แท็ก
ธปท.
ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ 2 จะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะของ ธ.พาณิชย์ นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ
สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า การนำแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ 2 มาใช้ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อฐานะของ ธ.พาณิชย์
ในระบบจนต้องเพิ่มทุน หรือไม่น่าจะกดดันให้เกิดการควบรวมกิจการของ ธ.พาณิชย์ เนื่องจากมาตรฐานของบาเซิล 2 ไม่ได้เพิ่มภาระการกัน
สำรอง เพราะน้ำหนักความเสี่ยงของสินเชื่อแต่ละประเภทตามมาตรฐานนี้มีทั้งเพิ่มขึ้นและลดลง ขณะที่ความเสี่ยงจากการปฏิบัติการและด้าน
การตลาดมีเพิ่มขึ้นแต่ไม่ถึงขั้นกระทบฐานะของธนาคารในระบบ และระดับเงินกองทุนของธนาคารแต่ละแห่งก็สูงกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้
ที่ร้อยละ 8.5 แล้ว ดังนั้น การที่เงินกองทุนจะเพียงพอหรือไม่ หรือจะมีการควบรวมกิจการหรือไม่นั้นต้องดูที่แผนการขยายตัวของธุรกิจเป็นสำคัญ
ซึ่งเท่าที่ติดตามดูยังไม่พบว่ามีธนาคารแห่งใดจะควบรวมกัน แม้แต่ ธ.พาณิชย์เพื่อรายย่อยก็ยังแข็งแกร่งอยู่ได้เพราะมีฐานลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
(โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ, มติชน)
2. รัฐบาลขาดดุลไตรมาสแรกปี งปม.51 จำนวน 87,480 ล้านบาท นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลังสนง.
เศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยฐานะการคลังเบื้องต้นตามระบบ GFS (Government Finance Statistics) ในไตรมาสแรก (ต.ค. — ธ.ค.50)
ปี งปม.51 ว่า รัฐบาลขาดดุลการคลังทั้งสิ้น 87,480 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.0 ของจีดีพี เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 69,240 ล้านบาท
อันเป็นผลจากการขยายตัวของรายจ่ายรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 38.4 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาลในการดำเนิน
นโยบายการคลังแบบขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตในระดับร้อยละ 5.0 ในปี 51 ทั้งนี้ รัฐบาลมีรายได้รวม 328,028 ล้านบาท คิดเป็น
ร้อยละ 3.6 ของจีดีพี เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ภาษีที่จัดเก็บได้เพิ่มขึ้นในอัตราสูง ได้แก่ ภาษีเงินได้
นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ขณะที่รัฐบาลมีรายจ่ายทั้งสิ้น 391,685 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.3 ของจีดีพี เพิ่มขึ้น
108,752 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นร้อยละ 3.4 ของจีดีพี โดยสาเหตุส่วนหนึ่งเนื่องจาก พรบ.งปม.รายจ่าย
ประจำปี 50 มีผลบังคับใช้ล่าช้า ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณในไตรมาสแรกขาดดุล 63,657 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนเกินดุล
21,225 ล้านบาท ส่วนรายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศมีการเบิกจ่ายทั้งสิ้น 74 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนมีการเบิกจ่ายทั้งสิ้น 205 ล้านบาท
สำหรับดุลบัญชีนอกงบประมาณในช่วงไตรมาสแรกขาดดุล 23,749 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดดุล 39,261 ล้านบาท เนื่องจาก
มีการเร่งรัดเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้กองทุนขนาดใหญ่หลายกองทุน เช่น กองทุนหลักประกันสุขภาพ และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เป็นต้น
(มติชน, ผู้จัดการรายวัน)
3. คาดว่าปีนี้สินเชื่อของ ธ.พาณิชย์ทั้งระบบจะขยายตัวร้อยละ 8 นายชาติศิริ โสภณพนิช กก.ผจก.ใหญ่ ธ.กรุงเทพ เปิดเผยว่า
ในปีนี้เชื่อว่าการขยายตัวด้านสินเชื่อของ ธ.พาณิชย์ทั้งระบบจะอยู่ที่ร้อยละ 8 โดยจะมาจากภาคธุรกิจที่มีการขยายการลงทุนมากขึ้น ซึ่งคาดว่า
โครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐจะมีการลงทุนมากขึ้น เช่น โครงการโรงไฟฟ้า และแผนการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ ที่จะมีการนำกลับมา
วางแผนเพื่อลงทุนอีกครั้ง รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ สำหรับภาพรวมของอัตราดอกเบี้ยในประเทศในช่วง
3 — 6 เดือน จะยังคงอยู่ในระดับที่ทรงตัว และใน 6 เดือนหลังของปีนี้อาจมีการปรับลดลงเล็กน้อยหรือประมาณร้อยละ 0.25 ซึ่งในการพิจารณา
ของคณะกรรมการนโยบายการเงินของ ธปท. คงจะมีการพิจารณาอย่างรอบคอบและระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะการปรับอัตราดอกเบี้ย
จะมีผลต่อเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม หาก ธปท. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็ต้องดูว่าปรับลดอย่างไร ซึ่งธนาคารคงจะเดินตามแนวนั้น
แต่ทางการคงไม่ต้องลดลงมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (ไทยรัฐ, ผู้จัดการรายวัน)
4. นักลงทุนต่างประเทศยังมีความเชื่อมั่นต่อบรรยากาศการลงทุนของไทย นายมาริษ ท่าราบ กก.ผจก. บลจ.ไอเอ็นจี
เปิดเผยว่า ผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้ลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 13 ประเทศ ได้แก่ ไทย ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย
ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไต้หวัน เพื่อประเมินทัศนคติและพฤติกรรมการลงทุนของผู้ลงทุนในช่วงเดือน
พ.ย. — ธ.ค.50 พบว่า ผู้ลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อบรรยากาศด้านการลงทุนในไทยปีนี้ว่าจะดีกว่าปีก่อนถึงร้อยละ 69 มองว่าแย่ลงร้อยละ 01
และที่มองว่าทรงตัว ขณะที่ตลาดหุ้นไทยช่วง 3 เดือนข้างหน้าส่วนใหญ่เชื่อว่าจะปรับตัวขึ้นร้อยละ 69 มองว่าหุ้นจะตกร้อยละ 16 และมองว่า
ทรงตัวร้อยละ 15 สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาในไทยได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นร้อยละ 66 ผลตอบแทนลดลงร้อยละ 22
และผลตอบแทนคงที่ร้อยละ 12 ส่วนความคาดหวังในช่วง 3 เดือนข้างหน้ามั่นใจว่าจะได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นร้อยละ 68 และผลตอบแทนลดลง
ร้อยละ 10 สำหรับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมนักลงทุนไทยส่วนใหญ่มองว่าภาวะเศรษฐกิจของไทยช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาจะลดลงร้อยละ 63
แต่ในช่วง 3 เดือนข้างหน้าจะดีขึ้นร้อยละ 55 และจะแย่ลงร้อยละ 19 (เดลินิวส์, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลาง สรอ.ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 8 วันอีกร้อยละ 0.50 เหลือร้อยละ 3.0 ต่อปีต่ำสุดนับตั้งแต่
เดือน มิ.ย.48 รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 30 ม.ค.51 ธ.กลาง สรอ.ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.50 ต่อปีเป็นไปตาม
ที่ตลาดคาดไว้ หลังจากเพิ่งลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วร้อยละ 0.75 ต่อปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี ต่ำสุด
นับตั้งแต่เดือน มิ.ย.48 นับเป็นความพยายามของ ธ.กลาง สรอ.ในการหยุดการชะลอตัวของเศรษฐกิจ สรอ.ซึ่งเป็นไปอย่างรวดเร็วจาก
ผลกระทบของภาวะตกต่ำของตลาดบ้านและวิกฤติสินเชื่อในตลาดการเงินอันสืบเนื่องมาจากปัญหาซับไพร์ม โดยการลดอัตราดอกเบี้ยรวม
2 ครั้งถึงร้อยละ 1.25 ต่อปีภายในเวลาน้อยกว่า 2 สัปดาห์ครั้งนี้ นับเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างฉับพลันและมากที่สุดในประวัติศาสตร์
ยุคใหม่ของ ธ.กลาง สรอ. (รอยเตอร์)
2. PMI ของญี่ปุ่นในเดือน ม.ค.51 ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 รายงานจากโตเกียวเมื่อ 31 ม.ค.51 The NTC
Research/Nomura/JMMA เปิดเผยผลการสำรวจ PMI (Purchasing Managers Index) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดการขยายตัวของภาคการผลิตญี่ปุ่น
ในเดือน ม.ค.51 ว่า อยู่ที่ระดับ 52.3 นับเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งสะท้อนการขยายตัวของภาคการผลิต
สาเหตุหลักจากการขยายตัวของดัชนีที่เป็นส่วนประกอบหลัก ได้แก่ ดัชนีคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ (The new orders index) ซึ่งครอบคลุมทั้งคำสั่งซื้อ
ในประเทศและต่างประเทศ เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 1 ปีที่ระดับ 53.5 จากระดับ 52.9 ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ดัชนีผลผลิต (The output
index) ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของ PMI ลดลงเล็กน้อยที่ระดับ 52.3 จากระดับ 52.5 ในเดือนก่อนหน้า แต่ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่ง
สะท้อนการขยายตัว อันเนื่องมาจากผลผลิตยานยนต์ เคมีภัณฑ์ และพลาสติก ยังคงประสิทธิภาพการผลิตที่ดี อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาสินค้านำเข้า
(The input price index) ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของ PMI เช่นกัน เพิ่มขึ้นที่ระดับ 71.7 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.49 ที่ดัชนีอยู่ที่ระดับ
72.0 สาเหตุจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งทิศทางการเพิ่มขึ้นของ The input price index ดังกล่าว ก่อให้เกิดความ
กังวลว่าอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อ PMI ในระยะต่อไป (รอยเตอร์)
3. ในปีนี้จีนจะกระจายการลงทุนสู่ชนบทให้มากขึ้น รายงานจากปักกิ่งเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 51 โฆษกรัฐบาลจีนเปิดเผยว่า
จีนจะลงทุนในชนบทให้มากขึ้นในปีนี้ ซึ่งเป็นความพยายามที่จะกระตุ้นภาคการเกษตรให้พัฒนาและเป็นการลดช่องว่างความมั่งคั่งระหว่างเมือง
และชนบทด้วย ทั้งนี้การตัดสินใจดังกล่าวเนื่องจากประเทศจีนต้องเผชิญกับปัญหาความยากลำบากในการปรับสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน
ของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร การเติบโตอย่างมีเสถียรภาพผลผลิตทางการเกษตร และรายได้ของเกษตรกร ทั้งนี้เมื่อ 2 — 3 ปีมานี้รัฐบาลจีน
ได้ให้ความสำคัญกับพัฒนาภาคเกษตรเป็นลำดับแรกซึ่งรัฐบาลกลางให้คำมั่นที่จะพัฒนาชนบทที่กว้างขวางของจีน แต่ก็ยังมิได้มีรายละเอียดแต่อย่างใด
ซึ่งทางการจีนมีความวิตกว่าช่องว่างระหว่างความมั่งมีและความยากจนจะขยายมากขึ้นในพื้นที่ชนบท รวมทั้งต้องได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ
และวิกฤติการขาดแคลนพลังงานด้วย ทั้งนี้ทางการจะขยายการใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในชนบทเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปีนี้
รวมทั้งให้ความสำคัญกับการศึกษาและการดูแลเรื่องสุขภาพ และเพื่อให้รัฐบาลท้องถิ่นแน่ใจว่าการใช้จ่ายในภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มรายรับ
ของพวกเขา ทางการจะต้องเร่งออกกฎหมายเพื่อรองรับการลงทุนในชนบทเพื่อให้มีการบริหารจัดการที่ดีและมีประโยชน์มากที่สุด (รอยเตอร์)
4. ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเกาหลีใต้ในเดือน ก.พ.51 อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือนที่ระดับ 86 รายงานจากโซล
เมื่อ 31 ม.ค.51 ธ.กลางเกาหลีใต้ เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ ในเดือน ก.พ.51 ว่า อยู่ที่ระดับ 86 จากระดับ 90
ในเดือนก่อนหน้า นับเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน (ตั้งแต่เดือน พ.ค.50) และลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ทั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่
ธ.กลางเกาหลีใต้รายงานตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นฯ ก่อนปรับปัจจัยทางฤดูกาล อนึ่ง ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจหากต่ำกว่าระดับ 100 แสดงถึง
การคาดการณ์ว่าภาวะธุรกิจปัจจุบันอยู่ในสภาวะเลวร้ายมากกว่าฟื้นตัว นอกจากนี้ ธ.กลางเกาหลีใต้ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ภาคธุรกิจชี้แจงว่า
ราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ประกอบกับความต้องการภายในประเทศที่ชะลอตัว เป็นสาเหตุสำคัญที่สร้างความวิตกกังวลต่อการคาดหวังการฟื้นตัวของ
ภาวะธุรกิจในอนาคต ขณะเดียวกัน The Federation of Korean Industries (FKI) ซึ่งเป็นกลุ่มภาคธุรกิจชั้นนำของประเทศ กล่าวเมื่อ
วันอังคารที่ผ่านมา ดัชนีผลสำรวจภาคธุรกิจใหญ่ในเดือนก.พ.51 อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือนเช่นเดียวกัน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับ
การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของ สรอ. (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 31 ม.ค. 51 30 ม.ค. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.042 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 32.8238/33.1780 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.27922 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 763.48/18.58 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 14,250/14,350 14,300/14,400 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 87.75 87.11 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 32.79*/29.14* 32.79*/29.14* 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มเมื่อ 30 ม.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ 2 จะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะของ ธ.พาณิชย์ นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ
สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า การนำแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ 2 มาใช้ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อฐานะของ ธ.พาณิชย์
ในระบบจนต้องเพิ่มทุน หรือไม่น่าจะกดดันให้เกิดการควบรวมกิจการของ ธ.พาณิชย์ เนื่องจากมาตรฐานของบาเซิล 2 ไม่ได้เพิ่มภาระการกัน
สำรอง เพราะน้ำหนักความเสี่ยงของสินเชื่อแต่ละประเภทตามมาตรฐานนี้มีทั้งเพิ่มขึ้นและลดลง ขณะที่ความเสี่ยงจากการปฏิบัติการและด้าน
การตลาดมีเพิ่มขึ้นแต่ไม่ถึงขั้นกระทบฐานะของธนาคารในระบบ และระดับเงินกองทุนของธนาคารแต่ละแห่งก็สูงกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้
ที่ร้อยละ 8.5 แล้ว ดังนั้น การที่เงินกองทุนจะเพียงพอหรือไม่ หรือจะมีการควบรวมกิจการหรือไม่นั้นต้องดูที่แผนการขยายตัวของธุรกิจเป็นสำคัญ
ซึ่งเท่าที่ติดตามดูยังไม่พบว่ามีธนาคารแห่งใดจะควบรวมกัน แม้แต่ ธ.พาณิชย์เพื่อรายย่อยก็ยังแข็งแกร่งอยู่ได้เพราะมีฐานลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
(โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ, มติชน)
2. รัฐบาลขาดดุลไตรมาสแรกปี งปม.51 จำนวน 87,480 ล้านบาท นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลังสนง.
เศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยฐานะการคลังเบื้องต้นตามระบบ GFS (Government Finance Statistics) ในไตรมาสแรก (ต.ค. — ธ.ค.50)
ปี งปม.51 ว่า รัฐบาลขาดดุลการคลังทั้งสิ้น 87,480 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.0 ของจีดีพี เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 69,240 ล้านบาท
อันเป็นผลจากการขยายตัวของรายจ่ายรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 38.4 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาลในการดำเนิน
นโยบายการคลังแบบขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตในระดับร้อยละ 5.0 ในปี 51 ทั้งนี้ รัฐบาลมีรายได้รวม 328,028 ล้านบาท คิดเป็น
ร้อยละ 3.6 ของจีดีพี เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ภาษีที่จัดเก็บได้เพิ่มขึ้นในอัตราสูง ได้แก่ ภาษีเงินได้
นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ขณะที่รัฐบาลมีรายจ่ายทั้งสิ้น 391,685 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.3 ของจีดีพี เพิ่มขึ้น
108,752 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นร้อยละ 3.4 ของจีดีพี โดยสาเหตุส่วนหนึ่งเนื่องจาก พรบ.งปม.รายจ่าย
ประจำปี 50 มีผลบังคับใช้ล่าช้า ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณในไตรมาสแรกขาดดุล 63,657 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนเกินดุล
21,225 ล้านบาท ส่วนรายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศมีการเบิกจ่ายทั้งสิ้น 74 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนมีการเบิกจ่ายทั้งสิ้น 205 ล้านบาท
สำหรับดุลบัญชีนอกงบประมาณในช่วงไตรมาสแรกขาดดุล 23,749 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดดุล 39,261 ล้านบาท เนื่องจาก
มีการเร่งรัดเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้กองทุนขนาดใหญ่หลายกองทุน เช่น กองทุนหลักประกันสุขภาพ และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เป็นต้น
(มติชน, ผู้จัดการรายวัน)
3. คาดว่าปีนี้สินเชื่อของ ธ.พาณิชย์ทั้งระบบจะขยายตัวร้อยละ 8 นายชาติศิริ โสภณพนิช กก.ผจก.ใหญ่ ธ.กรุงเทพ เปิดเผยว่า
ในปีนี้เชื่อว่าการขยายตัวด้านสินเชื่อของ ธ.พาณิชย์ทั้งระบบจะอยู่ที่ร้อยละ 8 โดยจะมาจากภาคธุรกิจที่มีการขยายการลงทุนมากขึ้น ซึ่งคาดว่า
โครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐจะมีการลงทุนมากขึ้น เช่น โครงการโรงไฟฟ้า และแผนการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ ที่จะมีการนำกลับมา
วางแผนเพื่อลงทุนอีกครั้ง รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ สำหรับภาพรวมของอัตราดอกเบี้ยในประเทศในช่วง
3 — 6 เดือน จะยังคงอยู่ในระดับที่ทรงตัว และใน 6 เดือนหลังของปีนี้อาจมีการปรับลดลงเล็กน้อยหรือประมาณร้อยละ 0.25 ซึ่งในการพิจารณา
ของคณะกรรมการนโยบายการเงินของ ธปท. คงจะมีการพิจารณาอย่างรอบคอบและระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะการปรับอัตราดอกเบี้ย
จะมีผลต่อเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม หาก ธปท. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็ต้องดูว่าปรับลดอย่างไร ซึ่งธนาคารคงจะเดินตามแนวนั้น
แต่ทางการคงไม่ต้องลดลงมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (ไทยรัฐ, ผู้จัดการรายวัน)
4. นักลงทุนต่างประเทศยังมีความเชื่อมั่นต่อบรรยากาศการลงทุนของไทย นายมาริษ ท่าราบ กก.ผจก. บลจ.ไอเอ็นจี
เปิดเผยว่า ผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้ลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 13 ประเทศ ได้แก่ ไทย ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย
ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไต้หวัน เพื่อประเมินทัศนคติและพฤติกรรมการลงทุนของผู้ลงทุนในช่วงเดือน
พ.ย. — ธ.ค.50 พบว่า ผู้ลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อบรรยากาศด้านการลงทุนในไทยปีนี้ว่าจะดีกว่าปีก่อนถึงร้อยละ 69 มองว่าแย่ลงร้อยละ 01
และที่มองว่าทรงตัว ขณะที่ตลาดหุ้นไทยช่วง 3 เดือนข้างหน้าส่วนใหญ่เชื่อว่าจะปรับตัวขึ้นร้อยละ 69 มองว่าหุ้นจะตกร้อยละ 16 และมองว่า
ทรงตัวร้อยละ 15 สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาในไทยได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นร้อยละ 66 ผลตอบแทนลดลงร้อยละ 22
และผลตอบแทนคงที่ร้อยละ 12 ส่วนความคาดหวังในช่วง 3 เดือนข้างหน้ามั่นใจว่าจะได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นร้อยละ 68 และผลตอบแทนลดลง
ร้อยละ 10 สำหรับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมนักลงทุนไทยส่วนใหญ่มองว่าภาวะเศรษฐกิจของไทยช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาจะลดลงร้อยละ 63
แต่ในช่วง 3 เดือนข้างหน้าจะดีขึ้นร้อยละ 55 และจะแย่ลงร้อยละ 19 (เดลินิวส์, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลาง สรอ.ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 8 วันอีกร้อยละ 0.50 เหลือร้อยละ 3.0 ต่อปีต่ำสุดนับตั้งแต่
เดือน มิ.ย.48 รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 30 ม.ค.51 ธ.กลาง สรอ.ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.50 ต่อปีเป็นไปตาม
ที่ตลาดคาดไว้ หลังจากเพิ่งลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วร้อยละ 0.75 ต่อปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี ต่ำสุด
นับตั้งแต่เดือน มิ.ย.48 นับเป็นความพยายามของ ธ.กลาง สรอ.ในการหยุดการชะลอตัวของเศรษฐกิจ สรอ.ซึ่งเป็นไปอย่างรวดเร็วจาก
ผลกระทบของภาวะตกต่ำของตลาดบ้านและวิกฤติสินเชื่อในตลาดการเงินอันสืบเนื่องมาจากปัญหาซับไพร์ม โดยการลดอัตราดอกเบี้ยรวม
2 ครั้งถึงร้อยละ 1.25 ต่อปีภายในเวลาน้อยกว่า 2 สัปดาห์ครั้งนี้ นับเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างฉับพลันและมากที่สุดในประวัติศาสตร์
ยุคใหม่ของ ธ.กลาง สรอ. (รอยเตอร์)
2. PMI ของญี่ปุ่นในเดือน ม.ค.51 ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 รายงานจากโตเกียวเมื่อ 31 ม.ค.51 The NTC
Research/Nomura/JMMA เปิดเผยผลการสำรวจ PMI (Purchasing Managers Index) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดการขยายตัวของภาคการผลิตญี่ปุ่น
ในเดือน ม.ค.51 ว่า อยู่ที่ระดับ 52.3 นับเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งสะท้อนการขยายตัวของภาคการผลิต
สาเหตุหลักจากการขยายตัวของดัชนีที่เป็นส่วนประกอบหลัก ได้แก่ ดัชนีคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ (The new orders index) ซึ่งครอบคลุมทั้งคำสั่งซื้อ
ในประเทศและต่างประเทศ เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 1 ปีที่ระดับ 53.5 จากระดับ 52.9 ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ดัชนีผลผลิต (The output
index) ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของ PMI ลดลงเล็กน้อยที่ระดับ 52.3 จากระดับ 52.5 ในเดือนก่อนหน้า แต่ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่ง
สะท้อนการขยายตัว อันเนื่องมาจากผลผลิตยานยนต์ เคมีภัณฑ์ และพลาสติก ยังคงประสิทธิภาพการผลิตที่ดี อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาสินค้านำเข้า
(The input price index) ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของ PMI เช่นกัน เพิ่มขึ้นที่ระดับ 71.7 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.49 ที่ดัชนีอยู่ที่ระดับ
72.0 สาเหตุจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งทิศทางการเพิ่มขึ้นของ The input price index ดังกล่าว ก่อให้เกิดความ
กังวลว่าอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อ PMI ในระยะต่อไป (รอยเตอร์)
3. ในปีนี้จีนจะกระจายการลงทุนสู่ชนบทให้มากขึ้น รายงานจากปักกิ่งเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 51 โฆษกรัฐบาลจีนเปิดเผยว่า
จีนจะลงทุนในชนบทให้มากขึ้นในปีนี้ ซึ่งเป็นความพยายามที่จะกระตุ้นภาคการเกษตรให้พัฒนาและเป็นการลดช่องว่างความมั่งคั่งระหว่างเมือง
และชนบทด้วย ทั้งนี้การตัดสินใจดังกล่าวเนื่องจากประเทศจีนต้องเผชิญกับปัญหาความยากลำบากในการปรับสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน
ของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร การเติบโตอย่างมีเสถียรภาพผลผลิตทางการเกษตร และรายได้ของเกษตรกร ทั้งนี้เมื่อ 2 — 3 ปีมานี้รัฐบาลจีน
ได้ให้ความสำคัญกับพัฒนาภาคเกษตรเป็นลำดับแรกซึ่งรัฐบาลกลางให้คำมั่นที่จะพัฒนาชนบทที่กว้างขวางของจีน แต่ก็ยังมิได้มีรายละเอียดแต่อย่างใด
ซึ่งทางการจีนมีความวิตกว่าช่องว่างระหว่างความมั่งมีและความยากจนจะขยายมากขึ้นในพื้นที่ชนบท รวมทั้งต้องได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ
และวิกฤติการขาดแคลนพลังงานด้วย ทั้งนี้ทางการจะขยายการใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในชนบทเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปีนี้
รวมทั้งให้ความสำคัญกับการศึกษาและการดูแลเรื่องสุขภาพ และเพื่อให้รัฐบาลท้องถิ่นแน่ใจว่าการใช้จ่ายในภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มรายรับ
ของพวกเขา ทางการจะต้องเร่งออกกฎหมายเพื่อรองรับการลงทุนในชนบทเพื่อให้มีการบริหารจัดการที่ดีและมีประโยชน์มากที่สุด (รอยเตอร์)
4. ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเกาหลีใต้ในเดือน ก.พ.51 อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือนที่ระดับ 86 รายงานจากโซล
เมื่อ 31 ม.ค.51 ธ.กลางเกาหลีใต้ เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ ในเดือน ก.พ.51 ว่า อยู่ที่ระดับ 86 จากระดับ 90
ในเดือนก่อนหน้า นับเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน (ตั้งแต่เดือน พ.ค.50) และลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ทั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่
ธ.กลางเกาหลีใต้รายงานตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นฯ ก่อนปรับปัจจัยทางฤดูกาล อนึ่ง ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจหากต่ำกว่าระดับ 100 แสดงถึง
การคาดการณ์ว่าภาวะธุรกิจปัจจุบันอยู่ในสภาวะเลวร้ายมากกว่าฟื้นตัว นอกจากนี้ ธ.กลางเกาหลีใต้ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ภาคธุรกิจชี้แจงว่า
ราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ประกอบกับความต้องการภายในประเทศที่ชะลอตัว เป็นสาเหตุสำคัญที่สร้างความวิตกกังวลต่อการคาดหวังการฟื้นตัวของ
ภาวะธุรกิจในอนาคต ขณะเดียวกัน The Federation of Korean Industries (FKI) ซึ่งเป็นกลุ่มภาคธุรกิจชั้นนำของประเทศ กล่าวเมื่อ
วันอังคารที่ผ่านมา ดัชนีผลสำรวจภาคธุรกิจใหญ่ในเดือนก.พ.51 อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือนเช่นเดียวกัน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับ
การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของ สรอ. (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 31 ม.ค. 51 30 ม.ค. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.042 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 32.8238/33.1780 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.27922 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 763.48/18.58 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 14,250/14,350 14,300/14,400 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 87.75 87.11 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 32.79*/29.14* 32.79*/29.14* 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มเมื่อ 30 ม.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--