่แนวโน้มธุรกิจสถาบันการเงินปี 51 คงเป็นภาพของการปรับตัวและต้องเชื่อมโยงกับภาพรวมเศรษฐกิจ
เพราะถ้าขยายตัวดีสินเชื่อก็จะขยายตัวตาม แต่ถ้ามีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น สถาบันการเงินก็คงได้รับแรงกดดันด้านหนี้เสีย นอกจากนี้ ภาวะ
น้ำมันแพงซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าและค่าครองชีพสูงขึ้นอาจส่งผลให้การใช้จ่ายของครัวเรืองตึงตัวมากขึ้นได้ ทั้งนี้ ต้องดูกฎเกณฑ์การกำกับดูแล
สถาบันการเงินรวมถึง พรบ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่ที่ผ่าน สนช. ออกมาบังคับใช้ในเร็ว ๆ นี้ด้วย (โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน)
2. ธปท. ขอขยายวงเงินลงทุนต่างประเทศทุกช่องทาง รายงานข่าวจาก ธปท. แจ้งว่า ธปท. ทำหนังสือขอให้ ก.คลังพิจารณา
ผ่อนคลายกฎระเบียบต่าง ๆ เกี่ยวกับการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและเอื้อต่อการลงทุนและประกอบ
ธุรกิจของภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก เนื่องจากในปัจจุบันยังคงมีความต้องการส่งเงินไปต่างประเทศเพิ่มเติม
ซึ่งต้องขออนุญาตจาก ธปท. ดังนั้น ธปท. จึงได้เสนอให้มีการปรับระเบียบการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตรา ดังนี้ 1) ขยายขอบเขตการลงทุน
โดยตรงและให้กู้ยืมแก่กิจการในเครือต่างประเทศ ดังนี้ 1.1) อนุญาตให้บริษัทแม่ในประเทศไทยลงทุนหรือให้กู้ยืมแก่บริษัทในเครือในต่างประเทศ
ได้ไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากเดิม 50 ล้านดอลลาร์ สรอ. 1.2) อนุญาตให้บริษัทแม่ในไทยลงทุนหรือให้กู้ยืมแก่บริษัทแม่ในต่างประเทศ
และบริษัทในเครือของบริษัทแม่ดังกล่าวไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์ สรอ. และ 1.3) ให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ลงทุนโดยตรงตาม
1.1 และ 1.2 ได้ไม่จำกัดจำนวนและให้กู้ยืมตาม 1.1 และ 1.2 ได้ไม่เกินกรณีละ 100ล้านดอลลาร์ สรอง. 2) เพิ่มวงเงินที่บุคคลไทย
ประสงค์จะโอนอออกไปยังต่างประเทศเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1 ล้านดอลลาร์ สรอ เป็น 5 ล้านดอลลาร์ สรอ. และ 3) ให้บุคคลไทย
ทั้งที่เป็นนิติบุคคลและบุคคลธรรมดามีความคล่องตัวในการฝากเงินสกุลเงินตราต่างประเทศไว้กับสถาบันการเงินในประเทศมากขึ้น โดยผู้มีเงินตรา
ต่างประเทศอันมีแหล่งที่มาจากต่างประเทศไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีการใดสามารถฝากเงินตราต่างประเทศกับสถาบันการเงินในประเทศไทยได้
โดยไม่ต้องแสดงภาระการใช้เงินนั้นในอนาคตและฝากได้ไม่จำกัดจำนวน จากเดิมที่กำหนดเงื่อนไขวงเงินและภาระผูกพันที่ต้องใช้เงินตรา
ต่างประเทศในอนาคต และอนุญาตให้บุคคลในประเทศสามารถนำเงินบาทซื้อหรือแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินตราประเทศแล้วนำมาฝากไว้กับสถาบัน
การเงินได้ โดยกรณีที่มีภาระผูกพันต้องชำระเงินตราต่างประเทศให้แก่บุคคลในต่างประเทศในอนาคตให้มียอดคงค้างบัญชีได้ไม่เกิน 1 ล้านดอลลาร์
สรอ. สำหรับบุคคลธรรมดาและไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับนิติบุคคล ส่วนกรณีที่ไม่มีภาระผูกพันให้มียอดคงค้างในบัญชีได้
ไม่เกิน 100,000 ดอลลาร์ สรอ. สำหรับบุคคลธรรมดา และไม่เกิน 300,00 บาท หรือเทียบเท่าสำหรับนิติบุคคล (มติชน)
3. กองทุนฟื้นฟูฯ ขายพันธบัตรที่เหลือ 6 พันล้านบาท ให้ ธปท. นางพวงทิพย์ ปรมาพจน์ ผอ.สำนักบริหารธุรกิจและการเงิน
สายจัดการกองทุน ธปท. กล่าวถึงพันธบัตรออมทรัพย์ของกองทุนฟื้นฟูฯ ที่ยังเหลืออีก 6 พันล้านบาท หลังจากเปิดจำหน่ายให้กับประชาชนรายย่อย
8 หมื่นล้านบาท ว่า พันธบัตรที่เหลือทั้งหมดในล็อตนี้จะขายให้กับ ธปท. รวมถึงพันธบัตรอีก 5 หมื่นล้านบาท ที่มีแผนจะออกจำหน่ายแบบเฉพาะ
เจาะจงในปี 51 ก็ได้ตกลงที่จะขายให้ ธปท. เพียงรายเดียว เนื่องจากไม่ต้องการให้มีปริมาณความต้องการขายพันธบัตรเข้าไปในตลาดมาก
เกินไป เพราะจะส่งผลให้ราคาพันธบัตรทั่วไปของตลาดลดต่ำลง ขณะที่ผลตอบแทนของพันธบัตรจะสูงขึ้นจนอาจสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาด
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรที่จะจำหน่ายให้กับ ธปท. ทั้งนี้ หลังจากจำหน่ายพันธบัตรล็อตสุดท้ายให้กับ
ธปท. แล้วจะทำให้ไม่มีหนี้ระยะสั้น จะเหลือเฉพาะหนี้ระยะยาวเท่านั้น โดยกองทุนฟื้นฟูฯ จะมีรายได้จากการจำหน่ายหุ้นที่ถืออยู่ในสถาบันการเงิน
การจำหน่ายที่ดิน และเงินชำระค่าสินทรัพย์จากบริษัทบริหารสินทรัพย์ไทยซึ่งมากพอจะชำระหนี้ได้ต่อไปในอนาคต (มติชน, กรุงเทพธุรกิจ)
4. ควรให้อิสระ ธปท. ในการพิจารณาตัดสินใจยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผอ.สนง.
บริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า นโยบายของพรรคการเมืองที่จะยกเลิกมาตรการสำรองร้อยละ 30 ของ ธปท. หลังจากเข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่
ถือว่าเป็นนโยบายที่เป็นไปได้ เพราะเป็นมาตรการที่จะเป็นประโยชน์กับตลาดตราสารหนี้ในประเทศ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรกดดันให้ ธปท.
ยกเลิกมาตรการดังกล่าว ควรปล่อยให้เป็นอิสระของ ธปท. ที่จะตัดสินใจ ทั้งนี้ การยกเลิกมาตรการร้อยละ 30 และการป้องกันความเสี่ยง
เต็มจำนวนจะทำให้เกิดความสมดุลในตลาดการเงิน โดยปัจจุบัน ธปท. รักษาระดับของค่าเงินบาทให้คงที่ได้ ขณะที่หลายประเทศค่าเงินยังคง
แข็งค่าขึ้น ทำให้ ธปท. ต้องใช้เงินเข้าไปแทรกแซงจำนวนมาก ส่งผลให้สภาพคล่องล้นตลาด เนื่องจาก ธปท. ต้องออกพันธบัตรจำนวนมาก
และมีต้นทุนการดำเนินการสูง ทั้งนี้ การยกเลิกมาตรการดังกล่าวต้องทำไปพร้อมกันหลายด้าน ต้องค่อย ๆ ปล่อยให้เงินแข็งค่าขึ้นเพื่อให้เกิด
ความสมดุล โดยที่ผ่านมาไทยพึ่งพาภาคการส่งออกมากเกินไปทำให้ต้องดำเนินนโยบายเงินบาทในลักษณะที่ช่วยเหลือผู้ส่งออก ทำให้มีต้นทุนต่อ
ระบบเศรษฐกิจในภาพใหญ่ตามมาคือภาคการลงทุนและการบริโภคในประเทศไม่ขยายตัว แต่หากปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศ
ก็จะลดลง ทำให้เกิดการลงทุนและการบริโภคในประเทศขยายตัวมากขึ้นได้ (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อัตราเงินเฟ้อของ สรอ.ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 ต่อเดือนสูงสุดในรอบ 2 ปี รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ
14 ธ.ค.50 กรมแรงงานของ สรอ.รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคของ สรอ.พุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 0.8 ในเดือน พ.ย.50 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน
สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย.48 และหากไม่รวมราคาอาหารและพลังงานหรือที่เรียกว่าดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานก็ยังเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 0.3 ต่อเดือน
สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค.50 และสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ต่อเดือน โดยหากเทียบต่อปีแล้ว ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับเดือน พ.ย.49 สูงสุดเมื่อเทียบต่อปีนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.49 ในขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 ต่อปี
สูงสุดในรอบ 7 เดือน และในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 ต่อปี เทียบกับร้อยละ 2.5 ต่อปีตลอดทั้งปี 49
โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นถึงร้อยละ 9.3 ในเดือนเดียวกัน สูงสุดในรอบ 6 เดือน โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมัน
สูงขึ้นถึงร้อยละ 37.1 เพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดเมื่อเทียบต่อปีนับตั้งแต่เดือน ก.ย.48 ทั้งนี้ นอกจากน้ำมันแล้วสินค้าอื่นก็มีราคาสูงขึ้นเช่นเดียวกัน
อย่างเช่นเสื้อผ้ามีราคาสูงขึ้นร้อยละ 0.8 ยามีราคาสูงขึ้นร้อยละ 0.4 และต้นทุนการเป็นเจ้าของบ้านซึ่งมีสัดส่วนถึง 1 ใน 4 ในการคำนวณ
อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นร้อยละ 0.3 อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นดังกล่าวทำให้ตลาดการเงินคาดว่า ธ.กลาง สรอ.หรือเฟดอาจไม่ลดอัตราดอกเบี้ย
ลงอีกแม้ว่าเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากผลกระทบของวิกฤติสินเชื่อและภาวะตกต่ำของตลาดบ้านก็ตาม (รอยเตอร์)
2. คาดว่าความเชื่อมั่นของธุรกิจและของผู้บริโภคในเยอรมนีในเดือน ธ.ค. จะลดลงอีกรายงานจากเบอร์ลิน เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.50
ผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์คาดว่า ความเชื่อมั่นของธุรกิจในเดือน ธ.ค. จะลดลงอีกภายหลังจากเพิ่งฟื้นตัวเมื่อเดือนที่แล้วเป็น
ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน เม.ย. ส่วนความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ม.ค. คาดว่าจะลดลงอยู่ที่ระดับ 4.0 ลดลงจากระดับ 4.3 ในเดือน ธ.ค.
ทั้งนี้ผลสำรวจคาดว่าดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นธุรกิจของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ Info ในเดือน ธ.ค. จะลดลงอยู่ที่ 103.8 จากระดับ 104.2 เมื่อ
เดือนที่แล้ว เนื่องจากเป็นวัฏจักรขาลงของธุรกิจ ซึ่งนาย Alexander Koch นักเศรษฐศาสตร์จาก Unicredit คาดว่าการที่ความเชื่อมั่น
ธุรกิจลดลงมีสาเหตุจากผลกระทบของต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น เงินยูโรที่แข็งค่า และวิกฤติในตลาดการเงิน อย่างไรก็ตามแนวโน้มที่ลดลงดังกล่าว
มิได้หมายความว่าอุตสาหกรรมของเยอรมนีจะชะงักงันหรือถดถอย เนื่องจากระดับการคาดการณ์ดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่ดีอยู่มาก อย่างไรก็ตาม
Info ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมนีทั้งในปีนี้ และปีหน้า เนื่องจากการลงทุนชะลอลงจะส่งผลต่อการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจในปีหน้า แต่แม้ว่าเยอรมนีจะประสบความยุ่งยากในตลาดการเงิน และการแข็งค่าของเงินยูโรที่ทำสถิติสูงสุดเมื่อเดือนที่แล้วก็ตาม
ผู้ส่งออกของเยอรมนีกลับส่งออกสินค้าเดือน ต.ค. เป็นมูลค่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ (รอยเตอร์)
3. ราคาบ้านในเยอรมนีเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ
14 ธ.ค.50 กลุ่มบริษัทการเงิน Hypoport ของเยอรมนีรายงานราคาบ้านในเยอรมนีเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรก
ในรอบ 8 เดือน โดยบ้านใหม่มีราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 และบ้านมือสองมีราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 ในขณะที่ราคาอพาร์ทเมนต์ลดลงร้อยละ 1.7
ต่อเดือน และหากเทียบต่อปีราคาบ้านโดยรวมลดลงร้อยละ 4.1 โดยอพาร์ทเมนต์มีราคาลดลงมากสุดคือร้อยละ 7.8 และบ้านมือสองลดลง
ร้อยละ 6.2 ในขณะที่ราคาบ้านใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 ต่อปี ทั้งนี้ Hypoport คาดว่าในช่วงหลายเดือนข้างหน้าราคาบ้านมีแนวโน้มสูงขึ้น
ในขณะที่คาดว่าราคาอพาร์ทเมนต์ทั่วประเทศจะลดลงเล็กน้อย (รอยเตอร์)
4. ยอดขายของห้างสรรพสินค้าชั้นนำ 3 แห่งของเกาหลีใต้ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ที่ร้อยละ 8.5
เทียบต่อปี รายงานจากโซล เมื่อ 17 ธ.ค.50 ก.พาณิชย์เกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ยอดขายของห้างสรรพสินค้าชั้นนำ 3 แห่งของเกาหลีใต้
ได้แก่ Lotte Shopping Co., Shinsegae Co. Ltd.และ Hyundai Department Store Co. Ltd. ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้น
ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ที่ร้อยละ 8.5 เทียบต่อปี หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 ในเดือน ต.ค.50 ทั้งนี้ ตัวเลขยอดขายของห้างสรรพสินค้า
เป็นตัวเลขที่รัฐบาลเกาหลีใต้เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากแสดงถึงความแข็งแกร่งของความต้องการในประเทศ อันมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่ง
ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ขณะที่ รมว.คลังคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ยอดขายของห้างสรรพสินค้าฯ ในเดือน พ.ย.50 จะเพิ่มขึ้นเพียง
ร้อยละ 6.0 เทียบต่อปี นอกจากนี้ รมว.พาณิชย์ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ยอดขายของ Discount Store ชั้นนำ 3 แห่งในเดือน พ.ย.50
ลดลงร้อยละ 0.7 เทียบต่อปี หลังจากที่ลดลงถึงร้อยละ 12.0 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 9 เดือน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 17 ธ.ค. 50 14 ธ.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.601 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.3892/33.7243 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.36047 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 836.40/17.09 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 12,650/12,750 12,700/12,800 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 87.98 88.09 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 32.49*/28.94* 32.49*/28.94* 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับลด 40 สตางค์เมื่อ 5 ธ.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--