ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. พรบ.ธปท. ฉบับใหม่กำหนดบทลงโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิตหากนำข้อมูลความลับไปหาประโยชน์ นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี
ผอส.ฝ่ายกฎหมายและคดี ธปท. กล่าวว่า ธปท. กำลังรอการประกาศใช้ พรบ.ธปท. ฉบับใหม่ เพราะกฎหมายฉบับนี้จะทำให้การดำเนินงานของ
ธปท. เปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะการป้องกันการมีส่วนได้เสียด้วยการกำหนดบทลงโทษถึงจำคุก หากกรรมการ ผู้ว่าการ พนักงาน ลูกจ้าง ธปท.
นำข้อมูลความลับที่พึงสงวนไปหาประโยชน์ หรือมีส่วนได้เสีย เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นการเบียดบังทรัพย์สินโดยทุจริต ใช้อำนาจหน้า
ที่บังคับจูงใจบุคคลอื่นให้สินทรัพย์หรือประโยชน์ เรียกรับทรัพย์หรือประโยชน์ เพื่อทำหรือไม่ทำหน้าที่โดยทุจริตทำให้ ธปท. เสียหาย ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกิน 5 — 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือปรับ 5 แสน — 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขณะที่ พรบ. ฉบับปัจจุบันไม่ได้กำหนดโทษ
ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลหรือการทำงานของ ธปท. นอกจากนี้ หากมีการนำข้อมูลกิจการที่ตามปกติวิสัยพึงสงวนไว้ไม่เปิดเผย กิจการ
ที่คณะกรรมการ ธปท. (กกธ.) คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คณะกรรมการสถาบันการเงิน (กนส.) และคณะกรรมการระบบ
ชำระเงิน (กรช.) มีมติให้สงวนไว้ไม่เปิดเผย หรือนำความลับไปเปิดเผยต่อบุคคลภายนอกก็จะระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน
5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ยกเว้นให้เปิดเผยได้ นอกจากบทลงโทษแล้ว พรบ.ธปท. ฉบับใหม่ยังมีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในเรื่อง
การจัดตั้งคณะกรรมการ ธปท. ใหม่ จากเดิม 10 คน เป็น 12 คน ส่วน กนง. ชุดใหม่จะต้องแต่งตั้งเป็น 7 คน สำหรับการถอดถอนหรือ
ปลดผู้ว่าการนั้น ครม. ต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรว่าประพฤติเสื่อมเสียอย่างร้ายแรง ทุจริตต่อหน้าที่ หรือบกพร่องในหน้าที่อย่างไร
จะปลดโดยอ้างว่าไม่สนองนโยบายหรือทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายไม่ได้ (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
2. ธปท. ไม่จำเป็นต้องคืนเงินคดีที่ดินรัชดาฯ เนื่องจากเป็นความผิดทางอาญา นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี ผอส.ฝ่ายกฎหมาย
และคดี ธปท. กล่าวว่า ธปท. ไม่กังวลเกี่ยวกับคดีที่ ธปท. ร้องทุกข์กล่าวโทษคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ในกรณีทุจริตการซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก
จากกองทุนฟื้นฟูฯ จำนวน 33 ไร่ ในราคา 772 ล้านบาท เนื่องจาก ธปท. ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ คตส. และได้ให้ข้อมูลข้อเท็จจริงไปหมดแล้ว
ถือว่าทำหน้าที่จบแล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ธปท. คงไม่จำเป็นต้องคืนเงินที่รับมา 772 ล้านบาท เนื่องจากเป็นความผิดทางอาญา ซึ่ง
ธปท. ก็ไม่มีอะไรจะชี้แจงเพิ่มแล้ว ต้องปล่อยเป็นกระบวนการของศาลอย่างเดียว (โพสต์ทูเดย์)
3. ยอดขอบีโอไอปี 50 มีมูลค่ารวมกว่า 6.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 32 นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการ
ส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงภาพรวมการลงทุนในปี 50 ที่มองว่าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ แต่ปรากฏ
ว่ามีนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน 1,318 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 655,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 32
หรือประมาณ 494,200 ล้านบาท สำหรับอุตสาหกรรมที่ยื่นขอรับการส่งเสริมมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค 341 โครงการ
มูลค่า 172,700 ล้านบาท รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วน และเครื่องจักร 273 โครงการ มูลค่า 171,200 ล้านบาท ขณะที่
การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศมี 846 โครงการ มูลค่า 502,737 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 63 ส่วนอุตสาหกรรมที่นักลงทุนต่างชาติขอ
รับส่งเสริมมากที่สุดคือ ยานยนต์ ชิ้นส่วนและเครื่องจักร รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรม
อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยประเทศที่ลงทุนมากที่สุดยังคงเป็นญี่ปุ่น 330 โครงการ มูลค่า 149,071 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34
สหภาพยุโรป 74,145 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 142 ขณะที่ประเทศที่มีมูลค่าเงินลงทุนขยายตัวมาก ได้แก่ เยอรมนี 37,080 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
ถึง 2,800% เกาหลีใต้ 11,568 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 121 และจีน 17,175 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 สำหรับการลงทุนในปี 51
คาดว่าจะยังมีการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวเนื่องหรือเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมยานยนต์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณแสดงความเชื่อมั่นเกี่ยวกับ
การลงทุนจากกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่เตรียมขยายพื้นที่นิคม เพื่อรองรับการลงทุนกลุ่มใหม่ ๆ ถึง 9 โครงการ มูลค่าประมาณ 8 พันล้านบาท
(โลกวันนี้, มติชน)
4. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค.50 ปรับตัวดีขึ้น นางเสาวนีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย ม.หอการค้าไทย
เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค.50 ซึ่งเป็นการสำรวจหลังการเลือกตั้ง ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่
70.4 เพิ่มขึ้นจาก 69.3 ในเดือน พ.ย.50 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานอยู่ที่ 71.0 เพิ่มขึ้นจาก 70.3 และดัชนีความเชื่อมั่น
เกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 90.4 เพิ่มขึ้นจาก 89.1 ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับขึ้นมาอยู่ที่ 77.3 จาก 76.2 สำหรับปัจจัยบวก
ที่ผลต่อดัชนี ได้แก่ การเลือกตั้งที่ผ่านพ้นไปด้วยดี สนง.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปรับตัวเลขจีดีพีปี 50 เป็นร้อยละ 4.5
และคาดว่าปี 51 จะเติบโตร้อยละ 4.5 — 5.0 รวมถึง กนง. มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 3.25 ขณะที่ตัวเลขการส่งออกเดือน พ.ย.
ขยายตัวร้อยละ 24.5 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วยมูลค่า 14,611 ล้านดอลลาร์ สรอ. รวมถึงราคาน้ำมันช่วงเดือน ธ.ค. เปลี่ยนแปลงไม่มากนัก
ส่วนปัจจัยลบที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค ได้แก่ การแข็งค่าของเงินบาท ราคาน้ำมัน ที่ยังคงเป็นปัจจัยส่งผลให้ผู้บริโภควิตกกังวลต่อปัญหา
ค่าครองชีพและราคาสินค้า แต่หากดูแนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ในรอบ 14 เดือนที่ผ่านมา (ไทยรัฐ, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. สินค้าคงคลังผู้ค้าส่งของ สรอ.ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 10 ม.ค.51 ก.พาณิชย์ สรอ.
เปิดเผยว่า สินค้าคงคลังผู้ค้าส่งของ สรอ.ในเดือน พ.ย.50เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ขณะที่ยอดขายสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้น
สูงสุดในรอบมากกว่า 2 ปี (ตั้งแต่เดือน ก.ย.48) เนื่องจากยอดขายน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 8.9 อันมีสาเหตุจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
สูงสุดตั้งแต่เดือน ก.ย.48 ที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นจากผลกระทบพายุเฮอร์ริเคนที่พัดถล่ม สรอ.ขณะที่ผลสำรวจของนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์คาดการณ์
ว่าสินค้าคงคลังผู้ค้าส่งจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.4 หลังจากที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ก.พาณิชย์ สรอ.ยังได้ทบทวนปรับตัวเลข
ยอดขายสินค้าคงคลังในเดือน ต.ค.50 จากที่รายงานเบื้องต้นว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 เป็นเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 1.4 อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณของ
ภาคธุรกิจบางอย่างที่บ่งชี้ว่า ขณะนี้ยังไม่มีการกักตุนสินค้าคงคลังเพิ่ม เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว สำหรับอัตราส่วนสินค้าคงคลังต่อยอดขาย
ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดจำนวนเดือนที่สามารถขายสินค้าคงคลังได้ ในเดือน พ.ย.50 อยู่ที่ระดับ 1.07 เดือน ลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่
ระดับ 1.08 เดือน อนึ่ง สำหรับสินค้าคงคลังขายส่งหมวดรถยนต์ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 2.3 นับเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่เดือน
เม.ย.48 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 (รอยเตอร์)
2. ธ.กลางยุโรปคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 4.0 ต่อไป รายงานจาก Frankfurt เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 51 ในการประชุม
นโยบายการเงิน ธ.กลางยุโรปเมื่อวานนี้ที่ประชุมมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 4.0 ต่อไปอีกหลังจากที่ผ่านมา ธ.กลางได้คงอัตราดอกเบี้ย
นโยบายอย่างต่อเนื่องมาเป็นเดือนที่ 7 เนื่องจากปัญหา sub-prime ใน สรอ. ประกอบกับเศรษฐกิจยุโรปกำลังชะลอตัว อย่างไรก็ตาม
ธ.กลางจำเป็นต้องป้องกันภาวะเงินเฟ้อหากมีความจำเป็น ซึ่งคณะกรรมาธิการได้กล่าวเตือนถึงความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ โดยอัตราเงินเฟ้อ
ในเดือน ธ.ค. อยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบกว่า 6 ปี เนื่องจากค่าจ้างในบางประเทศของยุโรป อาทิ เยอรมนีซึ่งมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป
เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามความยุ่งยากที่เกิดขึ้นในตลาดเงินเนื่องจากปัญหา sub-prime ใน สรอ. ยังคงมีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจในยุโรปด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจ สรอ. ชะลอตัวมากกว่าที่ได้มีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านั้น ซึ่งบรรดา ธ.กลางต่างๆ อาทิ สรอ. แคนาดา
และอังกฤษต่างก็ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโต (รอยเตอร์)
3. ธ.กลางอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.50 ต่อปี รายงานจากลอนดอนเมื่อ 10 ม.ค.51 ธ.กลางอังกฤษตัดสินใจ
คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.50 ต่อปีในการประชุมในวันที่ 10 ม.ค.51 หลังจากลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ต่อปีเมื่อเดือนก่อน
ไปตามที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดไว้ ในขณะที่ตลาดการเงินคาดว่าธ.กลางอังกฤษจะลดอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 เป็นเดือนที่สองติดต่อกัน
จากการชะลอตัวของตลาดบ้านและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 12 ปี แต่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า ธ.กลางอังกฤษ
ให้ความสำคัญต่ออัตราเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นจากราคาน้ำมันและราคาอาหาร ในขณะที่ค่าเงินปอนด์ก็ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
เมื่อเทียบกับเงินยูโรเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยลดลงเกือบร้อยละ 10 ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่สินค้านำเข้าโดยเฉพาะน้ำมัน
จะมีราคาสูงขึ้นอีก แต่อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์หลายคนคาดว่า ธ.กลางอังกฤษจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 6
และ 7 ก.พ.51 นี้ (รอยเตอร์)
4. เดือน พ.ย.50 อังกฤษขาดดุลการค้าจำนวน 7.34 พัน ล.ปอนด์ สาเหตุจากการนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้น รายงานจากลอนดอนเมื่อ
10 ม.ค.50 The Statistics Office เปิดเผยว่าเดือน พ.ย.50 อังกฤษขาดดุลการค้าจำนวน 7.34 พัน ล.ปอนด์ (14.36 พัน ล.ดอลลาร์
สรอ.) ใกล้เคียงกับจำนวน 7.35 พัน ล.ปอนด์ในเดือนก่อนหน้า สูงกว่าเล็กน้อยจากที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะขาดดุลการค้าจำนวน
7.23 พัน ล.ปอนด์ โดยเป็นการขาดดุลกับประเทศนอกกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) จำนวน 4.44 พัน ล.ปอนด์ สาเหตุหลักจากการนำเข้าน้ำมัน
ที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีนับตั้งแต่เดือน ก.ย.48 โดยเพิ่มขึ้นที่ระดับ 663 ล.ปอนด์ เช่นเดียวกับการนำเข้าสินค้าอื่นไม่รวมน้ำมันซึ่งเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ทั้งนี้ การนำเข้าที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะได้
รับจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ซึ่งได้อ่อนค่ามาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว และยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องตลอดมาจนถึงสัปดาห์นี้ โดย ณ วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
เงินปอนด์ได้อ่อนค่าลงอีก 75 เพนซ์ต่อยูโร (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 11 ม.ค. 51 10 ม.ค. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.178 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.9704/33.33074 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.32797 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 800.18/15.31 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,800/13,900 13,700/13,800 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 89.56 90.80 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 33.69*/29.74** 33.69*/29.74** 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 8 ม.ค. 51
**ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 3 ม.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. พรบ.ธปท. ฉบับใหม่กำหนดบทลงโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิตหากนำข้อมูลความลับไปหาประโยชน์ นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี
ผอส.ฝ่ายกฎหมายและคดี ธปท. กล่าวว่า ธปท. กำลังรอการประกาศใช้ พรบ.ธปท. ฉบับใหม่ เพราะกฎหมายฉบับนี้จะทำให้การดำเนินงานของ
ธปท. เปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะการป้องกันการมีส่วนได้เสียด้วยการกำหนดบทลงโทษถึงจำคุก หากกรรมการ ผู้ว่าการ พนักงาน ลูกจ้าง ธปท.
นำข้อมูลความลับที่พึงสงวนไปหาประโยชน์ หรือมีส่วนได้เสีย เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นการเบียดบังทรัพย์สินโดยทุจริต ใช้อำนาจหน้า
ที่บังคับจูงใจบุคคลอื่นให้สินทรัพย์หรือประโยชน์ เรียกรับทรัพย์หรือประโยชน์ เพื่อทำหรือไม่ทำหน้าที่โดยทุจริตทำให้ ธปท. เสียหาย ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกิน 5 — 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือปรับ 5 แสน — 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขณะที่ พรบ. ฉบับปัจจุบันไม่ได้กำหนดโทษ
ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลหรือการทำงานของ ธปท. นอกจากนี้ หากมีการนำข้อมูลกิจการที่ตามปกติวิสัยพึงสงวนไว้ไม่เปิดเผย กิจการ
ที่คณะกรรมการ ธปท. (กกธ.) คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คณะกรรมการสถาบันการเงิน (กนส.) และคณะกรรมการระบบ
ชำระเงิน (กรช.) มีมติให้สงวนไว้ไม่เปิดเผย หรือนำความลับไปเปิดเผยต่อบุคคลภายนอกก็จะระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน
5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ยกเว้นให้เปิดเผยได้ นอกจากบทลงโทษแล้ว พรบ.ธปท. ฉบับใหม่ยังมีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในเรื่อง
การจัดตั้งคณะกรรมการ ธปท. ใหม่ จากเดิม 10 คน เป็น 12 คน ส่วน กนง. ชุดใหม่จะต้องแต่งตั้งเป็น 7 คน สำหรับการถอดถอนหรือ
ปลดผู้ว่าการนั้น ครม. ต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรว่าประพฤติเสื่อมเสียอย่างร้ายแรง ทุจริตต่อหน้าที่ หรือบกพร่องในหน้าที่อย่างไร
จะปลดโดยอ้างว่าไม่สนองนโยบายหรือทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายไม่ได้ (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
2. ธปท. ไม่จำเป็นต้องคืนเงินคดีที่ดินรัชดาฯ เนื่องจากเป็นความผิดทางอาญา นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี ผอส.ฝ่ายกฎหมาย
และคดี ธปท. กล่าวว่า ธปท. ไม่กังวลเกี่ยวกับคดีที่ ธปท. ร้องทุกข์กล่าวโทษคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ในกรณีทุจริตการซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก
จากกองทุนฟื้นฟูฯ จำนวน 33 ไร่ ในราคา 772 ล้านบาท เนื่องจาก ธปท. ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ คตส. และได้ให้ข้อมูลข้อเท็จจริงไปหมดแล้ว
ถือว่าทำหน้าที่จบแล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ธปท. คงไม่จำเป็นต้องคืนเงินที่รับมา 772 ล้านบาท เนื่องจากเป็นความผิดทางอาญา ซึ่ง
ธปท. ก็ไม่มีอะไรจะชี้แจงเพิ่มแล้ว ต้องปล่อยเป็นกระบวนการของศาลอย่างเดียว (โพสต์ทูเดย์)
3. ยอดขอบีโอไอปี 50 มีมูลค่ารวมกว่า 6.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 32 นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการ
ส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงภาพรวมการลงทุนในปี 50 ที่มองว่าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ แต่ปรากฏ
ว่ามีนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน 1,318 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 655,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 32
หรือประมาณ 494,200 ล้านบาท สำหรับอุตสาหกรรมที่ยื่นขอรับการส่งเสริมมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค 341 โครงการ
มูลค่า 172,700 ล้านบาท รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วน และเครื่องจักร 273 โครงการ มูลค่า 171,200 ล้านบาท ขณะที่
การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศมี 846 โครงการ มูลค่า 502,737 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 63 ส่วนอุตสาหกรรมที่นักลงทุนต่างชาติขอ
รับส่งเสริมมากที่สุดคือ ยานยนต์ ชิ้นส่วนและเครื่องจักร รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรม
อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยประเทศที่ลงทุนมากที่สุดยังคงเป็นญี่ปุ่น 330 โครงการ มูลค่า 149,071 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34
สหภาพยุโรป 74,145 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 142 ขณะที่ประเทศที่มีมูลค่าเงินลงทุนขยายตัวมาก ได้แก่ เยอรมนี 37,080 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
ถึง 2,800% เกาหลีใต้ 11,568 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 121 และจีน 17,175 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 สำหรับการลงทุนในปี 51
คาดว่าจะยังมีการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวเนื่องหรือเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมยานยนต์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณแสดงความเชื่อมั่นเกี่ยวกับ
การลงทุนจากกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่เตรียมขยายพื้นที่นิคม เพื่อรองรับการลงทุนกลุ่มใหม่ ๆ ถึง 9 โครงการ มูลค่าประมาณ 8 พันล้านบาท
(โลกวันนี้, มติชน)
4. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค.50 ปรับตัวดีขึ้น นางเสาวนีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย ม.หอการค้าไทย
เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค.50 ซึ่งเป็นการสำรวจหลังการเลือกตั้ง ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่
70.4 เพิ่มขึ้นจาก 69.3 ในเดือน พ.ย.50 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานอยู่ที่ 71.0 เพิ่มขึ้นจาก 70.3 และดัชนีความเชื่อมั่น
เกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 90.4 เพิ่มขึ้นจาก 89.1 ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับขึ้นมาอยู่ที่ 77.3 จาก 76.2 สำหรับปัจจัยบวก
ที่ผลต่อดัชนี ได้แก่ การเลือกตั้งที่ผ่านพ้นไปด้วยดี สนง.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปรับตัวเลขจีดีพีปี 50 เป็นร้อยละ 4.5
และคาดว่าปี 51 จะเติบโตร้อยละ 4.5 — 5.0 รวมถึง กนง. มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 3.25 ขณะที่ตัวเลขการส่งออกเดือน พ.ย.
ขยายตัวร้อยละ 24.5 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วยมูลค่า 14,611 ล้านดอลลาร์ สรอ. รวมถึงราคาน้ำมันช่วงเดือน ธ.ค. เปลี่ยนแปลงไม่มากนัก
ส่วนปัจจัยลบที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค ได้แก่ การแข็งค่าของเงินบาท ราคาน้ำมัน ที่ยังคงเป็นปัจจัยส่งผลให้ผู้บริโภควิตกกังวลต่อปัญหา
ค่าครองชีพและราคาสินค้า แต่หากดูแนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ในรอบ 14 เดือนที่ผ่านมา (ไทยรัฐ, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. สินค้าคงคลังผู้ค้าส่งของ สรอ.ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 10 ม.ค.51 ก.พาณิชย์ สรอ.
เปิดเผยว่า สินค้าคงคลังผู้ค้าส่งของ สรอ.ในเดือน พ.ย.50เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ขณะที่ยอดขายสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้น
สูงสุดในรอบมากกว่า 2 ปี (ตั้งแต่เดือน ก.ย.48) เนื่องจากยอดขายน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 8.9 อันมีสาเหตุจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
สูงสุดตั้งแต่เดือน ก.ย.48 ที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นจากผลกระทบพายุเฮอร์ริเคนที่พัดถล่ม สรอ.ขณะที่ผลสำรวจของนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์คาดการณ์
ว่าสินค้าคงคลังผู้ค้าส่งจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.4 หลังจากที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ก.พาณิชย์ สรอ.ยังได้ทบทวนปรับตัวเลข
ยอดขายสินค้าคงคลังในเดือน ต.ค.50 จากที่รายงานเบื้องต้นว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 เป็นเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 1.4 อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณของ
ภาคธุรกิจบางอย่างที่บ่งชี้ว่า ขณะนี้ยังไม่มีการกักตุนสินค้าคงคลังเพิ่ม เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว สำหรับอัตราส่วนสินค้าคงคลังต่อยอดขาย
ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดจำนวนเดือนที่สามารถขายสินค้าคงคลังได้ ในเดือน พ.ย.50 อยู่ที่ระดับ 1.07 เดือน ลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่
ระดับ 1.08 เดือน อนึ่ง สำหรับสินค้าคงคลังขายส่งหมวดรถยนต์ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 2.3 นับเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่เดือน
เม.ย.48 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 (รอยเตอร์)
2. ธ.กลางยุโรปคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 4.0 ต่อไป รายงานจาก Frankfurt เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 51 ในการประชุม
นโยบายการเงิน ธ.กลางยุโรปเมื่อวานนี้ที่ประชุมมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 4.0 ต่อไปอีกหลังจากที่ผ่านมา ธ.กลางได้คงอัตราดอกเบี้ย
นโยบายอย่างต่อเนื่องมาเป็นเดือนที่ 7 เนื่องจากปัญหา sub-prime ใน สรอ. ประกอบกับเศรษฐกิจยุโรปกำลังชะลอตัว อย่างไรก็ตาม
ธ.กลางจำเป็นต้องป้องกันภาวะเงินเฟ้อหากมีความจำเป็น ซึ่งคณะกรรมาธิการได้กล่าวเตือนถึงความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ โดยอัตราเงินเฟ้อ
ในเดือน ธ.ค. อยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบกว่า 6 ปี เนื่องจากค่าจ้างในบางประเทศของยุโรป อาทิ เยอรมนีซึ่งมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป
เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามความยุ่งยากที่เกิดขึ้นในตลาดเงินเนื่องจากปัญหา sub-prime ใน สรอ. ยังคงมีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจในยุโรปด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจ สรอ. ชะลอตัวมากกว่าที่ได้มีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านั้น ซึ่งบรรดา ธ.กลางต่างๆ อาทิ สรอ. แคนาดา
และอังกฤษต่างก็ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโต (รอยเตอร์)
3. ธ.กลางอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.50 ต่อปี รายงานจากลอนดอนเมื่อ 10 ม.ค.51 ธ.กลางอังกฤษตัดสินใจ
คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.50 ต่อปีในการประชุมในวันที่ 10 ม.ค.51 หลังจากลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ต่อปีเมื่อเดือนก่อน
ไปตามที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดไว้ ในขณะที่ตลาดการเงินคาดว่าธ.กลางอังกฤษจะลดอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 เป็นเดือนที่สองติดต่อกัน
จากการชะลอตัวของตลาดบ้านและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 12 ปี แต่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า ธ.กลางอังกฤษ
ให้ความสำคัญต่ออัตราเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นจากราคาน้ำมันและราคาอาหาร ในขณะที่ค่าเงินปอนด์ก็ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
เมื่อเทียบกับเงินยูโรเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยลดลงเกือบร้อยละ 10 ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่สินค้านำเข้าโดยเฉพาะน้ำมัน
จะมีราคาสูงขึ้นอีก แต่อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์หลายคนคาดว่า ธ.กลางอังกฤษจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 6
และ 7 ก.พ.51 นี้ (รอยเตอร์)
4. เดือน พ.ย.50 อังกฤษขาดดุลการค้าจำนวน 7.34 พัน ล.ปอนด์ สาเหตุจากการนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้น รายงานจากลอนดอนเมื่อ
10 ม.ค.50 The Statistics Office เปิดเผยว่าเดือน พ.ย.50 อังกฤษขาดดุลการค้าจำนวน 7.34 พัน ล.ปอนด์ (14.36 พัน ล.ดอลลาร์
สรอ.) ใกล้เคียงกับจำนวน 7.35 พัน ล.ปอนด์ในเดือนก่อนหน้า สูงกว่าเล็กน้อยจากที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะขาดดุลการค้าจำนวน
7.23 พัน ล.ปอนด์ โดยเป็นการขาดดุลกับประเทศนอกกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) จำนวน 4.44 พัน ล.ปอนด์ สาเหตุหลักจากการนำเข้าน้ำมัน
ที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีนับตั้งแต่เดือน ก.ย.48 โดยเพิ่มขึ้นที่ระดับ 663 ล.ปอนด์ เช่นเดียวกับการนำเข้าสินค้าอื่นไม่รวมน้ำมันซึ่งเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ทั้งนี้ การนำเข้าที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะได้
รับจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ซึ่งได้อ่อนค่ามาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว และยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องตลอดมาจนถึงสัปดาห์นี้ โดย ณ วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
เงินปอนด์ได้อ่อนค่าลงอีก 75 เพนซ์ต่อยูโร (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 11 ม.ค. 51 10 ม.ค. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.178 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.9704/33.33074 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.32797 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 800.18/15.31 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,800/13,900 13,700/13,800 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 89.56 90.80 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 33.69*/29.74** 33.69*/29.74** 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 8 ม.ค. 51
**ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 3 ม.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--