ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนธันวาคม 2550 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ตามเครื่องชี้การลงทุนและการส่งออกที่ยังคงขยายตัว ในเกณฑ์ดี แม้เครื่องชี้ด้านการบริโภคชะลอลงบ้างเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ในด้านอุปทาน ดัชนีผลผลิตพืชผลสำคัญเร่งตัวขึ้นจาก เดือนก่อน ส่วนหนึ่งจากฐานต่ำในปี 2549 ที่มีการเร่งเก็บเกี่ยวในช่วงก่อนหน้า ขณะที่ดัชนีราคาพืชผลสำคัญปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้รายได้เกษตรกรขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ส่วนผลผลิตอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวยังอยู่ในเกณฑ์ดี
สำหรับทั้งปี 2550 ภาวะเศรษฐกิจไทยโดยรวมยังคงขยายตัวดี โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากภาคการส่งออกที่ขยายตัว อยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่อุปสงค์ในประเทศชะลอลงเมื่อเทียบกับปี 2549 ทั้งการบริโภคและการลงทุน แต่เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี สำหรับในด้านอุปทาน ทั้งผลผลิตและราคาพืชผลสำคัญขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับปี 2549 ทำให้รายได้เกษตรกรในปีนี้ชะลอลง อย่างไรก็ดี ผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวในเกณฑ์สูง โดยเฉพาะการผลิตเพื่อการส่งออก ด้าน การท่องเที่ยวขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง โดยดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลและเงินสำรองระหว่างประเทศ อยู่ในระดับสูง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อโดยรวมยังต่ำกว่าปีก่อน แม้จะเร่งตัวขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจในเดือนธันวาคมและทั้งปี 2550 มีดังนี้
1. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เบื้องต้น) ในเดือนธันวาคม 2550 ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 11.7 ใกล้เคียงกับ เดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 12.0 ตามการผลิตในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ หมวดยานยนต์ หมวดอาหาร และ หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในเดือนนี้อยู่ที่ร้อยละ 78.1 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน
ในปี 2550 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เบื้องต้น) ขยายตัวร้อยละ 8.2 เร่งขึ้นจากปีก่อน ตามการผลิตในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า หมวดเครื่องหนัง และหมวดผลิตภัณฑ์เคมี ซึ่งเป็นการผลิตเพื่อการส่งออกเป็นสำคัญ ส่วนอัตราการใช้กำลัง การผลิตในปี 2550 อยู่ที่ร้อยละ 76.1 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 73.9
2. ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน1/ ในเดือนธันวาคม 2550 ขยายตัวร้อยละ 0.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน ชะลอลงเมื่อ เทียบกับเดือนก่อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์และรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่หดตัว ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานสูงในปีก่อน และอีกส่วนหนึ่งจากการชะลอการซื้อเพื่อรอการปรับลดภาษีสำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือกหรือ E20 ที่จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2551 อย่างไรก็ดี การใช้เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นตามการใช้ LPG และ NGV ซึ่งยังขยายตัวสูงต่อเนื่อง สำหรับมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่ และภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ยังคงขยายตัว สำหรับดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (เบื้องต้น) ขยายตัวร้อยละ 3.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน จากการนำเข้าสินค้าทุนเป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่อง ตามการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์
ภาพรวมปี 2550 ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 1.3 ชะลอลงจากปีก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 2.4 ทั้งนี้ การบริโภคภาคเอกชนเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวขึ้นเป็นลำดับในครึ่งหลังของปี โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 4 ซึ่งมีการเร่งตัวของมูลค่า การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่ และภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่เป็นสำคัญ สำหรับดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (เบื้องต้น) หดตัวร้อยละ 0.8 จากที่ขยายตัวร้อยละ 2.0 ในปีก่อน โดยเป็นการลดลงของเครื่องชี้ในหมวดก่อสร้างเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปีเครื่องชี้การลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
3. ภาคการคลัง ในเดือนธันวาคม 2550 รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บ 107.7 พันล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.4 ตามรายได้ที่มิใช่ภาษีที่ลดลงเนื่องจากรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่บางแห่งได้นำส่งรายได้ไปในช่วงก่อนหน้าแล้ว ขณะที่รายได้ภาษี ยังคงขยายตัวในทุกฐานภาษี โดยภาษีฐานรายได้เพิ่มขึ้นตามภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยเฉพาะจากภาษีหัก ณ ที่จ่ายของเงินเดือนและจากการขายอสังหาริมทรัพย์ ส่วนหนึ่งเนื่องจากในเดือนนี้มีการเร่งโอนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้สิทธิประโยชน์การลดหย่อนค่าธรรมเนียม กอปรกับจะมีการปรับราคาประเมินที่ดินใหม่ในปี 2551 สำหรับภาษีฐานการบริโภคขยายตัวเล็กน้อยตามภาษีมูลค่าเพิ่ม ขณะที่ภาษีสรรพสามิตหดตัวจากภาษีรถยนต์ เนื่องจากประชาชนชะลอการซื้อเพื่อรอรถยนต์รุ่นใหม่ที่จะมีการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือก (E20) และภาษีเบียร์ลดลงเนื่องจากผู้ผลิตยังคงมีสต็อกเหลืออยู่ และมีการห้ามจำหน่ายสุราและเบียร์ในช่วงเลือกตั้ง ดุลเงินสด รัฐบาลเกินดุล 1.7 พันล้านบาท เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนเพิ่มขึ้น 12.7 พันล้านบาท อยู่ที่ 69.1 พันล้านบาท
ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2551 (ตุลาคม-ธันวาคม 2550) รัฐบาลจัดเก็บรายได้ 373.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 5.7 ดุลเงินสดขาดดุล 75.2 พันล้านบาท กู้เงินในประเทศสุทธิ 8.5 พันล้านบาท และชำระเงินกู้ต่างประเทศสุทธิ 6.9 พันล้านบาท ทั้งนี้ รัฐบาลได้ใช้เงินคงคลังเพื่อชดเชยการขาดดุล 73.7 พันล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นไตรมาสแรก เป็น 69.1 พันล้านบาท ลดลงจาก 142.8 พันล้านบาทเมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2550
4. ภาคต่างประเทศ เดือนธันวาคม ดุลการค้า เกินดุล 1,069 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 13,174 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.5 ตามการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์โลหะและพลาสติก อัญมณีและทองคำ รวมไปถึงหมวดสินค้าเกษตรที่ยังส่งออกได้ดี สำหรับการนำเข้าขยายตัวร้อยละ 10.6 คิดเป็นมูลค่า 12,106 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยการนำเข้าชะลอตัวในทุกหมวด ทั้งนี้ ในเดือนนี้ได้รวมการนำเข้าแท่นผลิตก๊าซธรรมชาติมูลค่า 477 ล้านดอลลาร์ สรอ. เมื่อรวมกับดุลบริการ รายได้ และเงินโอนที่เกินดุล 593 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากดุลการท่องเที่ยวที่เกินดุลเพิ่มขึ้น ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัด เกินดุล 1,661 ล้านดอลลาร์ สรอ. ดุลการชำระเงิน เกินดุล 3,421 ล้านดอลลาร์ สรอ. เงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 อยู่ที่ระดับ 87.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยมียอดคงค้างการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิ จำนวน 19.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
ภาพรวมปี 2550 ดุลการค้า เกินดุล 11,973 ล้านดอลลาร์ สรอ. สูงกว่าปีก่อนที่เกินดุล 994 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากการส่งออกที่ขยายตัวร้อยละ 18.1 คิดเป็นมูลค่า 151,147 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยเฉพาะหมวดสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตสูงที่ยังคงขยายตัวดีต่อเนื่องจากปีก่อน ขณะที่การนำเข้าขยายตัวร้อยละ 9.6 คิดเป็นมูลค่า 139,174 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยในช่วงครึ่งปีแรก การนำเข้ายังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากปีก่อนตามอุปสงค์ในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว แต่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ส่งผลให้การนำเข้าในหมวดสินค้าทุน วัตถุดิบ และสินค้าอุปโภคบริโภคเร่งตัวขึ้น เมื่อรวมกับดุลบริการ รายได้และเงินโอน ที่เกินดุล 2,950 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่เกินดุล 1,180 ล้านดอลลาร์ สรอ. ตามการเพิ่มขึ้นของดุลการท่องเที่ยว และรายรับผลประโยชน์จากการลงทุนของภาครัฐบาล ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัด เกินดุล 14,923 ล้านดอลลาร์ สรอ. สูงกว่าปีก่อนที่เกินดุล 2,174 ล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนดุลการชำระเงิน เกินดุล 17,102 ล้านดอลลาร์ สรอ.
5. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนธันวาคม 2550 อยู่ที่ร้อยละ 3.2 เร่งขึ้นจากเดือนก่อน จากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาสินค้า ในหมวดพลังงานเป็นสำคัญ กอปรกับมีการปรับขึ้นค่าก๊าซหุงต้ม 1.20 บาทต่อกิโลกรัมในเดือนนี้ ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 1.2 สูงขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน จากการปรับขึ้นค่าโดยสารสาธารณะ รวมทั้งการทยอยปรับขึ้นราคา ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มสินค้า ที่ติดตามดูแลของกระทรวงพาณิชย์ ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตสูงขึ้นร้อยละ 8.7 เร่งขึ้นเช่นกัน ตามการปรับตัวสูงขึ้นของราคาผลผลิตอุตสาหกรรม โดยเฉพาะจากราคาน้ำมัน และราคาผลผลิตเกษตรกรรม
ทั้งปี 2550 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 2.3 และ 1.1 ตามลำดับ ลดลงจากปี 2549 ที่ร้อยละ 4.7 และ 2.3 ตามลำดับ ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตอยู่ที่ร้อยละ 3.3
6. ภาวะการเงิน ในเดือนธันวาคม 2550 เงินฝากของสถาบันรับฝากเงิน2/ (Depository Corporations) ขยายตัวร้อยละ 1.1 โดยลูกค้าส่วนหนึ่งได้ถอนเงินฝากไปลงทุนในตั๋วแลกเงินและพันธบัตรที่ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน สำหรับสินเชื่อภาคเอกชนของสถาบันรับฝากเงินขยายตัวร้อยละ 4.0 โดยสินเชื่อที่ให้แก่ภาคธุรกิจเริ่มมีอัตราการขยายตัวเป็นบวกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นปี ในขณะที่สินเชื่อที่ให้แก่ภาคครัวเรือนยังขยายตัวดี
ทั้งปี 2550 เงินฝากของสถาบันรับฝากเงินมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ส่วนหนึ่งเพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำกว่าในปีก่อนไม่จูงใจผู้ฝากเงินมากนัก ทำให้ผู้ฝากเงินบางส่วนเปลี่ยนไปลงทุนในตั๋วแลกเงินและพันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า สำหรับสินเชื่อภาคเอกชนของสถาบันรับฝากเงินมีอัตราการขยายตัวค่อนข้างต่ำตั้งแต่ต้นปี 2550 จากการหดตัวของสินเชื่อที่ให้แก่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการลงทุน เนื่องจากการชะลอตัวของอุปสงค์ในประเทศและความไม่เชื่อมั่นของภาคธุรกิจ อย่างไรก็ดี สินเชื่อที่ให้แก่ภาคธุรกิจเริ่มขยายตัวบ้างในช่วงสิ้นปี
ฐานเงิน ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน ขณะที่ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad Money) ขยายตัวร้อยละ 1.2 เนื่องจากการขยายตัวของเงินฝากของสถาบันรับฝากเงินอยู่ในระดับต่ำ
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ทั้งอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคาร ระยะ 1 วันเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.25 ต่อปี และทรงตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2550 ตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในปี 2550 อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินปรับลดลงต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปีตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. รวม 5 ครั้ง ก่อนที่จะทรงตัวในช่วงครึ่งหลังของปีตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เฉลี่ยทั้งปีอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันอยู่ที่ร้อยละ 3.77 และ 3.79 ต่อปี ลดลงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยปี 2549 ที่ร้อยละ 4.64 และ 4.69 ต่อปี ตามลำดับ และล่าสุด ในช่วงวันที่ 1- 28 มกราคม 2551 อัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.22 และ 3.25 ต่อปี ตามลำดับ เนื่องจาก กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในการประชุมเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2551
7. ค่าเงินบาทและดัชนีค่าเงินบาท ในเดือนธันวาคม 2550 ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงแคบ ๆ เฉลี่ยอยู่ที่ 33.70 บาท ต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นจากค่าเฉลี่ยในเดือนพฤศจิกายนที่ 33.89 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. จากการอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องของ ดอลลาร์ สรอ. เพราะปัญหาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้กู้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (Subprime) ในสหรัฐฯ ที่ขยายวงกว้างขึ้น ประกอบกับการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องในเดือนนี้ นอกจากนี้ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลักอื่นด้วย โดยเฉพาะเยนและยูโร ทำให้ในภาพรวมดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 76.86 ในเดือนพฤศจิกายนมาอยู่ที่ระดับ 77.78
สำหรับทั้งปี 2550 ค่าเงินบาท เฉลี่ยอยู่ที่ 34.56 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 37.93 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในปี 2549 โดยค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ สรอ. อยู่ในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นตลอดทั้งปีจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สรอ. เป็นสำคัญ ทั้งนี้ ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นปี 2550 แข็งค่าขึ้นร้อยละ 6.8 เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2549 อย่างไรก็ตาม ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.8
ในช่วงวันที่ 1-28 มกราคม 2551 ค่าเงินบาท แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากเดือนธันวาคมมาเฉลี่ยอยู่ที่ 33.21 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สรอ. จากปัญหา Subprime กอปรกับการขายดอลลาร์ สรอ. ของผู้ส่งออกที่เกรงว่าค่าเงินบาท จะแข็งค่าขึ้นอีกในอนาคต
ข้อมูลเพิ่มเติม: พรรณพิลาส เรืองวิสุทธิ์ โทร. 0-2283-5648, 0-2283-5639 e-mail: punpilay@bot.or.th
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
สำหรับทั้งปี 2550 ภาวะเศรษฐกิจไทยโดยรวมยังคงขยายตัวดี โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากภาคการส่งออกที่ขยายตัว อยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่อุปสงค์ในประเทศชะลอลงเมื่อเทียบกับปี 2549 ทั้งการบริโภคและการลงทุน แต่เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี สำหรับในด้านอุปทาน ทั้งผลผลิตและราคาพืชผลสำคัญขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับปี 2549 ทำให้รายได้เกษตรกรในปีนี้ชะลอลง อย่างไรก็ดี ผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวในเกณฑ์สูง โดยเฉพาะการผลิตเพื่อการส่งออก ด้าน การท่องเที่ยวขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง โดยดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลและเงินสำรองระหว่างประเทศ อยู่ในระดับสูง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อโดยรวมยังต่ำกว่าปีก่อน แม้จะเร่งตัวขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจในเดือนธันวาคมและทั้งปี 2550 มีดังนี้
1. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เบื้องต้น) ในเดือนธันวาคม 2550 ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 11.7 ใกล้เคียงกับ เดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 12.0 ตามการผลิตในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ หมวดยานยนต์ หมวดอาหาร และ หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในเดือนนี้อยู่ที่ร้อยละ 78.1 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน
ในปี 2550 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เบื้องต้น) ขยายตัวร้อยละ 8.2 เร่งขึ้นจากปีก่อน ตามการผลิตในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า หมวดเครื่องหนัง และหมวดผลิตภัณฑ์เคมี ซึ่งเป็นการผลิตเพื่อการส่งออกเป็นสำคัญ ส่วนอัตราการใช้กำลัง การผลิตในปี 2550 อยู่ที่ร้อยละ 76.1 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 73.9
2. ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน1/ ในเดือนธันวาคม 2550 ขยายตัวร้อยละ 0.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน ชะลอลงเมื่อ เทียบกับเดือนก่อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์และรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่หดตัว ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานสูงในปีก่อน และอีกส่วนหนึ่งจากการชะลอการซื้อเพื่อรอการปรับลดภาษีสำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือกหรือ E20 ที่จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2551 อย่างไรก็ดี การใช้เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นตามการใช้ LPG และ NGV ซึ่งยังขยายตัวสูงต่อเนื่อง สำหรับมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่ และภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ยังคงขยายตัว สำหรับดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (เบื้องต้น) ขยายตัวร้อยละ 3.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน จากการนำเข้าสินค้าทุนเป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่อง ตามการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์
ภาพรวมปี 2550 ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 1.3 ชะลอลงจากปีก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 2.4 ทั้งนี้ การบริโภคภาคเอกชนเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวขึ้นเป็นลำดับในครึ่งหลังของปี โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 4 ซึ่งมีการเร่งตัวของมูลค่า การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่ และภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่เป็นสำคัญ สำหรับดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (เบื้องต้น) หดตัวร้อยละ 0.8 จากที่ขยายตัวร้อยละ 2.0 ในปีก่อน โดยเป็นการลดลงของเครื่องชี้ในหมวดก่อสร้างเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปีเครื่องชี้การลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
3. ภาคการคลัง ในเดือนธันวาคม 2550 รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บ 107.7 พันล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.4 ตามรายได้ที่มิใช่ภาษีที่ลดลงเนื่องจากรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่บางแห่งได้นำส่งรายได้ไปในช่วงก่อนหน้าแล้ว ขณะที่รายได้ภาษี ยังคงขยายตัวในทุกฐานภาษี โดยภาษีฐานรายได้เพิ่มขึ้นตามภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยเฉพาะจากภาษีหัก ณ ที่จ่ายของเงินเดือนและจากการขายอสังหาริมทรัพย์ ส่วนหนึ่งเนื่องจากในเดือนนี้มีการเร่งโอนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้สิทธิประโยชน์การลดหย่อนค่าธรรมเนียม กอปรกับจะมีการปรับราคาประเมินที่ดินใหม่ในปี 2551 สำหรับภาษีฐานการบริโภคขยายตัวเล็กน้อยตามภาษีมูลค่าเพิ่ม ขณะที่ภาษีสรรพสามิตหดตัวจากภาษีรถยนต์ เนื่องจากประชาชนชะลอการซื้อเพื่อรอรถยนต์รุ่นใหม่ที่จะมีการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือก (E20) และภาษีเบียร์ลดลงเนื่องจากผู้ผลิตยังคงมีสต็อกเหลืออยู่ และมีการห้ามจำหน่ายสุราและเบียร์ในช่วงเลือกตั้ง ดุลเงินสด รัฐบาลเกินดุล 1.7 พันล้านบาท เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนเพิ่มขึ้น 12.7 พันล้านบาท อยู่ที่ 69.1 พันล้านบาท
ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2551 (ตุลาคม-ธันวาคม 2550) รัฐบาลจัดเก็บรายได้ 373.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 5.7 ดุลเงินสดขาดดุล 75.2 พันล้านบาท กู้เงินในประเทศสุทธิ 8.5 พันล้านบาท และชำระเงินกู้ต่างประเทศสุทธิ 6.9 พันล้านบาท ทั้งนี้ รัฐบาลได้ใช้เงินคงคลังเพื่อชดเชยการขาดดุล 73.7 พันล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นไตรมาสแรก เป็น 69.1 พันล้านบาท ลดลงจาก 142.8 พันล้านบาทเมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2550
4. ภาคต่างประเทศ เดือนธันวาคม ดุลการค้า เกินดุล 1,069 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 13,174 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.5 ตามการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์โลหะและพลาสติก อัญมณีและทองคำ รวมไปถึงหมวดสินค้าเกษตรที่ยังส่งออกได้ดี สำหรับการนำเข้าขยายตัวร้อยละ 10.6 คิดเป็นมูลค่า 12,106 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยการนำเข้าชะลอตัวในทุกหมวด ทั้งนี้ ในเดือนนี้ได้รวมการนำเข้าแท่นผลิตก๊าซธรรมชาติมูลค่า 477 ล้านดอลลาร์ สรอ. เมื่อรวมกับดุลบริการ รายได้ และเงินโอนที่เกินดุล 593 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากดุลการท่องเที่ยวที่เกินดุลเพิ่มขึ้น ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัด เกินดุล 1,661 ล้านดอลลาร์ สรอ. ดุลการชำระเงิน เกินดุล 3,421 ล้านดอลลาร์ สรอ. เงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 อยู่ที่ระดับ 87.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยมียอดคงค้างการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิ จำนวน 19.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
ภาพรวมปี 2550 ดุลการค้า เกินดุล 11,973 ล้านดอลลาร์ สรอ. สูงกว่าปีก่อนที่เกินดุล 994 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากการส่งออกที่ขยายตัวร้อยละ 18.1 คิดเป็นมูลค่า 151,147 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยเฉพาะหมวดสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตสูงที่ยังคงขยายตัวดีต่อเนื่องจากปีก่อน ขณะที่การนำเข้าขยายตัวร้อยละ 9.6 คิดเป็นมูลค่า 139,174 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยในช่วงครึ่งปีแรก การนำเข้ายังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากปีก่อนตามอุปสงค์ในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว แต่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ส่งผลให้การนำเข้าในหมวดสินค้าทุน วัตถุดิบ และสินค้าอุปโภคบริโภคเร่งตัวขึ้น เมื่อรวมกับดุลบริการ รายได้และเงินโอน ที่เกินดุล 2,950 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่เกินดุล 1,180 ล้านดอลลาร์ สรอ. ตามการเพิ่มขึ้นของดุลการท่องเที่ยว และรายรับผลประโยชน์จากการลงทุนของภาครัฐบาล ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัด เกินดุล 14,923 ล้านดอลลาร์ สรอ. สูงกว่าปีก่อนที่เกินดุล 2,174 ล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนดุลการชำระเงิน เกินดุล 17,102 ล้านดอลลาร์ สรอ.
5. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนธันวาคม 2550 อยู่ที่ร้อยละ 3.2 เร่งขึ้นจากเดือนก่อน จากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาสินค้า ในหมวดพลังงานเป็นสำคัญ กอปรกับมีการปรับขึ้นค่าก๊าซหุงต้ม 1.20 บาทต่อกิโลกรัมในเดือนนี้ ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 1.2 สูงขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน จากการปรับขึ้นค่าโดยสารสาธารณะ รวมทั้งการทยอยปรับขึ้นราคา ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มสินค้า ที่ติดตามดูแลของกระทรวงพาณิชย์ ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตสูงขึ้นร้อยละ 8.7 เร่งขึ้นเช่นกัน ตามการปรับตัวสูงขึ้นของราคาผลผลิตอุตสาหกรรม โดยเฉพาะจากราคาน้ำมัน และราคาผลผลิตเกษตรกรรม
ทั้งปี 2550 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 2.3 และ 1.1 ตามลำดับ ลดลงจากปี 2549 ที่ร้อยละ 4.7 และ 2.3 ตามลำดับ ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตอยู่ที่ร้อยละ 3.3
6. ภาวะการเงิน ในเดือนธันวาคม 2550 เงินฝากของสถาบันรับฝากเงิน2/ (Depository Corporations) ขยายตัวร้อยละ 1.1 โดยลูกค้าส่วนหนึ่งได้ถอนเงินฝากไปลงทุนในตั๋วแลกเงินและพันธบัตรที่ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน สำหรับสินเชื่อภาคเอกชนของสถาบันรับฝากเงินขยายตัวร้อยละ 4.0 โดยสินเชื่อที่ให้แก่ภาคธุรกิจเริ่มมีอัตราการขยายตัวเป็นบวกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นปี ในขณะที่สินเชื่อที่ให้แก่ภาคครัวเรือนยังขยายตัวดี
ทั้งปี 2550 เงินฝากของสถาบันรับฝากเงินมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ส่วนหนึ่งเพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำกว่าในปีก่อนไม่จูงใจผู้ฝากเงินมากนัก ทำให้ผู้ฝากเงินบางส่วนเปลี่ยนไปลงทุนในตั๋วแลกเงินและพันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า สำหรับสินเชื่อภาคเอกชนของสถาบันรับฝากเงินมีอัตราการขยายตัวค่อนข้างต่ำตั้งแต่ต้นปี 2550 จากการหดตัวของสินเชื่อที่ให้แก่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการลงทุน เนื่องจากการชะลอตัวของอุปสงค์ในประเทศและความไม่เชื่อมั่นของภาคธุรกิจ อย่างไรก็ดี สินเชื่อที่ให้แก่ภาคธุรกิจเริ่มขยายตัวบ้างในช่วงสิ้นปี
ฐานเงิน ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน ขณะที่ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad Money) ขยายตัวร้อยละ 1.2 เนื่องจากการขยายตัวของเงินฝากของสถาบันรับฝากเงินอยู่ในระดับต่ำ
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ทั้งอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคาร ระยะ 1 วันเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.25 ต่อปี และทรงตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2550 ตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในปี 2550 อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินปรับลดลงต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปีตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. รวม 5 ครั้ง ก่อนที่จะทรงตัวในช่วงครึ่งหลังของปีตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เฉลี่ยทั้งปีอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันอยู่ที่ร้อยละ 3.77 และ 3.79 ต่อปี ลดลงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยปี 2549 ที่ร้อยละ 4.64 และ 4.69 ต่อปี ตามลำดับ และล่าสุด ในช่วงวันที่ 1- 28 มกราคม 2551 อัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.22 และ 3.25 ต่อปี ตามลำดับ เนื่องจาก กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในการประชุมเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2551
7. ค่าเงินบาทและดัชนีค่าเงินบาท ในเดือนธันวาคม 2550 ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงแคบ ๆ เฉลี่ยอยู่ที่ 33.70 บาท ต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นจากค่าเฉลี่ยในเดือนพฤศจิกายนที่ 33.89 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. จากการอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องของ ดอลลาร์ สรอ. เพราะปัญหาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้กู้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (Subprime) ในสหรัฐฯ ที่ขยายวงกว้างขึ้น ประกอบกับการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องในเดือนนี้ นอกจากนี้ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลักอื่นด้วย โดยเฉพาะเยนและยูโร ทำให้ในภาพรวมดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 76.86 ในเดือนพฤศจิกายนมาอยู่ที่ระดับ 77.78
สำหรับทั้งปี 2550 ค่าเงินบาท เฉลี่ยอยู่ที่ 34.56 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 37.93 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในปี 2549 โดยค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ สรอ. อยู่ในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นตลอดทั้งปีจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สรอ. เป็นสำคัญ ทั้งนี้ ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นปี 2550 แข็งค่าขึ้นร้อยละ 6.8 เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2549 อย่างไรก็ตาม ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.8
ในช่วงวันที่ 1-28 มกราคม 2551 ค่าเงินบาท แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากเดือนธันวาคมมาเฉลี่ยอยู่ที่ 33.21 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สรอ. จากปัญหา Subprime กอปรกับการขายดอลลาร์ สรอ. ของผู้ส่งออกที่เกรงว่าค่าเงินบาท จะแข็งค่าขึ้นอีกในอนาคต
ข้อมูลเพิ่มเติม: พรรณพิลาส เรืองวิสุทธิ์ โทร. 0-2283-5648, 0-2283-5639 e-mail: punpilay@bot.or.th
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--