ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ก.คลัง-ธปท.เห็นร่วมกันในการดูแลปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนและค่าเงินบาทโดยเน้นกลุ่มผู้ส่งออก นายกรัฐมนตรี เปิดเผย
ถึงการดูแลปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนและค่าเงินบาทในขณะนี้ว่า ก.คลังได้หารือกับผู้ว่าการ ธปท.แล้ว เมื่อวันที่ 11 ม.ค. โดยในส่วนของ
ความร่วมมือที่เห็นชอบร่วมกันคือ การเข้าไปดูแลกลุ่มผู้ส่งออก ซึ่งคงต้องขอความร่วมมือไม่ให้มีการนำเงินดอลลาร์ สรอ.ไปขายในตลาด นอกจากนี้
ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า การดูแลอัตราแลกเปลี่ยนตังแต่ต้นปีที่ผ่านมา ค่าเงินบาทของไทยเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มกับประเทศในภูมิภาค โดย
เงินบาทอยู่ระดับกลางๆ และปัจจุบันค่าเงินบาทของไทยไม่ได้แข็งค่ากว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งเป็นผลดีทำให้ไทยไม่เสียเปรียบ
ด้านการส่งออกและสามารถแข่งขันได้ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จาก ธ.กรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทในช่วงเช้าของวันที่ 14 ม.ค.50
แข็งค่าแตะระดับ 33.13 บาท/ดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นการแข็งค่ามากสุดในรอบ 10 ปีอีกครั้ง และคาดว่าสัปดาห์นี้เงินบาทอาจแข็งค่าแตะ
ระดับ 33 บาท/ดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากทิศทางเงินดอลลาร์ สรอ.อ่อนค่าต่อเนื่อง ปัจจัยหลักจากเศรษฐกิจ สรอ.ที่อ่อนตัว โดยล่าสุดตัวเลข
การค้าเดือน พ.ย.ของ สรอ.เป็นการขาดดุลการค้าสูงสุดในรอบ 14 เดือน เนื่องจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นสูงโดยเฉพาะน้ำมัน (กรุงเทพธุรกิจ,
โลกวันนี้, ข่าวสด, ไทยโพสต์)
2. ธปท.ชี้ปัญหาเงินเฟ้อยังไม่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาวะ
เงินเฟ้อที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น ขณะนี้ยังไม่เกิดผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ในวันที่ 16 ม.ค.นี้ จะมีการพิจารณาความสำคัญเร่งด่วนของปัญหา ระหว่างอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกับการดูแลเงินเฟ้อ (โพสต์ทูเดย์)
3. กรมการค้าภายในติดตามความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด ปลัด ก.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในเรื่องการดูแลค่า
ครองชีพให้กับประชาชน และอัตราเงินเฟ้อของประเทศ ทางกรมการค้าภายในจะติดตามความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าอย่างใกล้ชิดทั้งหมด
200 รายการ ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าที่มีความเคลื่อนไหวเป็นพิเศษเพียงรายการเดียว คือ น้ำตาลทราย ส่วนการปรับประมาณการอัตราเงินเฟ้อ
ของประเทศในปีนี้ใหม่หรือไม่ ก.พาณิชย์ขอเวลาอีก 1 ไตรมาส เพื่อทบทวนและพิจารณาสถานการณ์ราคาน้ำมันอีกครั้ง หลังจากราคาน้ำมันดิบ
ในตลาดโลกสูงกว่าระดับที่ได้มีการประมาณการไว้ นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในจัดสายตรวจ 5 สาย ออกตรวจในเขตกรุงเทพฯ
และในส่วนของ 70 จังหวัด ให้พาณิชย์จังหวัดเข้ากำกับดูแลสถานการณ์ราคาสินค้า เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสและกักตุนสินค้าของผู้ประกอบการ
รายภูมิภาค โดยผู้ประกอบการที่มีการทำผิดจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด (ข่าวสด)
4. ก.คลังศึกษากรอบการจัดทำ งปม.เพื่อเตรียมเสนอรัฐบาล รายงายข่าวจาก ก.คลัง เปิดเผยว่า ก.คลังได้ศึกษาแนวทาง
ในการจัดทำ งปม.กลางปี 51 เป็น 3 ทางเลือก ประกอบด้วย 1) การขาดดุล งปม. 3% ของจีดีพี คิดเป็นวงเงินขาดดุล 270,000 ล.บาท
โดยจะต้องจัดทำ งปม.กลางปีขาดดุลเพิ่มเติมอีก 105,000 ล.บาท 2) การขาดดุล งปม. 2.5% ของจีดีพี คิดเป็นวงเงินขาดดุล
225,000 ล.บาท โดยจะต้องจัดทำ งปม.กลางปีขาดดุลเพิ่มเติมอีก 60,000 ล.บาท และ 3) การขาดดุล งปม. 2% ของจีดีพี คิดเป็นวงเงิน
ขาดดุล 180,000 ล.บาท โดยจะต้องจัดทำ งปม.กลางปีขาดดุลเพิ่มเติมอีก 15,000 ล.บาท ซึ่งจากการศึกษาพบว่าผลกระทบทั้งในทางลบ
และบวกของทั้ง 3 แนวทางนั้น มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย โดยทั้ง 3 แนวทางจะไม่ทำให้ยอดหนี้สาธารณะเกิน 40% ของจีดีพี และ
งบชำระหนี้จะมีสัดส่วนไม่เกิน 15% ของวงเงิน งปม. แต่จะมีความแตกต่างในแง่ของการช่วยผลักดันเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่างกันเล็กน้อย
โดยเฉลี่ยจะช่วยเศรษฐกิจขยายตัวในระดับ 0.1-0.3% เท่านั้น สำหรับแนวทางที่ ก.คลังจะนำเสนอรัฐบาลคือ แนวทางที่ 2 เนื่องจากเห็นว่า
เป็นระดับที่สามารถดำเนินการได้จริงมากที่สุด (ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ADB จะปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย รายงานจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อ
วันที่ 15 ม.ค.51 นสพ.ไฟแนนเชี่ยล ไทม์ เปิดเผยรายงานบทสัมภาษณ์ Haruhiko Kuroda ประธาน ธ.เพื่อการพัฒนาเอเชีย (Asian
Development Bank) ว่า ในการพยากรณ์ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจครั้งหน้าของ ADB ที่จะออกเผยแพร่ในเดือน มี.ค.51 นั้น ADB
จะปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียและจีน แต่ไม่รวมญี่ปุ่น เนื่องจากเศรษฐกิจของ สรอ.
ชะลอตัวและราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง โดยจะปรับลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ระดับต่ำกว่าร้อยละ 8 โดยก่อนหน้านี้คือเมื่อเดือน ก.ย. ADB ได้ปรับเพิ่ม
ประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 51 ของเอเชียเป็นร้อยละ 8.2 จากร้อยละ 7.7 โดยอ้างว่าเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้มีความเชื่อมโยงกับ
สรอ. ไม่มากนัก แต่เมื่อเดือน ธ.ค.50 ADB กล่าวว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและประเทศในแถบเอเชียตะวันออกและเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ในปีนี้จะลดลงเหลือร้อยละ 8 จากร้อยละ 8.5 ในปี 50 ซึ่ง ADB คาดว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยใน สรอ. ไม่น่าจะเกิดขึ้น
แต่อาเซียนจะต้องเฝ้าระวังผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากราคาน้ำมันที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากหลายประเทศในภูมิภาคนี้ยังต้องนำเข้าน้ำมัน
เพื่อใช้ในการบริโภค ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มขึ้นในอาเซียนจะเป็นปัญหาที่สำคัญในปีนี้ และรัฐบาลหลายประเทศจะต้องจัดการกับปัญหานี้
อย่างจริงจัง หรือลดให้การสนับสนุนภายในประเทศเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากไม่มีความยั่งยืนในระยะยาว สำหรับเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
คาดว่าจะเติบโตประมาณร้อยละ 2 แม้ว่าเศรษฐกิจ สรอ. จะชะลอตัว (รอยเตอร์)
2. ราคาสินค้าค้าส่งของอังกฤษในเดือน ธ.ค.50 เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี รายงานจากลอนดอน เมื่อ 14 ม.ค.51
สนง.สถิติแห่งชาติของอังกฤษรายงานราคาสินค้าค้าส่งหน้าโรงงานในเดือนธ.ค.50 ของอังกฤษเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ต่อเดือนและร้อยละ 5.0 ต่อปี
สูงสุดในรอบ 16 ปีนับตั้งแต่เดือน ส.ค.34 สูงกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 ต่อปี หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 ต่อปีในเดือนก่อน โดย
เป็นผลจากราคาอาหารและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยราคาข้าวสาลีเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 28 ต่อปี สูงสุดนับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลในปี 35 ในขณะที่
ราคานำเข้าวัตถุดิบในการประกอบอาหารเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 12.4 ต่อปี สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค.39 ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์อาหารในเดือน ธ.ค.50
สูงขึ้นร้อยละ 7.4 ต่อปี สูงสุดนับตั้งแต่ปี 35 ในขณะที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.5 ต่อปี สูงสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค.43 โดยอัตราเงินเฟ้อ
มีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นอีกจากราคาน้ำมันที่ทะลุระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 100 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลเมื่อต้นเดือน ม.ค.51 ที่ผ่านมา
ในขณะที่ค่าเงินปอนด์ที่อ่อนตัวลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับเงินยูโรและต่ำสุดในรอบ 6 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ.
ส่งผลให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้นอีก แต่อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่า ธ.กลางอังกฤษจะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า หลังจาก
ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.5 ต่อปีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (รอยเตอร์)
3. อัตราเงินเฟ้อในเดือน ธ.ค. ของจีนชะลอลงหลังจากที่ทำสถิติสูงสุดในรอบ 11 ปีที่ร้อยละ 6.9 เมื่อเดือน พ.ย. รายงานจาก
ปักกิ่ง เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 51 ทางการจีนเปิดเผยว่า ในเดือน ธ.ค. อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 6.5 ชะลอลงจากร้อยละ 6.9 เมื่อเดือน พ.ย.
ซึ่งเป็นสถิติสูงที่สุดในรอบ 11 ปี ส่วนหนึ่งเนื่องจากทางการจีนได้ส่งสัญญานเตือนถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นทำให้มีการดำเนินนโยบายเข้มงวด
ขึ้นเพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อดังกล่าว ทั้งนี้ทางการมีกำหนดที่จะประกาศตัวเลขอัตราเงินเฟ้ออย่างเป็นทางการของเดือน ธ.ค. ในสัปดาห์หน้า
อย่างไรก็ตามคณะรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมเมื่อวานนี้ว่าทางการเน้นเรื่องภาวะเงินเฟ้อและจะเข้าแทรกแซงเพื่อที่จะทำให้ระดับราคา
ลดลงจนกระทั่งมีสัญญานที่ชัดเจนว่าสามารถควบคุมภาวะเงินเฟ้อได้แล้ว และเป็นครั้งแรกที่รัฐสภาได้ประกาศรายชื่อสินค้าที่จำเป็นที่จะต้องกำหนด
ราคาเป็นการชั่วคราว อาทิ ข้าว เนื้อ น้ำมันเพื่อการบริโภค เป็ดไก่ เนื้อและแก๊สหุงต้ม รวมทั้งจะควบคุมระดับราคาอย่างเข้มงวดในสินค้าของรัฐ
อาทิ นำมัน แก๊ส ไฟฟ้า ประปา การขนส่งสาธารณะ ยาและเวชภัณฑ์ รวมทั้งสวนสาธารณะด้วย (รอยเตอร์)
4. ยอดขายรถยนต์ของจีนในเดือน ธ.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.49 รายงานจากเซี่ยงไฮ้ เมื่อ 14 ม.ค.51 สมาคมอุตสาหกรรม
ของจีน เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ของจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.49 ในเดือน ธ.ค.50 ที่
จำนวน 635,400 คัน เทียบต่อปี ขณะที่ทั้งปี 50 จีนมียอดขายรถยนต์จำนวน 6.30 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.68 เทียบกับปี 49 ที่มียอดขาย
จำนวน 5.18 ล้านคัน หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.02 และปี 48 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.4 ส่วนยอดขายยานพาหนะ ซึ่งรวมถึงรถยนต์
รถประจำทาง และรถบรรทุก ในเดือน ธ.ค.50 มีจำนวน 839,300 คัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.64 ขณะที่ทั้งปี 50 มียอดขายจำนวน
8.79 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.84 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 15 ม.ค. 51 14 ม.ค. 51 27 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.141 33.826 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 32.9297/33.2632 33.6191/33.9489 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.32047 3.35781 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 791.15/11.22 852.06/12.50 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 14,050/14,150 13,850/13,950 13,050/13,150 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 86.77 87.56 87.43 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 33.69*/29.74** 33.69*/29.74** 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 8 ม.ค. 51
**ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 3 ม.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ก.คลัง-ธปท.เห็นร่วมกันในการดูแลปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนและค่าเงินบาทโดยเน้นกลุ่มผู้ส่งออก นายกรัฐมนตรี เปิดเผย
ถึงการดูแลปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนและค่าเงินบาทในขณะนี้ว่า ก.คลังได้หารือกับผู้ว่าการ ธปท.แล้ว เมื่อวันที่ 11 ม.ค. โดยในส่วนของ
ความร่วมมือที่เห็นชอบร่วมกันคือ การเข้าไปดูแลกลุ่มผู้ส่งออก ซึ่งคงต้องขอความร่วมมือไม่ให้มีการนำเงินดอลลาร์ สรอ.ไปขายในตลาด นอกจากนี้
ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า การดูแลอัตราแลกเปลี่ยนตังแต่ต้นปีที่ผ่านมา ค่าเงินบาทของไทยเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มกับประเทศในภูมิภาค โดย
เงินบาทอยู่ระดับกลางๆ และปัจจุบันค่าเงินบาทของไทยไม่ได้แข็งค่ากว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งเป็นผลดีทำให้ไทยไม่เสียเปรียบ
ด้านการส่งออกและสามารถแข่งขันได้ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จาก ธ.กรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทในช่วงเช้าของวันที่ 14 ม.ค.50
แข็งค่าแตะระดับ 33.13 บาท/ดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นการแข็งค่ามากสุดในรอบ 10 ปีอีกครั้ง และคาดว่าสัปดาห์นี้เงินบาทอาจแข็งค่าแตะ
ระดับ 33 บาท/ดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากทิศทางเงินดอลลาร์ สรอ.อ่อนค่าต่อเนื่อง ปัจจัยหลักจากเศรษฐกิจ สรอ.ที่อ่อนตัว โดยล่าสุดตัวเลข
การค้าเดือน พ.ย.ของ สรอ.เป็นการขาดดุลการค้าสูงสุดในรอบ 14 เดือน เนื่องจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นสูงโดยเฉพาะน้ำมัน (กรุงเทพธุรกิจ,
โลกวันนี้, ข่าวสด, ไทยโพสต์)
2. ธปท.ชี้ปัญหาเงินเฟ้อยังไม่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาวะ
เงินเฟ้อที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น ขณะนี้ยังไม่เกิดผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ในวันที่ 16 ม.ค.นี้ จะมีการพิจารณาความสำคัญเร่งด่วนของปัญหา ระหว่างอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกับการดูแลเงินเฟ้อ (โพสต์ทูเดย์)
3. กรมการค้าภายในติดตามความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด ปลัด ก.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในเรื่องการดูแลค่า
ครองชีพให้กับประชาชน และอัตราเงินเฟ้อของประเทศ ทางกรมการค้าภายในจะติดตามความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าอย่างใกล้ชิดทั้งหมด
200 รายการ ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าที่มีความเคลื่อนไหวเป็นพิเศษเพียงรายการเดียว คือ น้ำตาลทราย ส่วนการปรับประมาณการอัตราเงินเฟ้อ
ของประเทศในปีนี้ใหม่หรือไม่ ก.พาณิชย์ขอเวลาอีก 1 ไตรมาส เพื่อทบทวนและพิจารณาสถานการณ์ราคาน้ำมันอีกครั้ง หลังจากราคาน้ำมันดิบ
ในตลาดโลกสูงกว่าระดับที่ได้มีการประมาณการไว้ นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในจัดสายตรวจ 5 สาย ออกตรวจในเขตกรุงเทพฯ
และในส่วนของ 70 จังหวัด ให้พาณิชย์จังหวัดเข้ากำกับดูแลสถานการณ์ราคาสินค้า เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสและกักตุนสินค้าของผู้ประกอบการ
รายภูมิภาค โดยผู้ประกอบการที่มีการทำผิดจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด (ข่าวสด)
4. ก.คลังศึกษากรอบการจัดทำ งปม.เพื่อเตรียมเสนอรัฐบาล รายงายข่าวจาก ก.คลัง เปิดเผยว่า ก.คลังได้ศึกษาแนวทาง
ในการจัดทำ งปม.กลางปี 51 เป็น 3 ทางเลือก ประกอบด้วย 1) การขาดดุล งปม. 3% ของจีดีพี คิดเป็นวงเงินขาดดุล 270,000 ล.บาท
โดยจะต้องจัดทำ งปม.กลางปีขาดดุลเพิ่มเติมอีก 105,000 ล.บาท 2) การขาดดุล งปม. 2.5% ของจีดีพี คิดเป็นวงเงินขาดดุล
225,000 ล.บาท โดยจะต้องจัดทำ งปม.กลางปีขาดดุลเพิ่มเติมอีก 60,000 ล.บาท และ 3) การขาดดุล งปม. 2% ของจีดีพี คิดเป็นวงเงิน
ขาดดุล 180,000 ล.บาท โดยจะต้องจัดทำ งปม.กลางปีขาดดุลเพิ่มเติมอีก 15,000 ล.บาท ซึ่งจากการศึกษาพบว่าผลกระทบทั้งในทางลบ
และบวกของทั้ง 3 แนวทางนั้น มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย โดยทั้ง 3 แนวทางจะไม่ทำให้ยอดหนี้สาธารณะเกิน 40% ของจีดีพี และ
งบชำระหนี้จะมีสัดส่วนไม่เกิน 15% ของวงเงิน งปม. แต่จะมีความแตกต่างในแง่ของการช่วยผลักดันเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่างกันเล็กน้อย
โดยเฉลี่ยจะช่วยเศรษฐกิจขยายตัวในระดับ 0.1-0.3% เท่านั้น สำหรับแนวทางที่ ก.คลังจะนำเสนอรัฐบาลคือ แนวทางที่ 2 เนื่องจากเห็นว่า
เป็นระดับที่สามารถดำเนินการได้จริงมากที่สุด (ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ADB จะปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย รายงานจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อ
วันที่ 15 ม.ค.51 นสพ.ไฟแนนเชี่ยล ไทม์ เปิดเผยรายงานบทสัมภาษณ์ Haruhiko Kuroda ประธาน ธ.เพื่อการพัฒนาเอเชีย (Asian
Development Bank) ว่า ในการพยากรณ์ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจครั้งหน้าของ ADB ที่จะออกเผยแพร่ในเดือน มี.ค.51 นั้น ADB
จะปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียและจีน แต่ไม่รวมญี่ปุ่น เนื่องจากเศรษฐกิจของ สรอ.
ชะลอตัวและราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง โดยจะปรับลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ระดับต่ำกว่าร้อยละ 8 โดยก่อนหน้านี้คือเมื่อเดือน ก.ย. ADB ได้ปรับเพิ่ม
ประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 51 ของเอเชียเป็นร้อยละ 8.2 จากร้อยละ 7.7 โดยอ้างว่าเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้มีความเชื่อมโยงกับ
สรอ. ไม่มากนัก แต่เมื่อเดือน ธ.ค.50 ADB กล่าวว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและประเทศในแถบเอเชียตะวันออกและเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ในปีนี้จะลดลงเหลือร้อยละ 8 จากร้อยละ 8.5 ในปี 50 ซึ่ง ADB คาดว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยใน สรอ. ไม่น่าจะเกิดขึ้น
แต่อาเซียนจะต้องเฝ้าระวังผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากราคาน้ำมันที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากหลายประเทศในภูมิภาคนี้ยังต้องนำเข้าน้ำมัน
เพื่อใช้ในการบริโภค ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มขึ้นในอาเซียนจะเป็นปัญหาที่สำคัญในปีนี้ และรัฐบาลหลายประเทศจะต้องจัดการกับปัญหานี้
อย่างจริงจัง หรือลดให้การสนับสนุนภายในประเทศเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากไม่มีความยั่งยืนในระยะยาว สำหรับเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
คาดว่าจะเติบโตประมาณร้อยละ 2 แม้ว่าเศรษฐกิจ สรอ. จะชะลอตัว (รอยเตอร์)
2. ราคาสินค้าค้าส่งของอังกฤษในเดือน ธ.ค.50 เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี รายงานจากลอนดอน เมื่อ 14 ม.ค.51
สนง.สถิติแห่งชาติของอังกฤษรายงานราคาสินค้าค้าส่งหน้าโรงงานในเดือนธ.ค.50 ของอังกฤษเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ต่อเดือนและร้อยละ 5.0 ต่อปี
สูงสุดในรอบ 16 ปีนับตั้งแต่เดือน ส.ค.34 สูงกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 ต่อปี หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 ต่อปีในเดือนก่อน โดย
เป็นผลจากราคาอาหารและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยราคาข้าวสาลีเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 28 ต่อปี สูงสุดนับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลในปี 35 ในขณะที่
ราคานำเข้าวัตถุดิบในการประกอบอาหารเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 12.4 ต่อปี สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค.39 ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์อาหารในเดือน ธ.ค.50
สูงขึ้นร้อยละ 7.4 ต่อปี สูงสุดนับตั้งแต่ปี 35 ในขณะที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.5 ต่อปี สูงสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค.43 โดยอัตราเงินเฟ้อ
มีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นอีกจากราคาน้ำมันที่ทะลุระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 100 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลเมื่อต้นเดือน ม.ค.51 ที่ผ่านมา
ในขณะที่ค่าเงินปอนด์ที่อ่อนตัวลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับเงินยูโรและต่ำสุดในรอบ 6 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ.
ส่งผลให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้นอีก แต่อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่า ธ.กลางอังกฤษจะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า หลังจาก
ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.5 ต่อปีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (รอยเตอร์)
3. อัตราเงินเฟ้อในเดือน ธ.ค. ของจีนชะลอลงหลังจากที่ทำสถิติสูงสุดในรอบ 11 ปีที่ร้อยละ 6.9 เมื่อเดือน พ.ย. รายงานจาก
ปักกิ่ง เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 51 ทางการจีนเปิดเผยว่า ในเดือน ธ.ค. อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 6.5 ชะลอลงจากร้อยละ 6.9 เมื่อเดือน พ.ย.
ซึ่งเป็นสถิติสูงที่สุดในรอบ 11 ปี ส่วนหนึ่งเนื่องจากทางการจีนได้ส่งสัญญานเตือนถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นทำให้มีการดำเนินนโยบายเข้มงวด
ขึ้นเพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อดังกล่าว ทั้งนี้ทางการมีกำหนดที่จะประกาศตัวเลขอัตราเงินเฟ้ออย่างเป็นทางการของเดือน ธ.ค. ในสัปดาห์หน้า
อย่างไรก็ตามคณะรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมเมื่อวานนี้ว่าทางการเน้นเรื่องภาวะเงินเฟ้อและจะเข้าแทรกแซงเพื่อที่จะทำให้ระดับราคา
ลดลงจนกระทั่งมีสัญญานที่ชัดเจนว่าสามารถควบคุมภาวะเงินเฟ้อได้แล้ว และเป็นครั้งแรกที่รัฐสภาได้ประกาศรายชื่อสินค้าที่จำเป็นที่จะต้องกำหนด
ราคาเป็นการชั่วคราว อาทิ ข้าว เนื้อ น้ำมันเพื่อการบริโภค เป็ดไก่ เนื้อและแก๊สหุงต้ม รวมทั้งจะควบคุมระดับราคาอย่างเข้มงวดในสินค้าของรัฐ
อาทิ นำมัน แก๊ส ไฟฟ้า ประปา การขนส่งสาธารณะ ยาและเวชภัณฑ์ รวมทั้งสวนสาธารณะด้วย (รอยเตอร์)
4. ยอดขายรถยนต์ของจีนในเดือน ธ.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.49 รายงานจากเซี่ยงไฮ้ เมื่อ 14 ม.ค.51 สมาคมอุตสาหกรรม
ของจีน เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ของจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.49 ในเดือน ธ.ค.50 ที่
จำนวน 635,400 คัน เทียบต่อปี ขณะที่ทั้งปี 50 จีนมียอดขายรถยนต์จำนวน 6.30 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.68 เทียบกับปี 49 ที่มียอดขาย
จำนวน 5.18 ล้านคัน หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.02 และปี 48 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.4 ส่วนยอดขายยานพาหนะ ซึ่งรวมถึงรถยนต์
รถประจำทาง และรถบรรทุก ในเดือน ธ.ค.50 มีจำนวน 839,300 คัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.64 ขณะที่ทั้งปี 50 มียอดขายจำนวน
8.79 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.84 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 15 ม.ค. 51 14 ม.ค. 51 27 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.141 33.826 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 32.9297/33.2632 33.6191/33.9489 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.32047 3.35781 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 791.15/11.22 852.06/12.50 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 14,050/14,150 13,850/13,950 13,050/13,150 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 86.77 87.56 87.43 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 33.69*/29.74** 33.69*/29.74** 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 8 ม.ค. 51
**ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 3 ม.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--