แท็ก
ธปท.
ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. จะประเมินผลแนวทางดูแลการทวงหนี้ของสถาบันการเงินก่อนพิจารณาออกเป็นกฎระเบียบ นายเกริก วณิกกุล
ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. ได้ออกแนวทางในการติดตามดูแลการติดตามทวงหนี้โหด (ไกด์ไลน์) ในช่วงกลางเดือน
ก.ย.50 ว่า ในช่วงสิ้นปี 50 ธปท. จะดำเนินการประเมินภาพที่ชัดเจนว่าหลังจากออกไกด์ไลน์ดังกล่าวแล้วมีพฤติกรรมการทวงหนี้ที่ดีขึ้นหรือไม่
อย่างไร เพื่อที่จะนำมาพิจารณาว่าจำเป็นต้องมีการออกเป็นกฎระเบียบ ธปท. ตามกฎหมายธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่ที่ให้อำนาจ ธปท.
จัดการในเรื่องนี้ได้หรือไม่ ทั้งนี้ เท่าที่มีการประเมินจากโทรศัพท์และจดหมายร้องเรียนการติดตามทวงหนี้โหดที่ส่งเข้ามายัง ธปท. นั้น พบว่า
จำนวนการร้องเรียนหลังจากการออกไกด์ไลน์ลดลงจากช่วงก่อนหน้า แต่หากพิจารณาเป็นภาพรวมแล้วการร้องเรียนเรื่องการทวงหนี้โหดโดย
รวมยังมีอยู่จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เท่าที่ติดตามลูกหนี้ที่ร้องเรียนเข้ามามีทั้งที่เป็นหนี้ในระบบและเป็นหนี้นอกระบบ (สยามรัฐ)
2. สนช. ผ่านร่าง พรบ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากแล้ว สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่านร่าง พรบ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก
พ.ศ...... ในวาระ 2 และ 3 ด้วยมติ 129 เสียง จาก 134 เสียง มีผู้ไม่เห็นด้วย 4 เสียง คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือน ก.ค.51
สำหรับสาระสำคัญของ พรบ.ฉบับนี้อยู่ที่มาตรา 70 ที่กำหนดวงเงินในการคุ้มครองเงินฝาก โดยปีแรกจะคุ้มครองเต็มจำนวน ปีที่ 2 หรือ
ตั้งแต่เดือน ก.ค.52 ลดเหลือ 100 ล้านบาทต่อบัญชี ปีที่ 3 หรือตั้งแต่เดือน ก.ค.53 ลดเหลือ 50 ล้านบาทต่อบัญชี ปีที่ 4 หรือตั้งแต่
เดือน ก.ค.54 ลดเหลือ 10 ล้านต่อบัญชี และปีที่ 5 หรือตั้งแต่เดือน ก.ค.55 จะคุ้มครองเงินฝากเพียง 1 ล้านบาทต่อบัญชี ทั้งนี้
นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี ผอส.ฝ่ายกฎหมายและคดี ธปท. กล่าวว่า ช่วงเวลาในการบังคับใช้กฎหมายยืดหยุ่นพอสมควรน่าจะไม่ทำให้เกิด
ผลกระทบกับผู้ฝากเงินมากนัก หรือหากรัฐบาลเห็นว่ายังไม่เหมาะสมที่จะลดวงเงินคุ้มครองเหลือ 1 ล้านบาทต่อบัญชี ก็อาจจะขอแก้ไขโดย
พระราชกฤษฎีกาได้ (โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, แนวหน้า)
3. เอดีบีมองว่าไทยยังเป็นประเทศที่น่าลงทุนมากกว่าเวียดนามหรือจีน นายฌอง ปิแอร์ เอ.เวอร์บีสท์ ผอ.สนง.ผู้แทน
ประจำประเทศไทย ธ.พัฒนาเอเชีย (เอดีบี) เปิดเผยว่า จากการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 50 คาดว่าภาพรวมยังอยู่ในเกณฑ์
ตามที่เอดีบีคาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 5 ขณะที่แนวโน้มในปี 51 คาดว่าอัตราการขยายตัวของภาคการส่งออกไทยมีแนวโน้ม
จะลดลงน้อยกว่าปี 50 เนื่องจากเศรษฐกิจ สรอ. และจีนอยู่ในภาวะชะลอตัวต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ยังคงผันผวน
และการบริโภคของครัวเรือนในประเทศยังไม่กระเตื้องเท่าที่ควร สำหรับเศรษฐกิจไทยหลังการเลือกตั้งไม่น่าจะมีอะไรแตกต่างจากปัจจุบัน
มากนัก เนื่องจากเงื่อนไขและแนวทางการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของพรรคการเมืองทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กที่คล้ายๆ กัน โดยเฉพาะ
เรื่องนโยบายด้านเศรษฐกิจแทบจะไม่แตกต่างกัน ทั้งนี้ เอดีบีมองว่าไทยยังเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าลงทุนในสายตานักลงทุนต่างประเทศมากกว่า
เวียดนามหรือจีน แม้จะมีเรื่องการประกาศมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 แต่คิดว่าได้มีการผ่อนปรนไปพอสมควรแล้ว และไม่น่าจะส่งผลกระทบ
ต่อการไหลเวียนของเงินทุน โดยสิ่งที่เหลืออยู่เป็นเรื่องของจิตวิทยาที่ ธปท. ต้องการจะวางทิ้งเอาไว้มากกว่า ขณะที่สิ่งที่ต้องเร่งปรับปรุง
โดยด่วนคือการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไม่เช่นนั้นอาจถูกประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคแซงหน้าได้ โดยเฉพาะ
อุตสาหกรรมยานยนต์ที่แม้จะได้รับการผลักดันมาประมาณ 15 ปีแล้ว แต่ขณะนี้ทั้งจีนและมาเลเซียก็เริ่มมีความคิดที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์
(ดีทรอยต์ ออฟ เอเชีย) ไทยจึงต้องระวังให้มาก รวมถึงการเร่งสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้มีการศึกษาและมีคุณภาพที่ดี (มติชน)
4. ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันกำลังปรับตัวดีขึ้น นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รอง นรม. และ รมว.อุตสาหกรรม
กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาเอสเอ็มอี ประจำปี 50 ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันกำลังปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ แต่ในอนาคต
ยังมีความกังวลด้านปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้อยคุณภาพใน สรอ. อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่แข็งค่า และปัญหาราคาน้ำมัน
ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สิ่งที่ท้าทายในปีหน้าเป็นเรื่องเก่าที่ผ่านมาแล้วและเป็นอุปสรรคต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาได้พบกับปัญหาใหญ่มาแล้ว
เมื่อ 4 — 5 เดือนก่อน แต่ก็สามารถผ่านอุปสรรคมาได้ โดยในปีหน้าความท้าทายเหล่านี้จะยังคงมีอยู่และเป็นโจทย์หลักให้ต้องเฝ้าระวังและ
ปรับตัวต่อไป (บ้านเมือง, เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลางอังกฤษปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ในเดือน ธ.ค. เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างมาก รายงาน
จากลอนดอนเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 50 ในการประชุมคณะกรรมาธิการนโยบายการเงิน ธ.กลางอังกฤษเมื่อวันที่ 5 - 6 ธ.ค. ได้มีมติเป็นเอกฉันท์
ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 และจะมีการปรับลดลงอีกหากจำเป็นถ้าเศรษฐกิจยังคงชะลอตัว แม้ว่าจะมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
อยู่ก็ตาม ทั้งนี้ ธ.กลางให้ความสำคัญกับการชะลอตัวลงอย่างมากของเศรษฐกิจอังกฤษมากกว่าการสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งคณะกรรมาธิการ
ได้พิจารณาถึงทางเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิมต่อไป หรือจะมีการปรับลดลงมากกว่าร้อยละ 0.25 อย่างไรก็ตามบรรดานักเศรษฐศาสตร์
คาดว่า ธ.กลางอังกฤษจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 3 ครั้งหรือมากกว่าในปีหน้า โดยการปรับลดครั้งต่อไปจะเป็นต้นเดือน ม.ค.
อย่างไรก็ตามภาวะยุ่งยากในตลาดการเงินที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพร์มของ สรอ. และปัญหาสินเชื่อตึงตัวจะทำให้ภาวะเงินเฟ้อชะลอตัวลง
ในระยะกลาง (รอยเตอร์)
2. เดือน พ.ย.50 ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าลดลงร้อยละ 12.2 เทียบต่อปี รายงานจากโตเกียวเมื่อ 20 ธ.ค.50 ก.คลัง เปิดเผยว่า
เดือน พ.ย.50 ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าเป็นจำนวน 797.4 พัน ล.เยน (7.04 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) ลดลงร้อยละ 12.2 เทียบต่อปี เหนือ
ความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าดุลการค้าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 เป็นจำนวน 917.5 พัน ล.เยน เป็นผลจากการส่งออกเพิ่มขึ้น
จากปีก่อนร้อยละ 9.7 เป็นจำนวน 7.2720 ล้านล้านเยน ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.5 โดยการส่งออกไปยัง
สรอ.ลดลงร้อยละ 6.0 อยู่ที่ 1.4140 ล้านล้านเยน แต่การส่งออกไปยังจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 เป็นจำนวน 1.1350 ล้านล้านเยน ขณะที่
การนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.2 เป็นจำนวน 6.4746 ล้านล้านเยน สูงกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.0
(รอยเตอร์)
3. เดือน ธ.ค.50 ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการภาคการผลิตญี่ปุ่นลดลง ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการนอกภาคการผลิต
เพิ่มขึ้น รายงานจากโตเกียวเมื่อ 20 ธ.ค.50 The Reuters Tankan เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการภาคการผลิต
ของญี่ปุ่นในเดือน ธ.ค.50 ซึ่งทำการสำรวจในช่วงระหว่างวันที่ 3-17 ธ.ค.50 ว่า ลดลงที่ระดับ +21 จากระดับ +23 ในเดือนก่อนหน้า
ลดลงที่ระดับเดียวกับเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ทั้งนี้ การที่ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการภาคการผลิตลดลง
เป็นผลจากตลาดการเงินยังคงมีความกังวลต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของ สรอ. รวมถึงการที่ราคาน้ำมันและราคาวัตถุดิบยังปรับตัวสูงขึ้น
ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการนอกภาคการผลิตปรับตัวดีขึ้น โดยเพิ่มขึ้น 4 จุดอยู่ที่ระดับ +13 เนื่องจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจ
บริการข้อมูล การค้าส่ง และการค้าปลีก แม้ว่าธุรกิจการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์จะประสบภาวะชะลอตัวก็ตาม นอกจากนี้ ความเชื่อมั่น
เกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจในช่วง 3 เดือนข้างหน้าทั้งในส่วนของภาคการผลิตและนอกภาคการผลิต อยู่ในระดับที่สูงกว่าความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์
ทางธุรกิจในปัจจุบัน โดยดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในช่วง 3 เดือนข้างหน้าของภาคการผลิตอยู่ที่ระดับ +29 ส่วนนอกภาคการผลิตอยู่ที่ระดับ +15
(รอยเตอร์)
4. สรอ. กล่าวหาจีนที่ไม่ดำเนินการกับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนที่มีค่าต่ำกว่าความเป็นจริง รายงานจากวอชิงตันเมื่อ
วันที่ 19 ธ.ค. 50 ก.คลัง สรอ. เตือนว่าอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนยังคงมีค่าต่ำกว่าความเป็นจริงส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยง
เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามทางการจีนกล่าวว่าไม่ได้เข้าแทรกแซงค่าเงิน เพื่อให้ได้เปรียบทางการค้า ทั้งนี้จีนควรที่จะเร่งดำเนินการกับอัตรา
แลกเปลี่ยนค่าเงินเพื่อให้ค่าเงินหยวนอยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อที่จะลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจของจีนเองรวมทั้งของเศรษฐกิจโลกด้วย
ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีส่วนทำให้จีนถูกวิพากษ์วิจารณ์เพิ่มขึ้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่ารายงานของ IMF จะช่วยทำให้จีนต้องเร่งปรับนโยบาย
อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้นโดยเร็ว ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นความพยายามของ สรอ. ในการเร่งออกกฏหมายเพื่อที่จะผลักดันให้จีน
เร่งปรับเปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนให้เร็วขึ้น (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 20 ธ.ค. 50 19 ธ.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.658 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.4440/33.7803 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.34969 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 804.98/12.77 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 12,700/12,800 12,700/12,800 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 85.11 86.33 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 32.49*/28.94* 32.49*/28.94* 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับลด 40 สตางค์เมื่อ 5 ธ.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. จะประเมินผลแนวทางดูแลการทวงหนี้ของสถาบันการเงินก่อนพิจารณาออกเป็นกฎระเบียบ นายเกริก วณิกกุล
ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. ได้ออกแนวทางในการติดตามดูแลการติดตามทวงหนี้โหด (ไกด์ไลน์) ในช่วงกลางเดือน
ก.ย.50 ว่า ในช่วงสิ้นปี 50 ธปท. จะดำเนินการประเมินภาพที่ชัดเจนว่าหลังจากออกไกด์ไลน์ดังกล่าวแล้วมีพฤติกรรมการทวงหนี้ที่ดีขึ้นหรือไม่
อย่างไร เพื่อที่จะนำมาพิจารณาว่าจำเป็นต้องมีการออกเป็นกฎระเบียบ ธปท. ตามกฎหมายธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่ที่ให้อำนาจ ธปท.
จัดการในเรื่องนี้ได้หรือไม่ ทั้งนี้ เท่าที่มีการประเมินจากโทรศัพท์และจดหมายร้องเรียนการติดตามทวงหนี้โหดที่ส่งเข้ามายัง ธปท. นั้น พบว่า
จำนวนการร้องเรียนหลังจากการออกไกด์ไลน์ลดลงจากช่วงก่อนหน้า แต่หากพิจารณาเป็นภาพรวมแล้วการร้องเรียนเรื่องการทวงหนี้โหดโดย
รวมยังมีอยู่จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เท่าที่ติดตามลูกหนี้ที่ร้องเรียนเข้ามามีทั้งที่เป็นหนี้ในระบบและเป็นหนี้นอกระบบ (สยามรัฐ)
2. สนช. ผ่านร่าง พรบ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากแล้ว สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่านร่าง พรบ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก
พ.ศ...... ในวาระ 2 และ 3 ด้วยมติ 129 เสียง จาก 134 เสียง มีผู้ไม่เห็นด้วย 4 เสียง คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือน ก.ค.51
สำหรับสาระสำคัญของ พรบ.ฉบับนี้อยู่ที่มาตรา 70 ที่กำหนดวงเงินในการคุ้มครองเงินฝาก โดยปีแรกจะคุ้มครองเต็มจำนวน ปีที่ 2 หรือ
ตั้งแต่เดือน ก.ค.52 ลดเหลือ 100 ล้านบาทต่อบัญชี ปีที่ 3 หรือตั้งแต่เดือน ก.ค.53 ลดเหลือ 50 ล้านบาทต่อบัญชี ปีที่ 4 หรือตั้งแต่
เดือน ก.ค.54 ลดเหลือ 10 ล้านต่อบัญชี และปีที่ 5 หรือตั้งแต่เดือน ก.ค.55 จะคุ้มครองเงินฝากเพียง 1 ล้านบาทต่อบัญชี ทั้งนี้
นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี ผอส.ฝ่ายกฎหมายและคดี ธปท. กล่าวว่า ช่วงเวลาในการบังคับใช้กฎหมายยืดหยุ่นพอสมควรน่าจะไม่ทำให้เกิด
ผลกระทบกับผู้ฝากเงินมากนัก หรือหากรัฐบาลเห็นว่ายังไม่เหมาะสมที่จะลดวงเงินคุ้มครองเหลือ 1 ล้านบาทต่อบัญชี ก็อาจจะขอแก้ไขโดย
พระราชกฤษฎีกาได้ (โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, แนวหน้า)
3. เอดีบีมองว่าไทยยังเป็นประเทศที่น่าลงทุนมากกว่าเวียดนามหรือจีน นายฌอง ปิแอร์ เอ.เวอร์บีสท์ ผอ.สนง.ผู้แทน
ประจำประเทศไทย ธ.พัฒนาเอเชีย (เอดีบี) เปิดเผยว่า จากการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 50 คาดว่าภาพรวมยังอยู่ในเกณฑ์
ตามที่เอดีบีคาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 5 ขณะที่แนวโน้มในปี 51 คาดว่าอัตราการขยายตัวของภาคการส่งออกไทยมีแนวโน้ม
จะลดลงน้อยกว่าปี 50 เนื่องจากเศรษฐกิจ สรอ. และจีนอยู่ในภาวะชะลอตัวต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ยังคงผันผวน
และการบริโภคของครัวเรือนในประเทศยังไม่กระเตื้องเท่าที่ควร สำหรับเศรษฐกิจไทยหลังการเลือกตั้งไม่น่าจะมีอะไรแตกต่างจากปัจจุบัน
มากนัก เนื่องจากเงื่อนไขและแนวทางการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของพรรคการเมืองทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กที่คล้ายๆ กัน โดยเฉพาะ
เรื่องนโยบายด้านเศรษฐกิจแทบจะไม่แตกต่างกัน ทั้งนี้ เอดีบีมองว่าไทยยังเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าลงทุนในสายตานักลงทุนต่างประเทศมากกว่า
เวียดนามหรือจีน แม้จะมีเรื่องการประกาศมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 แต่คิดว่าได้มีการผ่อนปรนไปพอสมควรแล้ว และไม่น่าจะส่งผลกระทบ
ต่อการไหลเวียนของเงินทุน โดยสิ่งที่เหลืออยู่เป็นเรื่องของจิตวิทยาที่ ธปท. ต้องการจะวางทิ้งเอาไว้มากกว่า ขณะที่สิ่งที่ต้องเร่งปรับปรุง
โดยด่วนคือการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไม่เช่นนั้นอาจถูกประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคแซงหน้าได้ โดยเฉพาะ
อุตสาหกรรมยานยนต์ที่แม้จะได้รับการผลักดันมาประมาณ 15 ปีแล้ว แต่ขณะนี้ทั้งจีนและมาเลเซียก็เริ่มมีความคิดที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์
(ดีทรอยต์ ออฟ เอเชีย) ไทยจึงต้องระวังให้มาก รวมถึงการเร่งสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้มีการศึกษาและมีคุณภาพที่ดี (มติชน)
4. ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันกำลังปรับตัวดีขึ้น นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รอง นรม. และ รมว.อุตสาหกรรม
กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาเอสเอ็มอี ประจำปี 50 ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันกำลังปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ แต่ในอนาคต
ยังมีความกังวลด้านปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้อยคุณภาพใน สรอ. อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่แข็งค่า และปัญหาราคาน้ำมัน
ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สิ่งที่ท้าทายในปีหน้าเป็นเรื่องเก่าที่ผ่านมาแล้วและเป็นอุปสรรคต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาได้พบกับปัญหาใหญ่มาแล้ว
เมื่อ 4 — 5 เดือนก่อน แต่ก็สามารถผ่านอุปสรรคมาได้ โดยในปีหน้าความท้าทายเหล่านี้จะยังคงมีอยู่และเป็นโจทย์หลักให้ต้องเฝ้าระวังและ
ปรับตัวต่อไป (บ้านเมือง, เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลางอังกฤษปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ในเดือน ธ.ค. เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างมาก รายงาน
จากลอนดอนเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 50 ในการประชุมคณะกรรมาธิการนโยบายการเงิน ธ.กลางอังกฤษเมื่อวันที่ 5 - 6 ธ.ค. ได้มีมติเป็นเอกฉันท์
ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 และจะมีการปรับลดลงอีกหากจำเป็นถ้าเศรษฐกิจยังคงชะลอตัว แม้ว่าจะมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
อยู่ก็ตาม ทั้งนี้ ธ.กลางให้ความสำคัญกับการชะลอตัวลงอย่างมากของเศรษฐกิจอังกฤษมากกว่าการสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งคณะกรรมาธิการ
ได้พิจารณาถึงทางเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิมต่อไป หรือจะมีการปรับลดลงมากกว่าร้อยละ 0.25 อย่างไรก็ตามบรรดานักเศรษฐศาสตร์
คาดว่า ธ.กลางอังกฤษจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 3 ครั้งหรือมากกว่าในปีหน้า โดยการปรับลดครั้งต่อไปจะเป็นต้นเดือน ม.ค.
อย่างไรก็ตามภาวะยุ่งยากในตลาดการเงินที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพร์มของ สรอ. และปัญหาสินเชื่อตึงตัวจะทำให้ภาวะเงินเฟ้อชะลอตัวลง
ในระยะกลาง (รอยเตอร์)
2. เดือน พ.ย.50 ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าลดลงร้อยละ 12.2 เทียบต่อปี รายงานจากโตเกียวเมื่อ 20 ธ.ค.50 ก.คลัง เปิดเผยว่า
เดือน พ.ย.50 ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าเป็นจำนวน 797.4 พัน ล.เยน (7.04 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) ลดลงร้อยละ 12.2 เทียบต่อปี เหนือ
ความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าดุลการค้าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 เป็นจำนวน 917.5 พัน ล.เยน เป็นผลจากการส่งออกเพิ่มขึ้น
จากปีก่อนร้อยละ 9.7 เป็นจำนวน 7.2720 ล้านล้านเยน ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.5 โดยการส่งออกไปยัง
สรอ.ลดลงร้อยละ 6.0 อยู่ที่ 1.4140 ล้านล้านเยน แต่การส่งออกไปยังจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 เป็นจำนวน 1.1350 ล้านล้านเยน ขณะที่
การนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.2 เป็นจำนวน 6.4746 ล้านล้านเยน สูงกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.0
(รอยเตอร์)
3. เดือน ธ.ค.50 ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการภาคการผลิตญี่ปุ่นลดลง ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการนอกภาคการผลิต
เพิ่มขึ้น รายงานจากโตเกียวเมื่อ 20 ธ.ค.50 The Reuters Tankan เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการภาคการผลิต
ของญี่ปุ่นในเดือน ธ.ค.50 ซึ่งทำการสำรวจในช่วงระหว่างวันที่ 3-17 ธ.ค.50 ว่า ลดลงที่ระดับ +21 จากระดับ +23 ในเดือนก่อนหน้า
ลดลงที่ระดับเดียวกับเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ทั้งนี้ การที่ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการภาคการผลิตลดลง
เป็นผลจากตลาดการเงินยังคงมีความกังวลต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของ สรอ. รวมถึงการที่ราคาน้ำมันและราคาวัตถุดิบยังปรับตัวสูงขึ้น
ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการนอกภาคการผลิตปรับตัวดีขึ้น โดยเพิ่มขึ้น 4 จุดอยู่ที่ระดับ +13 เนื่องจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจ
บริการข้อมูล การค้าส่ง และการค้าปลีก แม้ว่าธุรกิจการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์จะประสบภาวะชะลอตัวก็ตาม นอกจากนี้ ความเชื่อมั่น
เกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจในช่วง 3 เดือนข้างหน้าทั้งในส่วนของภาคการผลิตและนอกภาคการผลิต อยู่ในระดับที่สูงกว่าความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์
ทางธุรกิจในปัจจุบัน โดยดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในช่วง 3 เดือนข้างหน้าของภาคการผลิตอยู่ที่ระดับ +29 ส่วนนอกภาคการผลิตอยู่ที่ระดับ +15
(รอยเตอร์)
4. สรอ. กล่าวหาจีนที่ไม่ดำเนินการกับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนที่มีค่าต่ำกว่าความเป็นจริง รายงานจากวอชิงตันเมื่อ
วันที่ 19 ธ.ค. 50 ก.คลัง สรอ. เตือนว่าอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนยังคงมีค่าต่ำกว่าความเป็นจริงส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยง
เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามทางการจีนกล่าวว่าไม่ได้เข้าแทรกแซงค่าเงิน เพื่อให้ได้เปรียบทางการค้า ทั้งนี้จีนควรที่จะเร่งดำเนินการกับอัตรา
แลกเปลี่ยนค่าเงินเพื่อให้ค่าเงินหยวนอยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อที่จะลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจของจีนเองรวมทั้งของเศรษฐกิจโลกด้วย
ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีส่วนทำให้จีนถูกวิพากษ์วิจารณ์เพิ่มขึ้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่ารายงานของ IMF จะช่วยทำให้จีนต้องเร่งปรับนโยบาย
อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้นโดยเร็ว ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นความพยายามของ สรอ. ในการเร่งออกกฏหมายเพื่อที่จะผลักดันให้จีน
เร่งปรับเปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนให้เร็วขึ้น (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 20 ธ.ค. 50 19 ธ.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.658 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.4440/33.7803 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.34969 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 804.98/12.77 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 12,700/12,800 12,700/12,800 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 85.11 86.33 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 32.49*/28.94* 32.49*/28.94* 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับลด 40 สตางค์เมื่อ 5 ธ.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--