ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ระบุการดำเนินธุรกิจของระบบ ธพ.ในปี 51 สามารถขยายธุรกิจต่อไปได้ นางฤชุกร สิริโยธิน ผู้อำนวยการอาวุโส
ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของระบบ ธพ.ในปี 51 ว่า ความเพียงพอ
ของเงินกองทุนที่ระบบ ธพ.ได้เพิ่มทุนในรอบปีที่ผ่านมา ทำให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามมาตรฐาน บีไอเอสอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง 15%
รวมทั้งสภาพคล่องในระบบ ธพ.ยังมีจำนวนมาก เชื่อว่าจะสามารถขยายธุรกิจได้ดีต่อไป ด้านความสามารถในการทำกำไร ธพ.จะต้องปรับตัว
จากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจการเงินของโลก ซึ่งเชื่อว่าจะปรับตัวได้ เนื่องจากปีที่ผ่านมาระบบ ธพ.ได้กันสำรองหนี้ตามเกณฑ์มาตรฐาน
บัญชีใหม่ IAS39 ครบหมดแล้ว สำหรับผลการดำเนินงานของระบบ ธพ.ในปี 50 โดยรวมอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ โดยระบบ ธพ.มีกำไรจากการ
ดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 1.58 แสน ล.บาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายด้านการกันสำรองและภาษีแล้วมีกำไรสุทธิ 2.5 หมื่น ล.บาท ลดลงจากปี 49
ซึ่งมีกำไรสุทธิ 6.5 หมื่น ล.บาท หรือลดลง 61% เนื่องจาก ธพ.กันสำรองเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความเสี่ยงจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ตาม
มาตรฐานบัญชีระหว่างประเทศ (IAS39) ด้านสินเชื่อขยายตัว 4.6% ชะลอตัวจาก 5.9% ในปี 49 ตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่ชะลอลง
อย่างไรก็ตาม สินเชื่อเริ่มมีสัญญาณเร่งตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของธุรกิจและการบริโภค
โดยสินเชื่อภาคธุรกิจซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 76.5% ของสินเชื่อรวม ขยายตัว 1.5% ชะลอลงจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 2.8% ส่วนสินเชื่ออุปโภคบริโภค
ซึ่งคิดเป็น 23.5% ของสินเชื่อรวม ขยายตัว 16% ชะลอลงจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 19.6% เนื่องจากผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น
จากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่วนเงินฝากขยายตัว 0.5% ชะลอตัวจากปี 49 ที่ขยายตัว 6% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลง ทำให้ผู้ฝากเงิน
หันไปเลือกรูปแบบการออมอื่นๆ แทน ขณะที่สภาพคล่องในระบบยังอยู่ในระดับสูง โดยสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากของ ธพ. ณ สิ้นปีอยู่ที่ 98.2%
ในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (หลังหักสำรองหนี้เสีย) หรือ Net NPL ของระบบ ธพ.ปี 50 อยู่ที่ 3.9% ต่อสินเชื่อรวม ลดลงจาก
ปี 49 ซึ่งอยู่ที่ 4.1% ต่อสินเชื่อรวม เนื่องจาก ธพ.มีวิธีการบริหารความเสี่ยงที่ดีขึ้น และในปีนี้หาก ธพ.ยังคงเข้มงวดในการจัดชั้นสินเชื่อ
อย่างต่อเนื่อง น่าจะช่วยลด NPL ลงได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยภาวะเศรษฐฏิจโดยรวมด้วย เนื่องจากกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้
(โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน, ไทยโพสต์, มติชน)
2. การพิจารณายกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% อยู่ระหว่างรอข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการพิจารณารมว.คลัง เปิดเผยถึงความชัดเจน
ในการตัดสินใจว่าจะยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนระยะสั้น 30% ของ ธปท. หรือไม่ว่า ขณะนี้กำลังรอข้อมูลในส่วนที่มอบหมายให้ ธปท.ไปหา
เพิ่มเติม เพื่อประกอบการพิจารณาร่วมกัน โดยได้ขอให้ผู้ว่าการ ธปท.เร่งรัดในการจัดทำข้อมูล ทั้งนี้ การตัดสินใจว่าจะยกเลิกมาตรการกันสำรอง
30% หรือไม่ คงใช้ระยะเวลาไม่ถึง 60 วัน หรือภายใน 2 เดือน (กรุงเทพธุรกิจ, ข่าวสด)
3. ผลการสำรวจแนวโน้มกิจการธุรกิจในปี 51 ส่วนใหญ่ยังคงไม่ปิดกิจการผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ
ม.หอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการสำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการในประเด็นผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
และแนวโน้มของกิจการในปี 51 จากการสำรวจผู้ประกอบการธุรกิจ 9 สาขา จำนวน 489 ตัวอย่าง พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จำนวน
47.12% ทิศทางการผลิตไม่เปลี่ยนแปลง ด้านแนวโน้มการปิดกิจการ 98.98% ยืนยันไม่ปิดกิจการ และ 1.02% มีแนวโน้มการปิดกิจการ นำโดย
ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากนี้ ยังได้สำรวจความเห็นเกี่ยวกับความต้องการเร่งด่วนที่ผู้ประกอบการต้องการให้รัฐบาลช่วย พบว่า 38.93%
ต้องการให้แทรกแซงค่าเงินบาท 28.89% ต้องการให้ช่วยพยุงราคาพลังงาน และ 10.66% ต้องการให้ช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศ
(ข่าวสด, ไทยโพสต์, มติชน)
4. สถิติการขายรถยนต์เดือน ม.ค.51 เพิ่มขึ้น 17.6% เทียบต่อปีนายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือน ม.ค.51 ว่า มีปริมาณการขาย 45,431 คัน เพิ่มขึ้น
17.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีอัตราการเติบโต 11.4% ตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตสูงถึง
32.8% ทั้งนี้ เป็นผลจากการชะลอการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในช่วงปลายปีที่ผ่านมา เพื่อรอการประกาศใช้อัตราภาษีสรรพสามิตใหม่สำหรับรถยนต์
ที่ใช้พลังงานทางเลือกอี 20 (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
5. ปตท.ตรึงราคาน้ำมันเพื่อลดผลกระทบด้านค่าใช้จ่ายของประชาชน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด
(มหาชน) ตัดสินใจไม่ปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมัน โดยให้เหตุผลว่า เพื่อลดผลกระทบค่าใช้จ่ายต่อภาคประชาชน ทำให้ผู้ค้าน้ำมันรายอื่นๆ
ไม่สามารถประกาศปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันได้ แม้ว่าค่าการตลาดน้ำมันในขณะนี้จะอยู่ในระดับต่ำมาก โดยราคาขายปลีกน้ำมันไม่มีการเปลี่ยนแปลง
มาตั้งแต่วันศุกร์ที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมาแล้ว (ไทยโพสต์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ผลสำรวจพบว่าผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นรอซื้อของลดราคาท่ามกลางราคาสินค้าที่สูงขึ้น รายงานจากโตเกียว เมื่อ 19 ก.พ.51
ผลสำรวจความเห็นของชาวญี่ปุ่น 1,408 คนในระหว่างวันที่ 15 — 17 ม.ค.51 พบว่าผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นรอซื้อสินค้า 17 รายการในการสำรวจ
ครั้งนี้เมื่อมีการลดราคา ทั้งนี้ การสำรวจดังกล่าวซึ่งดำเนินการโดยภาครัฐมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเตือนให้ผู้ค้าปลีกทราบว่ารัฐบาลกำลังจับตาดู
ความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าหลังจากสื่อมวลชนรายงานข่าวการขึ้นราคาน้ำมันและวัตถุดิบ ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของญี่ปุ่นซึ่งไม่รวม
ราคาอาหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 ในปี 50 สูงสุดในรอบ 10 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าที่สูงขึ้นซึ่งส่งผลให้ความเชื่อมั่น
ของผู้บริโภคในเดือน ม.ค.51 ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปีครึ่ง (รอยเตอร์)
2. อัตราเงินเฟ้อเทียบต่อปีของจีนเดือน ม.ค.51 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับร้อยละ 7.1 จากปีก่อน รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
เมื่อวันที่ 19 ก.พ.51 สนง.สถิติแห่งชาติของจีน เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อเทียบต่อปีในเดือน ม.ค.51 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับร้อยละ 7.1 จาก
ร้อยละ 6.5 ในเดือน ธ.ค. และเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 11 ปี นับตั้งแต่เคยขึ้นไปสูงสุดที่ร้อยละ 7.4 ในเดือน ก.ย.39 โดยราคาอาหาร
เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.2 ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเกิดพายุหิมะครั้งร้ายแรงในรอบหลายสิบปีในเดือน ม.ค. ต่อเนื่องถึงต้นเดือน ก.พ. ในพื้นที่ส่วนใหญ่
ของภาคกลางและภาคใต้ของจีน ทำให้เกิดอุปสรรคต่อการขนส่งสินค้าและยังทำลายพืชผลและพื้นที่เพาะปลูกเป็นจำนวนมาก (รอยเตอร์)
3. ในเดือน ม.ค.51 ราคาสินค้านำเข้าในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดในรอบกว่า 9 ปี รายงานจากโซล เมื่อ 19 ก.พ.51
ธ.กลางเกาหลีใต้รายงานราคาสินค้านำเข้าคิดเป็นเงินวอนในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.2 ต่อปีในเดือน ม.ค.51 สูงสุดเมื่อเทียบต่อปีนับตั้งแต่
เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.6 ในเดือน ต.ค.41 โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากวัตถุดิบนำเข้าซึ่งมีราคาสูงขึ้นถึงร้อยละ 48.7 ต่อปี ทั้งนี้ ราคาสินค้านำเข้าเป็น
องค์ประกอบหนึ่งในการชี้แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในอนาคต ดังนั้น ราคาที่สูงขึ้นของสินค้านำเข้าข้างต้นจึงชี้ให้เห็นว่าแรงกดดันเงินเฟ้อยังอยู่ใน
ระดับค่อนข้างสูงต่อไปอย่างน้อยในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ โดยก่อนหน้านี้มีรายงานว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือน ม.ค.51 เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุด
ในรอบ 3 ปีที่ร้อยละ 3.9 สูงกว่าที่ ธ.กลางเกาหลีใต้ตั้งเป้าไว้ว่าควรจะอยู่ระหว่างร้อยละ 2.5 — 3.5 ต่อปีในช่วงปี 50-52 แต่อย่างไรก็ดี
ธ.กลางเกาหลีใต้ได้แสดงความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจมากกว่าอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยหลังจากตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ไว้ที่ร้อยละ 5.0 ต่อปีเมื่อสัปดาห์ก่อน ผู้ว่าการ ธ.กลางเกาหลีใต้ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวว่าอัตราเงินเฟ้ออาจชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังปีนี้
นักวิเคราะห์จึงคาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมในเดือนหน้าในวันที่ 7 มี.ค.51 (รอยเตอร์)
4. เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของมาเลเซียเมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 69 รายงานจากกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 19 ก.พ.51
นาย Rafidah Aziz รมว.การค้าของมาเลเซียเปิดเผยว่า เมื่อปีที่แล้วเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment
— FDI) เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 ใน 3 อยู่ที่ระดับ 13.7 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. โดยมี FDI ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดถึง
33.4 พัน ล. ริงกิต (10.37 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) นำโดยภาคเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 จากปี 49 อยู่ที่ระดับ 20.2 พัน ล. ริงกิต
ซึ่งชาวต่างชาติมีสัดส่วนการลงทุนมากถึงร้อยละ 55.8 ส่วนใหญ่มาจากประเทศ ญี่ปุ่น เยอรมนี อิหร่าน และ สรอ. แต่ รมว. การค้าของ
มาเลเซียแสดงความวิตกว่าแนวโน้ม FDI จะชะลอตัวลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ สรอ.
ที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนทั่วโลก ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ที่เห็นว่า FDI จะชะลอตัวจากการชะลอตัวของภาวะ
เศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตามมีโครงการลงทุนถึง 11 โครงการที่มีเงินลงทุนมากกว่า 1 พันล.ดอลลาร์สรอ. ที่จะเข้ามาลงทุนในภาคอุตสาหกรรม
การผลิตซึ่งทางการมาเลเซียต้องการที่จะส่งเสริมการลงทุนในภาคเทคโนโลยี ซึ่งที่ผ่านมามาเลเซียเป็นประเทศที่ดึงดูดผู้ประกอบการอุตสาหกรรม
จากต่างประเทศ และเป็นศูนย์กลางการลงทุนภาคอุตสาหกรรมมานับตั้งแต่ปี 13 แต่ปัจจุบันต้องเผชิญกับการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค
เอเชีย อาทิ อินเดีย จีน และเวียตนาม ซึ่งปีนี้มาเลเซียได้รับการจัดอันดับโดย World Bank ให้เป็นประเทศที่น่าลงทุนเป็นอันดับที่ 24
ของโลกลดลง 3 อันดับจากปีที่แล้ว และรองจากฮ่องกง และประเทศไทย แต่นำหน้าเกาหลี จีน และเวียตนาม (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 20 ก.พ. 51 19 ก.พ. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 32.514 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 32.2988/32.6363 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.27016 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 835.62/19.24 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 14,150/14,250 13,900/14,000 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 90.93 90.78 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 32.79*/29.14* 32.79*/29.14* 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มเมื่อ 30 ม.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ระบุการดำเนินธุรกิจของระบบ ธพ.ในปี 51 สามารถขยายธุรกิจต่อไปได้ นางฤชุกร สิริโยธิน ผู้อำนวยการอาวุโส
ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของระบบ ธพ.ในปี 51 ว่า ความเพียงพอ
ของเงินกองทุนที่ระบบ ธพ.ได้เพิ่มทุนในรอบปีที่ผ่านมา ทำให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามมาตรฐาน บีไอเอสอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง 15%
รวมทั้งสภาพคล่องในระบบ ธพ.ยังมีจำนวนมาก เชื่อว่าจะสามารถขยายธุรกิจได้ดีต่อไป ด้านความสามารถในการทำกำไร ธพ.จะต้องปรับตัว
จากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจการเงินของโลก ซึ่งเชื่อว่าจะปรับตัวได้ เนื่องจากปีที่ผ่านมาระบบ ธพ.ได้กันสำรองหนี้ตามเกณฑ์มาตรฐาน
บัญชีใหม่ IAS39 ครบหมดแล้ว สำหรับผลการดำเนินงานของระบบ ธพ.ในปี 50 โดยรวมอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ โดยระบบ ธพ.มีกำไรจากการ
ดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 1.58 แสน ล.บาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายด้านการกันสำรองและภาษีแล้วมีกำไรสุทธิ 2.5 หมื่น ล.บาท ลดลงจากปี 49
ซึ่งมีกำไรสุทธิ 6.5 หมื่น ล.บาท หรือลดลง 61% เนื่องจาก ธพ.กันสำรองเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความเสี่ยงจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ตาม
มาตรฐานบัญชีระหว่างประเทศ (IAS39) ด้านสินเชื่อขยายตัว 4.6% ชะลอตัวจาก 5.9% ในปี 49 ตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่ชะลอลง
อย่างไรก็ตาม สินเชื่อเริ่มมีสัญญาณเร่งตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของธุรกิจและการบริโภค
โดยสินเชื่อภาคธุรกิจซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 76.5% ของสินเชื่อรวม ขยายตัว 1.5% ชะลอลงจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 2.8% ส่วนสินเชื่ออุปโภคบริโภค
ซึ่งคิดเป็น 23.5% ของสินเชื่อรวม ขยายตัว 16% ชะลอลงจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 19.6% เนื่องจากผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น
จากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่วนเงินฝากขยายตัว 0.5% ชะลอตัวจากปี 49 ที่ขยายตัว 6% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลง ทำให้ผู้ฝากเงิน
หันไปเลือกรูปแบบการออมอื่นๆ แทน ขณะที่สภาพคล่องในระบบยังอยู่ในระดับสูง โดยสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากของ ธพ. ณ สิ้นปีอยู่ที่ 98.2%
ในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (หลังหักสำรองหนี้เสีย) หรือ Net NPL ของระบบ ธพ.ปี 50 อยู่ที่ 3.9% ต่อสินเชื่อรวม ลดลงจาก
ปี 49 ซึ่งอยู่ที่ 4.1% ต่อสินเชื่อรวม เนื่องจาก ธพ.มีวิธีการบริหารความเสี่ยงที่ดีขึ้น และในปีนี้หาก ธพ.ยังคงเข้มงวดในการจัดชั้นสินเชื่อ
อย่างต่อเนื่อง น่าจะช่วยลด NPL ลงได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยภาวะเศรษฐฏิจโดยรวมด้วย เนื่องจากกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้
(โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน, ไทยโพสต์, มติชน)
2. การพิจารณายกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% อยู่ระหว่างรอข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการพิจารณารมว.คลัง เปิดเผยถึงความชัดเจน
ในการตัดสินใจว่าจะยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนระยะสั้น 30% ของ ธปท. หรือไม่ว่า ขณะนี้กำลังรอข้อมูลในส่วนที่มอบหมายให้ ธปท.ไปหา
เพิ่มเติม เพื่อประกอบการพิจารณาร่วมกัน โดยได้ขอให้ผู้ว่าการ ธปท.เร่งรัดในการจัดทำข้อมูล ทั้งนี้ การตัดสินใจว่าจะยกเลิกมาตรการกันสำรอง
30% หรือไม่ คงใช้ระยะเวลาไม่ถึง 60 วัน หรือภายใน 2 เดือน (กรุงเทพธุรกิจ, ข่าวสด)
3. ผลการสำรวจแนวโน้มกิจการธุรกิจในปี 51 ส่วนใหญ่ยังคงไม่ปิดกิจการผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ
ม.หอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการสำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการในประเด็นผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
และแนวโน้มของกิจการในปี 51 จากการสำรวจผู้ประกอบการธุรกิจ 9 สาขา จำนวน 489 ตัวอย่าง พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จำนวน
47.12% ทิศทางการผลิตไม่เปลี่ยนแปลง ด้านแนวโน้มการปิดกิจการ 98.98% ยืนยันไม่ปิดกิจการ และ 1.02% มีแนวโน้มการปิดกิจการ นำโดย
ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากนี้ ยังได้สำรวจความเห็นเกี่ยวกับความต้องการเร่งด่วนที่ผู้ประกอบการต้องการให้รัฐบาลช่วย พบว่า 38.93%
ต้องการให้แทรกแซงค่าเงินบาท 28.89% ต้องการให้ช่วยพยุงราคาพลังงาน และ 10.66% ต้องการให้ช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศ
(ข่าวสด, ไทยโพสต์, มติชน)
4. สถิติการขายรถยนต์เดือน ม.ค.51 เพิ่มขึ้น 17.6% เทียบต่อปีนายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือน ม.ค.51 ว่า มีปริมาณการขาย 45,431 คัน เพิ่มขึ้น
17.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีอัตราการเติบโต 11.4% ตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตสูงถึง
32.8% ทั้งนี้ เป็นผลจากการชะลอการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในช่วงปลายปีที่ผ่านมา เพื่อรอการประกาศใช้อัตราภาษีสรรพสามิตใหม่สำหรับรถยนต์
ที่ใช้พลังงานทางเลือกอี 20 (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
5. ปตท.ตรึงราคาน้ำมันเพื่อลดผลกระทบด้านค่าใช้จ่ายของประชาชน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด
(มหาชน) ตัดสินใจไม่ปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมัน โดยให้เหตุผลว่า เพื่อลดผลกระทบค่าใช้จ่ายต่อภาคประชาชน ทำให้ผู้ค้าน้ำมันรายอื่นๆ
ไม่สามารถประกาศปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันได้ แม้ว่าค่าการตลาดน้ำมันในขณะนี้จะอยู่ในระดับต่ำมาก โดยราคาขายปลีกน้ำมันไม่มีการเปลี่ยนแปลง
มาตั้งแต่วันศุกร์ที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมาแล้ว (ไทยโพสต์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ผลสำรวจพบว่าผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นรอซื้อของลดราคาท่ามกลางราคาสินค้าที่สูงขึ้น รายงานจากโตเกียว เมื่อ 19 ก.พ.51
ผลสำรวจความเห็นของชาวญี่ปุ่น 1,408 คนในระหว่างวันที่ 15 — 17 ม.ค.51 พบว่าผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นรอซื้อสินค้า 17 รายการในการสำรวจ
ครั้งนี้เมื่อมีการลดราคา ทั้งนี้ การสำรวจดังกล่าวซึ่งดำเนินการโดยภาครัฐมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเตือนให้ผู้ค้าปลีกทราบว่ารัฐบาลกำลังจับตาดู
ความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าหลังจากสื่อมวลชนรายงานข่าวการขึ้นราคาน้ำมันและวัตถุดิบ ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของญี่ปุ่นซึ่งไม่รวม
ราคาอาหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 ในปี 50 สูงสุดในรอบ 10 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าที่สูงขึ้นซึ่งส่งผลให้ความเชื่อมั่น
ของผู้บริโภคในเดือน ม.ค.51 ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปีครึ่ง (รอยเตอร์)
2. อัตราเงินเฟ้อเทียบต่อปีของจีนเดือน ม.ค.51 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับร้อยละ 7.1 จากปีก่อน รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
เมื่อวันที่ 19 ก.พ.51 สนง.สถิติแห่งชาติของจีน เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อเทียบต่อปีในเดือน ม.ค.51 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับร้อยละ 7.1 จาก
ร้อยละ 6.5 ในเดือน ธ.ค. และเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 11 ปี นับตั้งแต่เคยขึ้นไปสูงสุดที่ร้อยละ 7.4 ในเดือน ก.ย.39 โดยราคาอาหาร
เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.2 ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเกิดพายุหิมะครั้งร้ายแรงในรอบหลายสิบปีในเดือน ม.ค. ต่อเนื่องถึงต้นเดือน ก.พ. ในพื้นที่ส่วนใหญ่
ของภาคกลางและภาคใต้ของจีน ทำให้เกิดอุปสรรคต่อการขนส่งสินค้าและยังทำลายพืชผลและพื้นที่เพาะปลูกเป็นจำนวนมาก (รอยเตอร์)
3. ในเดือน ม.ค.51 ราคาสินค้านำเข้าในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดในรอบกว่า 9 ปี รายงานจากโซล เมื่อ 19 ก.พ.51
ธ.กลางเกาหลีใต้รายงานราคาสินค้านำเข้าคิดเป็นเงินวอนในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.2 ต่อปีในเดือน ม.ค.51 สูงสุดเมื่อเทียบต่อปีนับตั้งแต่
เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.6 ในเดือน ต.ค.41 โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากวัตถุดิบนำเข้าซึ่งมีราคาสูงขึ้นถึงร้อยละ 48.7 ต่อปี ทั้งนี้ ราคาสินค้านำเข้าเป็น
องค์ประกอบหนึ่งในการชี้แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในอนาคต ดังนั้น ราคาที่สูงขึ้นของสินค้านำเข้าข้างต้นจึงชี้ให้เห็นว่าแรงกดดันเงินเฟ้อยังอยู่ใน
ระดับค่อนข้างสูงต่อไปอย่างน้อยในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ โดยก่อนหน้านี้มีรายงานว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือน ม.ค.51 เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุด
ในรอบ 3 ปีที่ร้อยละ 3.9 สูงกว่าที่ ธ.กลางเกาหลีใต้ตั้งเป้าไว้ว่าควรจะอยู่ระหว่างร้อยละ 2.5 — 3.5 ต่อปีในช่วงปี 50-52 แต่อย่างไรก็ดี
ธ.กลางเกาหลีใต้ได้แสดงความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจมากกว่าอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยหลังจากตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ไว้ที่ร้อยละ 5.0 ต่อปีเมื่อสัปดาห์ก่อน ผู้ว่าการ ธ.กลางเกาหลีใต้ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวว่าอัตราเงินเฟ้ออาจชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังปีนี้
นักวิเคราะห์จึงคาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมในเดือนหน้าในวันที่ 7 มี.ค.51 (รอยเตอร์)
4. เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของมาเลเซียเมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 69 รายงานจากกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 19 ก.พ.51
นาย Rafidah Aziz รมว.การค้าของมาเลเซียเปิดเผยว่า เมื่อปีที่แล้วเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment
— FDI) เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 ใน 3 อยู่ที่ระดับ 13.7 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. โดยมี FDI ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดถึง
33.4 พัน ล. ริงกิต (10.37 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) นำโดยภาคเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 จากปี 49 อยู่ที่ระดับ 20.2 พัน ล. ริงกิต
ซึ่งชาวต่างชาติมีสัดส่วนการลงทุนมากถึงร้อยละ 55.8 ส่วนใหญ่มาจากประเทศ ญี่ปุ่น เยอรมนี อิหร่าน และ สรอ. แต่ รมว. การค้าของ
มาเลเซียแสดงความวิตกว่าแนวโน้ม FDI จะชะลอตัวลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ สรอ.
ที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนทั่วโลก ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ที่เห็นว่า FDI จะชะลอตัวจากการชะลอตัวของภาวะ
เศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตามมีโครงการลงทุนถึง 11 โครงการที่มีเงินลงทุนมากกว่า 1 พันล.ดอลลาร์สรอ. ที่จะเข้ามาลงทุนในภาคอุตสาหกรรม
การผลิตซึ่งทางการมาเลเซียต้องการที่จะส่งเสริมการลงทุนในภาคเทคโนโลยี ซึ่งที่ผ่านมามาเลเซียเป็นประเทศที่ดึงดูดผู้ประกอบการอุตสาหกรรม
จากต่างประเทศ และเป็นศูนย์กลางการลงทุนภาคอุตสาหกรรมมานับตั้งแต่ปี 13 แต่ปัจจุบันต้องเผชิญกับการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค
เอเชีย อาทิ อินเดีย จีน และเวียตนาม ซึ่งปีนี้มาเลเซียได้รับการจัดอันดับโดย World Bank ให้เป็นประเทศที่น่าลงทุนเป็นอันดับที่ 24
ของโลกลดลง 3 อันดับจากปีที่แล้ว และรองจากฮ่องกง และประเทศไทย แต่นำหน้าเกาหลี จีน และเวียตนาม (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 20 ก.พ. 51 19 ก.พ. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 32.514 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 32.2988/32.6363 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.27016 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 835.62/19.24 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 14,150/14,250 13,900/14,000 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 90.93 90.78 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 32.79*/29.14* 32.79*/29.14* 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มเมื่อ 30 ม.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--