ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ธปท. รายงานผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ 3 เดือน
(ธ.ค.50 — ก.พ.51) พบว่า นักธุรกิจส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นทางธุรกิจมากขึ้น โดยในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้มีแนวโน้มความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น
ต่อเนื่องจากปลายปีก่อนจากที่มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.50 โดยภาคธุรกิจการเงินและธุรกิจก่อสร้างเป็นภาคที่ดัชนีความเชื่อมั่น
เพิ่มขึ้นสูงสุด ส่วนภาคอุตสาหกรรมดัชนียังทรงตัวอยู่ สะท้อนภาวะผู้ประกอบการทั้ง 3 สาขาอุตสาหกรรมดังกล่าวมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้ม
เศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่หลายภาคดัชนีลดลง เช่น ภาคสาธารณูปโภค ภาคการค้า ภาคขนส่งและคลังสินค้า และภาคบริการ เนื่องจาก
ผู้ประกอบการยังไม่มั่นใจกับภาวะเศรษฐกิจและการเมือง แม้ว่าจะมีการเลือกไปแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังมองว่าต้นทุนการผลิต
ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นข้อจำกัดอันดับแรกของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการมองว่าแรงกดดันด้านต้นทุนของ
สินค้าและบริการในช่วง 12 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นจากเฉลี่ยร้อยละ 4.1 ในช่วงก่อนหน้าเป็นเฉลี่ยร้อยละ 4.4 ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นที่
เพิ่มขึ้นมาจากแนวโน้มการจ้างงานและการปรับอัตราค่าจ้างที่ดีขึ้น เนื่องจากพบว่าจำนวนชั่วโมงทำงานล่วงเวลาต่อวันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสอดคล้อง
กับการผลิตและระดับการจ้างงานที่ปรับเพิ่มขึ้น สำหรับการปรับอัตราค่าจ้างในปี 51 มีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้น สะท้อนคำสั่งซื้อที่มีมากขึ้นและ
ภาวะตลาดแรงงานที่ตึงตัว ขณะที่ในด้านการเงินและสภาพคล่องของภาคธุรกิจพบว่าภาระดอกเบี้ยและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในอีก
3 เดือนข้างหน้าจะเพิ่มขึ้น มีผู้ประกอบการร้อยละ 18.9 ที่เห็นว่าภาระการผ่อนส่งดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 16.3 ในช่วงก่อนหน้า
สภาพคล่องของผู้ประกอบการทั้งในปัจจุบันและอีก 3 เดือนลดลงเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นผลของการให้สินเชื่อการค้าที่เพิ่มขึ้นรวมทั้งได้รับสินเชื่อ
จากสถาบันการเงินน้อยลง ขณะที่ผู้ประกอบการร้อยละ 64.7 กังวลกับค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการอ่อนค่าลงของ
เงินดอลลาร์ สรอ. (โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้, ไทยรัฐ)
2. พรบ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่จะทำให้ระบบสถาบันการเงินของไทยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ
สายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า ในร่าง พรบ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.....ฉบับที่ผ่านการพิจารณาจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
เรียบร้อยแล้ว จะช่วยปรับปรุงระบบสถาบันการเงินของไทยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวให้อำนาจ ธปท. ในการกำกับดูแล
สถาบันการเงินได้เข้มงวดขึ้น ซึ่งประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือ เรื่องการแต่งตั้งผู้บริหารของสถาบันการเงินที่จะต้องได้รับอนุญาตจาก ธปท. ก่อนเท่านั้น
โดยกฎหมายได้กำหนดคุณสมบัติของบุคคลที่จะเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารธนาคารไว้อย่างละเอียด และ ธปท. จะเป็นผู้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่จะ
รับตำแหน่งทุกคนก่อนที่จะมีการแต่งตั้ง ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยป้องกันปัญหาตั้งแต่ต้นก่อนที่ผู้บริหารที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับเงินฝาก
ของประชาชนจนอาจก่อให้เกิดความเสียหายตามมาได้ ทั้งนี้ ข้อบังคับดังกล่าวเป็นสิ่งที่ประเทศทั่วโลกใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น สรอ. เยอรมนี
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อิตาลี ฮ่องกง สิงคโปร์ และมาเลเซีย อย่างไรก็ตาม สังคมอาจจะเป็นห่วงว่า ธปท. จะเข้าไปแทรกแซงการทำงาน
ของสถาบันการเงินมากเกินไป แต่ ธปท. ยืนยันว่าการพิจารณาคุณสมบัติจะต้องเป็นไปตามตัวกฎหมาย หากไม่เห็นชอบบุคคลใด ธปท. จะต้อง
อธิบายและชี้แจงเหตุผลที่ชัดเจน และการทำงานของ ธปท. จะไม่ขัดขวางสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่นแน่นอน นอกจากนี้ หากผู้ที่ไม่ได้รับความเห็นชอบ
ให้เป็นผู้บริหารสถาบันการเงินเห็นว่า ธปท. ดำเนินการไม่ถูกต้องและเกินเลยไปก็สามารถฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้ (มติชน, กรุงเทพธุรกิจ)
3. รัฐบาลควรใช้นโยบายการคลังแก้ปัญหาเศรษฐกิจ นายกิตติ ลิ่มสกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจของไทยภายหลังการเลือกตั้งยังมีความเปราะบาง ทำให้มีความยากลำบากในการบริหารเศรษฐกิจ โดยปัจจัยที่ต้อง
ดูแลเป็นพิเศษ ได้แก่ ราคาน้ำมัน ภาวะเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งปัจจัยด้านปัญหาสินเชื่อคุณภาพต่ำของ สรอ. ที่มีปัญหาค่อนข้างมาก
และส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนของไทย รัฐบาลจึงควรใช้นโยบายทางการคลังในการนำมาแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ เช่น นโยบายด้าน
ภาษีอากร การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อนำมาใช้จ่ายโครงการของภาครัฐ เพื่อกระตุ้นให้ภาคเอกชนมีการลงทุนตาม รวมถึงการใช้นโยบาย
ในการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจและภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีได้ ด้าน นายธนวรรธน์ พลวิชัย
คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า จากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยในปี 51
ทำให้ งปม.การใช้จ่ายจากภาครัฐกลายเป็นกลไกสำคัญในการช่วยพยุงหรือกระตุ้นเศรษฐกิจให้สามารถฟื้นตัวได้ โดยสถานการณ์ทางการเมือง
เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจไทย ซึ่งคาดว่าในช่วงครึ่งปีแรกเศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัวมากนัก เพราะนักลงทุนยังคง
รอดูนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ และหากในครึ่งปีหลังไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 4.5 — 5.0 แต่หากได้รัฐบาล
ที่มีเสถียรภาพและสามารถผลักดันนโยบายทางเศรษฐกิจให้เป็นที่ยอมรับ คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้มากกว่าร้อยละ 5 (โลกวันนี้)
4. ก.คลังยืนยันคงภาษีมูลค่าไว้ที่ร้อยละ 7 ถึงสิ้นเดือน ก.ย.51 นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง
สนง.เศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า คณะทำงานปรับปรุงโครงสร้างภาษีได้ดำเนินการจัดทำแผนการปรับปรุงโครงสร้างภาษีทั้งระบบเสร็จสิ้นแล้ว
และได้เตรียมเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่เป็นผู้พิจารณาว่าจะประกาศใช้ตามที่เสนอหรือไม่ ซึ่งการปรับปรุงโครงสร้างภาษีดังกล่าวจะช่วยเพิ่มฐานรายได้
ในการจัดเก็บภาษีเพื่อรองรับนโยบายของรัฐบาลในอนาคต โดย ก.คลังจะยังคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ร้อยละ 7 เช่นเดิมตามมติ ครม. ที่ให้
คงไว้จนถึงสิ้นปี งปม. 51 หรือสิ้นเดือน ก.ย.51 ทั้งนี้ ก.คลังได้จัดเตรียมตัวเลขประมาณการรายจ่ายของรัฐบาลในอีก 10 ปีข้างหน้าให้กับ
รัฐบาลชุดใหม่แล้ว โดยรายจ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 2.8 ล้านล้านบาท ไม่รวมถึง งปม. ที่ใช้สำหรับโครงการประชานิยม เนื่องจากในอีก
10 ข้างหน้าภาระค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุขและการศึกษาของประชาชนจะอยู่ในระดับสูงมาก ซึ่งหากรัฐบาลชุดใหม่ยังไม่ปรับโครงสร้างภาษี
ทั้งระบบจะส่งผลให้ฐานรายได้ของรัฐบาลจะต่ำกว่ารายจ่ายเป็นระยะเวลาอีกหลายปี จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องดำเนินการปรับปรุง
โครงสร้างภาษีและควรจะทำทั้งระบบไม่ควรแก้เป็นจุด ๆ ซึ่งจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้และที่สำคัญต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบเพื่อ
เตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ด้วย (ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดค้าปลีกของ Euro zone ในเดือน พ.ย.50 ลดลงร้อยละ 0.5 ต่อเดือนรายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ 8 ม.ค.51
Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานยอดค้าปลีกของ Euro zone ในเดือน พ.ย.50 ลดลงร้อยละ 0.5 ต่อเดือนและลดลง
ร้อยละ 1.4 ต่อปี ผิดจากที่ผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เทียบต่อเดือนและต่อปี
สอดคล้องกับผลสำรวจสำหรับเดือน พ.ย.50 โดยคณะกรรมาธิการสภายุโรปเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่แสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจและ
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงอันเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อกลับสูงขึ้น โดยในเดือน ธ.ค.50 ที่ผ่านมา
อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 3.1 ต่อปีสูงกว่าเป้าหมายที่ ธ.กลางยุโรปหรือ ECB ต้องการให้อยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปี นักวิเคราะห์
จึงคาดว่า ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.0 ต่อปีในการประชุมที่จะมีขึ้นในวันที่ 10 ม.ค.51 นี้ (รอยเตอร์)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของอังกฤษในเดือน ธ.ค.50 ลดลงอยู่ในระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือน ก.พ.50 ที่ระดับ 85 รายงานจาก
ลอนดอน เมื่อ 9 ม.ค.51 The Nationwide building society เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของอังกฤษในรอบ 3 เดือนสิ้นสุด
เดือน ธ.ค.50 ลดลงอยู่ที่ระดับ 85 นับเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือน ก.พ.50 ทั้งนี้ ดัชนีดังกล่าวเริ่มลดลงอย่างมากตั้งแต่เดือน ก.ย.50 เนื่องจาก
ปัญหาความล้มเหลวการบริหารงานของ บ. Northern Rock ซึ่งเป็นผู้ให้กู้จำนองรายใหญ่ และความเชื่อมั่นในตลาดที่อยู่อาศัยชะลอลงอย่างมาก
ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงถึง 12 จุดในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา นับเป็นการลดลงมากที่สุดตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจมาเมื่อเดือน พ.ค.47
นอกจากนี้ The Nationwide กล่าวเพิ่มเติมว่า ความไม่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และราคาอาหารและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องในปัจจุบัน
ก็ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ยังคงคาดการณ์ว่า ธ.กลางอังกฤษจะคงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม
ในการประชุมในสัปดาห์นี้ หลังจากที่ปรับลดลงร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 5.5 ในเดือน ธ.ค.50 ที่ผ่านมา อนึ่ง สำหรับ Present
Situation Index เดือน ธ.ค.50 แม้จะลดลงถึง 3 จุดอยู่ที่ระดับ 88 (นับเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือน มี.ค.50) แต่ดัชนีการจับจ่ายใช้สอย
(Spending Index) กลับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 68 จากระดับ 63 ในเดือนก่อนหน้า ส่วนดัชนีความคาดหวัง (Expectations Index) อยู่ที่ระดับ
เดิมไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน (รอยเตอร์)
3. คาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 5.0 เป็นเดือนที่ 5 รายงานจากโซล เกาหลีใต้ เมื่อ
วันที่ 8 ม.ค. 51 ผลการสำรวจนักวิเคราะห์ 12 คนโดยรอยเตอร์ ทั้งหมดคาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับ
เดิมที่ร้อยละ 5.0 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ในการประชุมในวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นถึงระดับเป้าหมายของ ธ.กลางแล้ว
ก็ตามเนื่องจากแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในประเทศมีความไม่แน่นอน ทั้งนี้นักวิเคราะห์ 9 คนเห็นว่าในระยะ 6 เดือนข้างหน้า ธ.กลางจะยังคง
ไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย ขณะที่อีก 2 คนคาดว่าจะปรับเพิ่มในไตรมาสแรกปีนี้เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ซึ่ง Seo Chul-su
นักวิเคราะห์จาก Daewoo Securities กล่าวว่าถึงแม้เศรษฐกิจเกาหลีใต้จะยังคงมีความเสี่ยงมากประกอบกับอัตราเงินเฟ้อสูงถึงระดับ
เป้าหมายเงินเฟ้อของทางการแล้วก็ตาม แต่ยังคงไม่เหมาะที่จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายทันทีในขณะนี้ อย่างไรก็ตามผลการสำรวจ
ดังกล่าวสอดคล้องกับผลการสำรวจของสมาคมผู้ค้าหลักทรัพย์ของเกาหลีใต้ที่บ่งชี้ว่าร้อยละ 98.5 ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดว่าธ.กลางจะคง
อัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับเดิมในการประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์นี้ ส่วนที่เหลือคาดว่าธ.กลางจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ตัวเลข
เงินเฟ้อของเดือน ธ.ค. ทำสถิติสูงสุดในรอบ 3 ปีที่ร้อยละ 3. 6 เกินกว่าที่ทางการตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะรักษาระดับอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ระหว่าง
ร้อยละ 2.5 — 3.5 ในระหว่างปี 50 — 52 อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ร้อยละ 2.5 (รอยเตอร์)
4. ผลผลิตอุตสาหกรรมของมาเลเซียในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นต่ำสุดในรอบ 3 เดือนที่ร้อยละ 2.7 เทียบต่อปี รายงานจาก
กัวลาลัมเปอร์ เมื่อ 8 ม.ค.51 รัฐบาลมาเลเซีย เปิดเผยว่า ผลผลิตอุตสาหกรรมของมาเลเซีย (ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดผลผลิตโรงงาน เหมืองแร่
และไฟฟ้า) ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เทียบต่อปี สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.0 แต่เป็นอัตรา
การเพิ่มขึ้นต่ำที่สุดในรอบ 3 เดือน (ตั้งแต่เดือน ส.ค.50 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1) ขณะที่เมื่อเทียบต่อเดือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 ทั้งนี้ สาเหตุ
ที่ผลผลิตอุตสาหกรรมของมาเลเซียเพิ่มขึ้นในระดับต่ำ เนื่องจากความต้องการสินค้าหมวดอุตสาหกรรมโรงงาน (ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 2 ใน 3
ของผลผลิตอุตสาหกรรมโดยรวม) ชะลอลง โดยเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.4 เทียบต่อปี น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเดือน ต.ค.50 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 9 ม.ค. 51 8 ม.ค. 51 27 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.302 33.826 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.0961/33.4300 33.6191/33.9489 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.33766 3.35781 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 811.69/15.66 852.06/12.50 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,750/13,850 13,450/13,550 13,050/13,150 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 89.80 91.72 87.43 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 33.69*/29.74** 33.69*/29.74** 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 8 ม.ค. 51
**ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 3 ม.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ธปท. รายงานผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ 3 เดือน
(ธ.ค.50 — ก.พ.51) พบว่า นักธุรกิจส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นทางธุรกิจมากขึ้น โดยในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้มีแนวโน้มความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น
ต่อเนื่องจากปลายปีก่อนจากที่มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.50 โดยภาคธุรกิจการเงินและธุรกิจก่อสร้างเป็นภาคที่ดัชนีความเชื่อมั่น
เพิ่มขึ้นสูงสุด ส่วนภาคอุตสาหกรรมดัชนียังทรงตัวอยู่ สะท้อนภาวะผู้ประกอบการทั้ง 3 สาขาอุตสาหกรรมดังกล่าวมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้ม
เศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่หลายภาคดัชนีลดลง เช่น ภาคสาธารณูปโภค ภาคการค้า ภาคขนส่งและคลังสินค้า และภาคบริการ เนื่องจาก
ผู้ประกอบการยังไม่มั่นใจกับภาวะเศรษฐกิจและการเมือง แม้ว่าจะมีการเลือกไปแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังมองว่าต้นทุนการผลิต
ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นข้อจำกัดอันดับแรกของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการมองว่าแรงกดดันด้านต้นทุนของ
สินค้าและบริการในช่วง 12 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นจากเฉลี่ยร้อยละ 4.1 ในช่วงก่อนหน้าเป็นเฉลี่ยร้อยละ 4.4 ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นที่
เพิ่มขึ้นมาจากแนวโน้มการจ้างงานและการปรับอัตราค่าจ้างที่ดีขึ้น เนื่องจากพบว่าจำนวนชั่วโมงทำงานล่วงเวลาต่อวันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสอดคล้อง
กับการผลิตและระดับการจ้างงานที่ปรับเพิ่มขึ้น สำหรับการปรับอัตราค่าจ้างในปี 51 มีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้น สะท้อนคำสั่งซื้อที่มีมากขึ้นและ
ภาวะตลาดแรงงานที่ตึงตัว ขณะที่ในด้านการเงินและสภาพคล่องของภาคธุรกิจพบว่าภาระดอกเบี้ยและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในอีก
3 เดือนข้างหน้าจะเพิ่มขึ้น มีผู้ประกอบการร้อยละ 18.9 ที่เห็นว่าภาระการผ่อนส่งดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 16.3 ในช่วงก่อนหน้า
สภาพคล่องของผู้ประกอบการทั้งในปัจจุบันและอีก 3 เดือนลดลงเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นผลของการให้สินเชื่อการค้าที่เพิ่มขึ้นรวมทั้งได้รับสินเชื่อ
จากสถาบันการเงินน้อยลง ขณะที่ผู้ประกอบการร้อยละ 64.7 กังวลกับค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการอ่อนค่าลงของ
เงินดอลลาร์ สรอ. (โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้, ไทยรัฐ)
2. พรบ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่จะทำให้ระบบสถาบันการเงินของไทยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ
สายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า ในร่าง พรบ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.....ฉบับที่ผ่านการพิจารณาจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
เรียบร้อยแล้ว จะช่วยปรับปรุงระบบสถาบันการเงินของไทยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวให้อำนาจ ธปท. ในการกำกับดูแล
สถาบันการเงินได้เข้มงวดขึ้น ซึ่งประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือ เรื่องการแต่งตั้งผู้บริหารของสถาบันการเงินที่จะต้องได้รับอนุญาตจาก ธปท. ก่อนเท่านั้น
โดยกฎหมายได้กำหนดคุณสมบัติของบุคคลที่จะเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารธนาคารไว้อย่างละเอียด และ ธปท. จะเป็นผู้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่จะ
รับตำแหน่งทุกคนก่อนที่จะมีการแต่งตั้ง ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยป้องกันปัญหาตั้งแต่ต้นก่อนที่ผู้บริหารที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับเงินฝาก
ของประชาชนจนอาจก่อให้เกิดความเสียหายตามมาได้ ทั้งนี้ ข้อบังคับดังกล่าวเป็นสิ่งที่ประเทศทั่วโลกใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น สรอ. เยอรมนี
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อิตาลี ฮ่องกง สิงคโปร์ และมาเลเซีย อย่างไรก็ตาม สังคมอาจจะเป็นห่วงว่า ธปท. จะเข้าไปแทรกแซงการทำงาน
ของสถาบันการเงินมากเกินไป แต่ ธปท. ยืนยันว่าการพิจารณาคุณสมบัติจะต้องเป็นไปตามตัวกฎหมาย หากไม่เห็นชอบบุคคลใด ธปท. จะต้อง
อธิบายและชี้แจงเหตุผลที่ชัดเจน และการทำงานของ ธปท. จะไม่ขัดขวางสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่นแน่นอน นอกจากนี้ หากผู้ที่ไม่ได้รับความเห็นชอบ
ให้เป็นผู้บริหารสถาบันการเงินเห็นว่า ธปท. ดำเนินการไม่ถูกต้องและเกินเลยไปก็สามารถฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้ (มติชน, กรุงเทพธุรกิจ)
3. รัฐบาลควรใช้นโยบายการคลังแก้ปัญหาเศรษฐกิจ นายกิตติ ลิ่มสกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจของไทยภายหลังการเลือกตั้งยังมีความเปราะบาง ทำให้มีความยากลำบากในการบริหารเศรษฐกิจ โดยปัจจัยที่ต้อง
ดูแลเป็นพิเศษ ได้แก่ ราคาน้ำมัน ภาวะเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งปัจจัยด้านปัญหาสินเชื่อคุณภาพต่ำของ สรอ. ที่มีปัญหาค่อนข้างมาก
และส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนของไทย รัฐบาลจึงควรใช้นโยบายทางการคลังในการนำมาแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ เช่น นโยบายด้าน
ภาษีอากร การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อนำมาใช้จ่ายโครงการของภาครัฐ เพื่อกระตุ้นให้ภาคเอกชนมีการลงทุนตาม รวมถึงการใช้นโยบาย
ในการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจและภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีได้ ด้าน นายธนวรรธน์ พลวิชัย
คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า จากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยในปี 51
ทำให้ งปม.การใช้จ่ายจากภาครัฐกลายเป็นกลไกสำคัญในการช่วยพยุงหรือกระตุ้นเศรษฐกิจให้สามารถฟื้นตัวได้ โดยสถานการณ์ทางการเมือง
เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจไทย ซึ่งคาดว่าในช่วงครึ่งปีแรกเศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัวมากนัก เพราะนักลงทุนยังคง
รอดูนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ และหากในครึ่งปีหลังไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 4.5 — 5.0 แต่หากได้รัฐบาล
ที่มีเสถียรภาพและสามารถผลักดันนโยบายทางเศรษฐกิจให้เป็นที่ยอมรับ คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้มากกว่าร้อยละ 5 (โลกวันนี้)
4. ก.คลังยืนยันคงภาษีมูลค่าไว้ที่ร้อยละ 7 ถึงสิ้นเดือน ก.ย.51 นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง
สนง.เศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า คณะทำงานปรับปรุงโครงสร้างภาษีได้ดำเนินการจัดทำแผนการปรับปรุงโครงสร้างภาษีทั้งระบบเสร็จสิ้นแล้ว
และได้เตรียมเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่เป็นผู้พิจารณาว่าจะประกาศใช้ตามที่เสนอหรือไม่ ซึ่งการปรับปรุงโครงสร้างภาษีดังกล่าวจะช่วยเพิ่มฐานรายได้
ในการจัดเก็บภาษีเพื่อรองรับนโยบายของรัฐบาลในอนาคต โดย ก.คลังจะยังคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ร้อยละ 7 เช่นเดิมตามมติ ครม. ที่ให้
คงไว้จนถึงสิ้นปี งปม. 51 หรือสิ้นเดือน ก.ย.51 ทั้งนี้ ก.คลังได้จัดเตรียมตัวเลขประมาณการรายจ่ายของรัฐบาลในอีก 10 ปีข้างหน้าให้กับ
รัฐบาลชุดใหม่แล้ว โดยรายจ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 2.8 ล้านล้านบาท ไม่รวมถึง งปม. ที่ใช้สำหรับโครงการประชานิยม เนื่องจากในอีก
10 ข้างหน้าภาระค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุขและการศึกษาของประชาชนจะอยู่ในระดับสูงมาก ซึ่งหากรัฐบาลชุดใหม่ยังไม่ปรับโครงสร้างภาษี
ทั้งระบบจะส่งผลให้ฐานรายได้ของรัฐบาลจะต่ำกว่ารายจ่ายเป็นระยะเวลาอีกหลายปี จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องดำเนินการปรับปรุง
โครงสร้างภาษีและควรจะทำทั้งระบบไม่ควรแก้เป็นจุด ๆ ซึ่งจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้และที่สำคัญต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบเพื่อ
เตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ด้วย (ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดค้าปลีกของ Euro zone ในเดือน พ.ย.50 ลดลงร้อยละ 0.5 ต่อเดือนรายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ 8 ม.ค.51
Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานยอดค้าปลีกของ Euro zone ในเดือน พ.ย.50 ลดลงร้อยละ 0.5 ต่อเดือนและลดลง
ร้อยละ 1.4 ต่อปี ผิดจากที่ผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เทียบต่อเดือนและต่อปี
สอดคล้องกับผลสำรวจสำหรับเดือน พ.ย.50 โดยคณะกรรมาธิการสภายุโรปเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่แสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจและ
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงอันเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อกลับสูงขึ้น โดยในเดือน ธ.ค.50 ที่ผ่านมา
อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 3.1 ต่อปีสูงกว่าเป้าหมายที่ ธ.กลางยุโรปหรือ ECB ต้องการให้อยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปี นักวิเคราะห์
จึงคาดว่า ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.0 ต่อปีในการประชุมที่จะมีขึ้นในวันที่ 10 ม.ค.51 นี้ (รอยเตอร์)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของอังกฤษในเดือน ธ.ค.50 ลดลงอยู่ในระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือน ก.พ.50 ที่ระดับ 85 รายงานจาก
ลอนดอน เมื่อ 9 ม.ค.51 The Nationwide building society เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของอังกฤษในรอบ 3 เดือนสิ้นสุด
เดือน ธ.ค.50 ลดลงอยู่ที่ระดับ 85 นับเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือน ก.พ.50 ทั้งนี้ ดัชนีดังกล่าวเริ่มลดลงอย่างมากตั้งแต่เดือน ก.ย.50 เนื่องจาก
ปัญหาความล้มเหลวการบริหารงานของ บ. Northern Rock ซึ่งเป็นผู้ให้กู้จำนองรายใหญ่ และความเชื่อมั่นในตลาดที่อยู่อาศัยชะลอลงอย่างมาก
ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงถึง 12 จุดในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา นับเป็นการลดลงมากที่สุดตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจมาเมื่อเดือน พ.ค.47
นอกจากนี้ The Nationwide กล่าวเพิ่มเติมว่า ความไม่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และราคาอาหารและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องในปัจจุบัน
ก็ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ยังคงคาดการณ์ว่า ธ.กลางอังกฤษจะคงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม
ในการประชุมในสัปดาห์นี้ หลังจากที่ปรับลดลงร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 5.5 ในเดือน ธ.ค.50 ที่ผ่านมา อนึ่ง สำหรับ Present
Situation Index เดือน ธ.ค.50 แม้จะลดลงถึง 3 จุดอยู่ที่ระดับ 88 (นับเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือน มี.ค.50) แต่ดัชนีการจับจ่ายใช้สอย
(Spending Index) กลับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 68 จากระดับ 63 ในเดือนก่อนหน้า ส่วนดัชนีความคาดหวัง (Expectations Index) อยู่ที่ระดับ
เดิมไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน (รอยเตอร์)
3. คาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 5.0 เป็นเดือนที่ 5 รายงานจากโซล เกาหลีใต้ เมื่อ
วันที่ 8 ม.ค. 51 ผลการสำรวจนักวิเคราะห์ 12 คนโดยรอยเตอร์ ทั้งหมดคาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับ
เดิมที่ร้อยละ 5.0 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ในการประชุมในวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นถึงระดับเป้าหมายของ ธ.กลางแล้ว
ก็ตามเนื่องจากแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในประเทศมีความไม่แน่นอน ทั้งนี้นักวิเคราะห์ 9 คนเห็นว่าในระยะ 6 เดือนข้างหน้า ธ.กลางจะยังคง
ไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย ขณะที่อีก 2 คนคาดว่าจะปรับเพิ่มในไตรมาสแรกปีนี้เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ซึ่ง Seo Chul-su
นักวิเคราะห์จาก Daewoo Securities กล่าวว่าถึงแม้เศรษฐกิจเกาหลีใต้จะยังคงมีความเสี่ยงมากประกอบกับอัตราเงินเฟ้อสูงถึงระดับ
เป้าหมายเงินเฟ้อของทางการแล้วก็ตาม แต่ยังคงไม่เหมาะที่จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายทันทีในขณะนี้ อย่างไรก็ตามผลการสำรวจ
ดังกล่าวสอดคล้องกับผลการสำรวจของสมาคมผู้ค้าหลักทรัพย์ของเกาหลีใต้ที่บ่งชี้ว่าร้อยละ 98.5 ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดว่าธ.กลางจะคง
อัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับเดิมในการประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์นี้ ส่วนที่เหลือคาดว่าธ.กลางจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ตัวเลข
เงินเฟ้อของเดือน ธ.ค. ทำสถิติสูงสุดในรอบ 3 ปีที่ร้อยละ 3. 6 เกินกว่าที่ทางการตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะรักษาระดับอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ระหว่าง
ร้อยละ 2.5 — 3.5 ในระหว่างปี 50 — 52 อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ร้อยละ 2.5 (รอยเตอร์)
4. ผลผลิตอุตสาหกรรมของมาเลเซียในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นต่ำสุดในรอบ 3 เดือนที่ร้อยละ 2.7 เทียบต่อปี รายงานจาก
กัวลาลัมเปอร์ เมื่อ 8 ม.ค.51 รัฐบาลมาเลเซีย เปิดเผยว่า ผลผลิตอุตสาหกรรมของมาเลเซีย (ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดผลผลิตโรงงาน เหมืองแร่
และไฟฟ้า) ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เทียบต่อปี สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.0 แต่เป็นอัตรา
การเพิ่มขึ้นต่ำที่สุดในรอบ 3 เดือน (ตั้งแต่เดือน ส.ค.50 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1) ขณะที่เมื่อเทียบต่อเดือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 ทั้งนี้ สาเหตุ
ที่ผลผลิตอุตสาหกรรมของมาเลเซียเพิ่มขึ้นในระดับต่ำ เนื่องจากความต้องการสินค้าหมวดอุตสาหกรรมโรงงาน (ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 2 ใน 3
ของผลผลิตอุตสาหกรรมโดยรวม) ชะลอลง โดยเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.4 เทียบต่อปี น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเดือน ต.ค.50 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 9 ม.ค. 51 8 ม.ค. 51 27 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.302 33.826 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.0961/33.4300 33.6191/33.9489 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.33766 3.35781 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 811.69/15.66 852.06/12.50 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,750/13,850 13,450/13,550 13,050/13,150 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 89.80 91.72 87.43 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 33.69*/29.74** 33.69*/29.74** 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 8 ม.ค. 51
**ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 3 ม.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--