ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ตัวเลขการให้บริการบัตรเครดิต ณ สิ้นเดือน พ.ย.50 สะท้อนภาพรวมธุรกิจบัตรเครดิตยังคงอยู่ในระดับที่ดี นายเกริก วณิกกุล
ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ธุรกิจบัตรเครดิตมีการขยายตัวค่อนข้างทรงตัว เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ระมัดระวัง
ในการใช้จ่ายมากขึ้น สาเหตุจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม ยังไม่เห็นสัญญาณที่แสดงความผิดปรกติในธุรกิจนี้ โดยอัตราการ
ผิดนัดชำระหนี้อยู่ที่ระดับ 3% ของยอดสินเชื่อคงค้าง ซึ่งทรงตัวในระดับนี้มาตั้งแต่ปี 49 เป็นต้นมา ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของ
บัตรเครดิตมีประมาณ 3% ถือว่าไม่มากนัก เพราะผู้ประกอบการมีการตัดหนี้สูญทันที ทำให้ภาพรวมธุรกิจบัตรเครดิตยังคงดีอยู่ ขณะที่สายนโยบายสถาบัน
การเงิน ธปท. รายงานตัวเลขการให้บริการบัตรเครดิตล่าสุด ณ สิ้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมาว่า มีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 11,923,010 บัตร เพิ่มขึ้น
จากเดือนก่อนหน้า 64,799 บัตร หรือ 0.55% ยอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้น 1,508 ล.บาท หรือ 0.87% โดยปริมาณการใช้จ่ายในประเทศลดลง 684
ล.บาท หรือ 1.24% ปริมาณการใช้จ่ายในต่างประเทศลดลง 590 ล.บาท หรือ 18.71% สำหรับยอดการใช้จ่ายรวมทั้งระบบลดลง 803 ล.บาท
หรือ 1.07% ส่วนการเบิกเงินสดล่วงหน้าเพิ่มขึ้นเพียง 470 ล.บาท หรือ 2.73% (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์, มติชน)
2. ธ.ไทยธนาคารขายหุ้นส่วนที่เหลือจากการนำออกขายนักลงทุนรายย่อยให้กับผู้ถือหุ้นรายใหญ่เดิม แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศ
ไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน คงจะไม่ซื้อหุ้นของ ธ.ไทยธนาคาร ส่วนที่เหลือจากที่ธนาคารนำออก
ขายเพิ่มทุนให้กับนักลงทุนรายย่อย โดยจะปล่อยให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายอื่นเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวแทน แม้จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของกองทุนฟื้นฟูฯ ลดลง
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา ธ.ไทยธนาคารแจ้งกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ถึงผลการขายหุ้นเพิ่มทุนของธนาคารจำนวน 4.44 พัน ล.หุ้น ให้กับผู้ถือหุ้น
เดิม ในราคาขาย 1.36 บาทต่อหุ้น ระหว่างวันที่ 27 ธ.ค.50 - 4 ม.ค.51 ซึ่งธนาคารไม่สามารถขายหุ้นได้หมด โดยหุ้นที่เหลือมีจำนวน 1.4
พัน ล.หุ้น หรือคิดเป็น 4.14 พัน ล.บาท (กรุงเทพธุรกิจ 12)
3. ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ 31 ต.ค.50 เพิ่มขึ้นเป็น 37.95% ของจีดีพี รายงานข่าวจากสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิด
เผยยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ต.ค.50 ว่า มีจำนวน 3,182,820 ล.บาท หรือ 37.95% ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้น
3,383 ล.บาท เทียบกับเดือนก่อนหน้าซึ่งมียอดหนี้สาธารณะอยู่ที่ 3,179,436 ล.บาท หรือ 37.91% ของจีดีพี เป็นผลจากหนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่
สถาบันการเงินเพิ่มขึ้น 22,344 ล.บาท ขณะที่หนี้รัฐบาลกู้โดยตรงลดลง 8,948 ล.บาท และหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯ และหนี้จากหน่วยงานอื่นลดลง
1,214 ล.บาท และ 8,800 ล.บาท ตามลำดับ ทั้งนี้ ยอดหนี้สาธารณะในเดือน ต.ค.ดังกล่าว แบ่งเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2,042,415 ล.บาท
หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน 929,670 ล.บาท หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ 183,941 ล.บาท และหน่วยงานอื่นของรัฐ 26,793 ล.บาท ขณะเดียว
กัน เมื่อแยกเป็นหนี้ต่งประเทศและในประเทศ ปรากฎว่า เป็นหนี้ต่างประเทศ 414,456 ล.บาท หรือ 13.02% และหนี้ในประเทศ 2,768,364
ล.บาท หรือ 86.98% ของหนี้สาธารณะคงค้าง และจำแนกเป็นหนี้ระยะยาว 2,826,981 ล.บาท หรือ 88.82% เป็นหนี้ระยะสั้น (กรุงเทพธุรกิจ
12, ข่าวสด 12)
4. แนวโน้มรายได้สุทธิเกษตรกรปี 51 เพิ่มขึ้น 10.43% เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า สศก.ได้
คาดการณ์แนวโน้มรายได้สุทธิเกษตรกร ปี 51 ว่า รายได้ครัวเรือนเกษตรกร จะเพิ่มขึ้น 10.43% เป็น 129,272 บาท/ครัวเรือน/ปี รายได้เงิน
สดภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น 23.99% เป็น 134,798 บาท/ครัวเรือน/ปี ขณะที่รายจ่ายเงินสดภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น 25.6% เป็น 77,878 บาท/
ครัวเรือน/ปี และเงินออมเงินสดเพิ่มขึ้น 26.16% เป็น 43,007 บาท/ครัวเรือน/ปี และจากผลการสำรวจครัวเรือนภาคการเกษตรของ สศก.ช่วง
3 ปีที่ผ่านมา เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว โดยรายได้สุทธิต่อครัวเรือนปี 50 มีมูลค่า 117,053 บาท/ครัวเรือน/ปี เพิ่มขึ้นจากปี 48 ถึง
5.18% เนื่องจากราคาผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะสาขาพืชที่มีราคาสูงขึ้นคิดเป็น 80% ของรายได้ทั้งหมดในครัวเรือนเกษตร (ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนี CLI ของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (G7) ในเดือน พ.ย.50 ลดลงอยู่ที่ระดับ 98.9 รายงานจากปารีส
เมื่อ 11 ม.ค.51 องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (The Organisation for Economic Cooperation and
Development-OECD) เปิดเผยว่า The Composite Leading Indicator (CLI) ของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม G7 ในเดือน พ.ย.50 ลด
ลงจากค่าเฉลี่ย (slowdown) อยู่ที่ระดับ 98.9 จากระดับ 99.5 ในเดือน ต.ค.50 ทั้งนี้ ดัชนี CLI ของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม G7 ลดลงจาก
ค่าเฉลี่ยเกือบทุกประเทศ ยกเว้น สรอ. เยอรมนี และสหราชอาณาจักร ที่แม้ดัชนีจะลดลง แต่ก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว (downturn) ทั้งนี้
ประเทศที่ดัชนี CLI ลดลงมากที่สุด คือ ประเทศ สรอ. ที่ลดลงถึง 0.8 จุด ขณะที่ญี่ปุ่นลดลงอยู่ที่ระดับ 95.0 จากระดับ 95.3 ในเดือนก่อนหน้า
เนื่องจากดัชนี dwellings started ซึ่งเป็นองค์ประกอบของดัชนี CLI ลดลง อันสะท้อนว่ายังมีอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอการการสร้าง สาเหตุจาก
ทางการญี่ปุ่นประกาศเปลี่ยนแปลงกฎหมายมาตรฐานการก่อสร้าง (รอยเตอร์)
2. สรอ.ขาดดุลการค้าในเดือน พ.ย.50 สูงสุดในรอบ 14 เดือนจากราคาน้ำมัน รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 11 ม.ค.51 ก.พาณิชย์
สรอ.รายงานยอดขาดดุลการค้าของ สรอ.ในเดือน พ.ย.50 มีจำนวน 63.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ.เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน สูง
สุดในรอบ 14 เดือน โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเกือบร้อยละ 10 ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าน้ำมันในเดือน พ.ย.50 อยู่ในระดับสูงสุด
เป็นประวัติการณ์ที่ 34.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยราคาน้ำมันมีราคาสูงขึ้นเกือบร้อยละ 53 นับตั้งแต่เดือน พ.ย.ปีก่อน ทั้งนี้ มูลค่าการนำเข้า
สินค้าและบริการในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากเดือนก่อน มีจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 205.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ในขณะที่มูลค่า
การส่งออกสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกันมาอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 142.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ.โดยขยายตัว
เพียงร้อยละ 0.4 ชะลอตัวลงจากขยายตัวประมาณร้อยละ 1 ในช่วงสองเดือนก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ จีนยังคงเป็นประเทศที่ สรอ.ขาดดุลการค้าด้วยมากที่
สุด โดยในรอบ 11 เดือนนับตั้งแต่ต้นปี 50 สรอ.ขาดดุลการค้ากับจีนเป็นมูลค่ารวม 237.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. สูงกว่ายอดรวมของทั้งปี 49 ซึ่ง
มีมูลค่ารวม 232.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. แต่อย่างไรก็ดี การส่งออกยังคงเป็นความหวังที่จะช่วยให้เศรษฐกิจ สรอ.ขยายตัวในช่วงที่การบริโภคใน
ประเทศอยู่ในภาวะซบเซาจากการตกต่ำของตลาดบ้าน โดยในช่วง 11 เดือนนับตั้งแต่ต้นปี 50 การส่งออกขยายตัวมากกว่าร้อยละ 12 ในขณะที่การ
นำเข้าเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 5.6 (รอยเตอร์)
3. ทุนสำรองฯ ของจีนปี 50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 48 จากปี 49 แต่มีแนวโน้มลดลงในปีนี้ รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่
11 ม.ค.51 ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนในปี 50 อยู่ที่ระดับกว่า 262 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 48 จากปี 49 โดย
เดือน ธ.ค.50 เพิ่มขึ้น 22.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากเดือน ต.ค. ที่เพิ่มขึ้น 27.1 ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นสูงกว่าการส่งออกติดต่อกัน
เป็นเดือนที่ 3 อันเนื่องมาจากนโยบายชะลอการส่งออก ด้านนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าแนวโน้มในปีนี้จะเป็นไปในลักษณะนี้ โดยจะมีแรงกดดัน
จาก สรอ. และสหภาพยุโรปที่ต้องการให้จีนลดความไม่สมดุลด้วยการทำให้เงินหยวนเพิ่มค่าเร็วมากขึ้น แต่บางส่วนยังคงมองว่าการได้เปรียบดุลการ
ค้าของจีนจะยังเติบโตได้ในปีนี้ แต่อาจจะลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 260 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยคาดว่าการส่งออกของจีนจะชะลอตัวลงจาก
นโยบายของทางการ และความต้องการสินค้าจากต่างประเทศลดลงเนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะที่เงินหยวนแข็งค่าเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน
ความต้องการบริโภคภายในประเทศที่กำลังขยายตัวอย่างแข็งแกร่งและราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นจะทำให้มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวจะเพิ่ม
แรงกดดันให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้น ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่าการที่ทางการกำลังเฝ้าดูแลและควบคุมค่าเงินหยวนอย่างใกล้ชิดสะท้อนให้เห็นว่า ทางการ
กำลังเปลี่ยนแปลงนโยบายบางส่วนโดยมีจุดประสงค์เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 11 ปี (รอยเตอร์)
4. จีนจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นไปเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ รายงานจาก ปักกิ่ง เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 51 ผวก.
ธ.กลางจีนเปิดเผยว่า ธ.กลางจะต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อด้วยการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นและหลีกเลี่ยงที่จะปรับเปลี่ยนอย่างทันที โดยจะ
ดำเนินการอย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจจีนจะยังคงเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ทั้งนี้เมื่อปีที่แล้วจีนได้ปรับเปลี่ยนมาใช้นโยบายการเงินเข้ม
งวดอย่างรอบคอบและระมัดระวังเพื่อที่จะควบคุมภาวะเงินเฟ้อที่ทำสถิติสูงสุดในรอบ 11 ปีที่ร้อยละ 6.9 เมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา รวมทั้งได้ปรับ
เพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาแล้ว 6 ครั้ง นอกจากนั้นยังมีคำสั่งให้ ธพ. ดำรงเงินสำรองเงินฝากเพิ่มขึ้นถึง 10 ครั้งเพื่อที่จะชะลอการปล่อยสินเชื่อ
ลงเพื่อลดการขยายตัวอย่างร้อนแรงของเศรษฐจีนที่ในช่วง 9 เดือนแรกปีที่แล้วเติบโตถึงร้อยละ 11.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 14 ม.ค. 51 11 ม.ค. 51 27 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.154 33.826 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 32.9387/33.2756 33.6191/33.9489 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.32422 3.35781 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 796.47/15.76 852.06/12.50 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,850/13,950 13,800/13,900 13,050/13,150 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 87.56 89.56 87.43 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 33.69*/29.74** 33.69*/29.74** 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 8 ม.ค. 51
**ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 3 ม.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ตัวเลขการให้บริการบัตรเครดิต ณ สิ้นเดือน พ.ย.50 สะท้อนภาพรวมธุรกิจบัตรเครดิตยังคงอยู่ในระดับที่ดี นายเกริก วณิกกุล
ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ธุรกิจบัตรเครดิตมีการขยายตัวค่อนข้างทรงตัว เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ระมัดระวัง
ในการใช้จ่ายมากขึ้น สาเหตุจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม ยังไม่เห็นสัญญาณที่แสดงความผิดปรกติในธุรกิจนี้ โดยอัตราการ
ผิดนัดชำระหนี้อยู่ที่ระดับ 3% ของยอดสินเชื่อคงค้าง ซึ่งทรงตัวในระดับนี้มาตั้งแต่ปี 49 เป็นต้นมา ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของ
บัตรเครดิตมีประมาณ 3% ถือว่าไม่มากนัก เพราะผู้ประกอบการมีการตัดหนี้สูญทันที ทำให้ภาพรวมธุรกิจบัตรเครดิตยังคงดีอยู่ ขณะที่สายนโยบายสถาบัน
การเงิน ธปท. รายงานตัวเลขการให้บริการบัตรเครดิตล่าสุด ณ สิ้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมาว่า มีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 11,923,010 บัตร เพิ่มขึ้น
จากเดือนก่อนหน้า 64,799 บัตร หรือ 0.55% ยอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้น 1,508 ล.บาท หรือ 0.87% โดยปริมาณการใช้จ่ายในประเทศลดลง 684
ล.บาท หรือ 1.24% ปริมาณการใช้จ่ายในต่างประเทศลดลง 590 ล.บาท หรือ 18.71% สำหรับยอดการใช้จ่ายรวมทั้งระบบลดลง 803 ล.บาท
หรือ 1.07% ส่วนการเบิกเงินสดล่วงหน้าเพิ่มขึ้นเพียง 470 ล.บาท หรือ 2.73% (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์, มติชน)
2. ธ.ไทยธนาคารขายหุ้นส่วนที่เหลือจากการนำออกขายนักลงทุนรายย่อยให้กับผู้ถือหุ้นรายใหญ่เดิม แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศ
ไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน คงจะไม่ซื้อหุ้นของ ธ.ไทยธนาคาร ส่วนที่เหลือจากที่ธนาคารนำออก
ขายเพิ่มทุนให้กับนักลงทุนรายย่อย โดยจะปล่อยให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายอื่นเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวแทน แม้จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของกองทุนฟื้นฟูฯ ลดลง
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา ธ.ไทยธนาคารแจ้งกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ถึงผลการขายหุ้นเพิ่มทุนของธนาคารจำนวน 4.44 พัน ล.หุ้น ให้กับผู้ถือหุ้น
เดิม ในราคาขาย 1.36 บาทต่อหุ้น ระหว่างวันที่ 27 ธ.ค.50 - 4 ม.ค.51 ซึ่งธนาคารไม่สามารถขายหุ้นได้หมด โดยหุ้นที่เหลือมีจำนวน 1.4
พัน ล.หุ้น หรือคิดเป็น 4.14 พัน ล.บาท (กรุงเทพธุรกิจ 12)
3. ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ 31 ต.ค.50 เพิ่มขึ้นเป็น 37.95% ของจีดีพี รายงานข่าวจากสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิด
เผยยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ต.ค.50 ว่า มีจำนวน 3,182,820 ล.บาท หรือ 37.95% ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้น
3,383 ล.บาท เทียบกับเดือนก่อนหน้าซึ่งมียอดหนี้สาธารณะอยู่ที่ 3,179,436 ล.บาท หรือ 37.91% ของจีดีพี เป็นผลจากหนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่
สถาบันการเงินเพิ่มขึ้น 22,344 ล.บาท ขณะที่หนี้รัฐบาลกู้โดยตรงลดลง 8,948 ล.บาท และหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯ และหนี้จากหน่วยงานอื่นลดลง
1,214 ล.บาท และ 8,800 ล.บาท ตามลำดับ ทั้งนี้ ยอดหนี้สาธารณะในเดือน ต.ค.ดังกล่าว แบ่งเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2,042,415 ล.บาท
หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน 929,670 ล.บาท หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ 183,941 ล.บาท และหน่วยงานอื่นของรัฐ 26,793 ล.บาท ขณะเดียว
กัน เมื่อแยกเป็นหนี้ต่งประเทศและในประเทศ ปรากฎว่า เป็นหนี้ต่างประเทศ 414,456 ล.บาท หรือ 13.02% และหนี้ในประเทศ 2,768,364
ล.บาท หรือ 86.98% ของหนี้สาธารณะคงค้าง และจำแนกเป็นหนี้ระยะยาว 2,826,981 ล.บาท หรือ 88.82% เป็นหนี้ระยะสั้น (กรุงเทพธุรกิจ
12, ข่าวสด 12)
4. แนวโน้มรายได้สุทธิเกษตรกรปี 51 เพิ่มขึ้น 10.43% เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า สศก.ได้
คาดการณ์แนวโน้มรายได้สุทธิเกษตรกร ปี 51 ว่า รายได้ครัวเรือนเกษตรกร จะเพิ่มขึ้น 10.43% เป็น 129,272 บาท/ครัวเรือน/ปี รายได้เงิน
สดภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น 23.99% เป็น 134,798 บาท/ครัวเรือน/ปี ขณะที่รายจ่ายเงินสดภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น 25.6% เป็น 77,878 บาท/
ครัวเรือน/ปี และเงินออมเงินสดเพิ่มขึ้น 26.16% เป็น 43,007 บาท/ครัวเรือน/ปี และจากผลการสำรวจครัวเรือนภาคการเกษตรของ สศก.ช่วง
3 ปีที่ผ่านมา เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว โดยรายได้สุทธิต่อครัวเรือนปี 50 มีมูลค่า 117,053 บาท/ครัวเรือน/ปี เพิ่มขึ้นจากปี 48 ถึง
5.18% เนื่องจากราคาผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะสาขาพืชที่มีราคาสูงขึ้นคิดเป็น 80% ของรายได้ทั้งหมดในครัวเรือนเกษตร (ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนี CLI ของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (G7) ในเดือน พ.ย.50 ลดลงอยู่ที่ระดับ 98.9 รายงานจากปารีส
เมื่อ 11 ม.ค.51 องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (The Organisation for Economic Cooperation and
Development-OECD) เปิดเผยว่า The Composite Leading Indicator (CLI) ของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม G7 ในเดือน พ.ย.50 ลด
ลงจากค่าเฉลี่ย (slowdown) อยู่ที่ระดับ 98.9 จากระดับ 99.5 ในเดือน ต.ค.50 ทั้งนี้ ดัชนี CLI ของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม G7 ลดลงจาก
ค่าเฉลี่ยเกือบทุกประเทศ ยกเว้น สรอ. เยอรมนี และสหราชอาณาจักร ที่แม้ดัชนีจะลดลง แต่ก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว (downturn) ทั้งนี้
ประเทศที่ดัชนี CLI ลดลงมากที่สุด คือ ประเทศ สรอ. ที่ลดลงถึง 0.8 จุด ขณะที่ญี่ปุ่นลดลงอยู่ที่ระดับ 95.0 จากระดับ 95.3 ในเดือนก่อนหน้า
เนื่องจากดัชนี dwellings started ซึ่งเป็นองค์ประกอบของดัชนี CLI ลดลง อันสะท้อนว่ายังมีอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอการการสร้าง สาเหตุจาก
ทางการญี่ปุ่นประกาศเปลี่ยนแปลงกฎหมายมาตรฐานการก่อสร้าง (รอยเตอร์)
2. สรอ.ขาดดุลการค้าในเดือน พ.ย.50 สูงสุดในรอบ 14 เดือนจากราคาน้ำมัน รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 11 ม.ค.51 ก.พาณิชย์
สรอ.รายงานยอดขาดดุลการค้าของ สรอ.ในเดือน พ.ย.50 มีจำนวน 63.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ.เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน สูง
สุดในรอบ 14 เดือน โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเกือบร้อยละ 10 ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าน้ำมันในเดือน พ.ย.50 อยู่ในระดับสูงสุด
เป็นประวัติการณ์ที่ 34.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยราคาน้ำมันมีราคาสูงขึ้นเกือบร้อยละ 53 นับตั้งแต่เดือน พ.ย.ปีก่อน ทั้งนี้ มูลค่าการนำเข้า
สินค้าและบริการในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากเดือนก่อน มีจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 205.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ในขณะที่มูลค่า
การส่งออกสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกันมาอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 142.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ.โดยขยายตัว
เพียงร้อยละ 0.4 ชะลอตัวลงจากขยายตัวประมาณร้อยละ 1 ในช่วงสองเดือนก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ จีนยังคงเป็นประเทศที่ สรอ.ขาดดุลการค้าด้วยมากที่
สุด โดยในรอบ 11 เดือนนับตั้งแต่ต้นปี 50 สรอ.ขาดดุลการค้ากับจีนเป็นมูลค่ารวม 237.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. สูงกว่ายอดรวมของทั้งปี 49 ซึ่ง
มีมูลค่ารวม 232.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. แต่อย่างไรก็ดี การส่งออกยังคงเป็นความหวังที่จะช่วยให้เศรษฐกิจ สรอ.ขยายตัวในช่วงที่การบริโภคใน
ประเทศอยู่ในภาวะซบเซาจากการตกต่ำของตลาดบ้าน โดยในช่วง 11 เดือนนับตั้งแต่ต้นปี 50 การส่งออกขยายตัวมากกว่าร้อยละ 12 ในขณะที่การ
นำเข้าเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 5.6 (รอยเตอร์)
3. ทุนสำรองฯ ของจีนปี 50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 48 จากปี 49 แต่มีแนวโน้มลดลงในปีนี้ รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่
11 ม.ค.51 ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนในปี 50 อยู่ที่ระดับกว่า 262 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 48 จากปี 49 โดย
เดือน ธ.ค.50 เพิ่มขึ้น 22.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากเดือน ต.ค. ที่เพิ่มขึ้น 27.1 ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นสูงกว่าการส่งออกติดต่อกัน
เป็นเดือนที่ 3 อันเนื่องมาจากนโยบายชะลอการส่งออก ด้านนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าแนวโน้มในปีนี้จะเป็นไปในลักษณะนี้ โดยจะมีแรงกดดัน
จาก สรอ. และสหภาพยุโรปที่ต้องการให้จีนลดความไม่สมดุลด้วยการทำให้เงินหยวนเพิ่มค่าเร็วมากขึ้น แต่บางส่วนยังคงมองว่าการได้เปรียบดุลการ
ค้าของจีนจะยังเติบโตได้ในปีนี้ แต่อาจจะลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 260 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยคาดว่าการส่งออกของจีนจะชะลอตัวลงจาก
นโยบายของทางการ และความต้องการสินค้าจากต่างประเทศลดลงเนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะที่เงินหยวนแข็งค่าเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน
ความต้องการบริโภคภายในประเทศที่กำลังขยายตัวอย่างแข็งแกร่งและราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นจะทำให้มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวจะเพิ่ม
แรงกดดันให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้น ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่าการที่ทางการกำลังเฝ้าดูแลและควบคุมค่าเงินหยวนอย่างใกล้ชิดสะท้อนให้เห็นว่า ทางการ
กำลังเปลี่ยนแปลงนโยบายบางส่วนโดยมีจุดประสงค์เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 11 ปี (รอยเตอร์)
4. จีนจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นไปเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ รายงานจาก ปักกิ่ง เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 51 ผวก.
ธ.กลางจีนเปิดเผยว่า ธ.กลางจะต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อด้วยการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นและหลีกเลี่ยงที่จะปรับเปลี่ยนอย่างทันที โดยจะ
ดำเนินการอย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจจีนจะยังคงเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ทั้งนี้เมื่อปีที่แล้วจีนได้ปรับเปลี่ยนมาใช้นโยบายการเงินเข้ม
งวดอย่างรอบคอบและระมัดระวังเพื่อที่จะควบคุมภาวะเงินเฟ้อที่ทำสถิติสูงสุดในรอบ 11 ปีที่ร้อยละ 6.9 เมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา รวมทั้งได้ปรับ
เพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาแล้ว 6 ครั้ง นอกจากนั้นยังมีคำสั่งให้ ธพ. ดำรงเงินสำรองเงินฝากเพิ่มขึ้นถึง 10 ครั้งเพื่อที่จะชะลอการปล่อยสินเชื่อ
ลงเพื่อลดการขยายตัวอย่างร้อนแรงของเศรษฐจีนที่ในช่วง 9 เดือนแรกปีที่แล้วเติบโตถึงร้อยละ 11.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 14 ม.ค. 51 11 ม.ค. 51 27 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.154 33.826 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 32.9387/33.2756 33.6191/33.9489 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.32422 3.35781 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 796.47/15.76 852.06/12.50 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,850/13,950 13,800/13,900 13,050/13,150 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 87.56 89.56 87.43 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 33.69*/29.74** 33.69*/29.74** 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 8 ม.ค. 51
**ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 3 ม.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--