ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. กองทุนฟื้นฟูเตรียมเปิดเผยแผนการดำเนินงานอง ธ.ไทยธนาคาร หลังเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) เปิดเผยว่า เร็วๆ นี้ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯและพัฒนาระบบสถาบนการเงิน จะเปิดเผยแผนการดำเนินงานของ ธ.ไทยธนาคาร ที่ได้
เพิ่มทุนครั้งล่าสุดเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะทำให้เห็นภาพรวมในอนาคตของธนาคารชัดเจนขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการกองทุน
ฟื้นฟูฯ ได้อนุมัติให้กองทุนเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนส่วนที่เหลือกว่า 1,400 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นส่วนที่จัดสรรให้กับนักลงทุนรายย่อยที่ไม่มีผู้ใดสนใจซื้อ โดย
คณะกรรมการ ธ.ไทยธนาคารจัดสรรให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ กองทุนฟื้นฟูฯ และกลุ่มทีพีจีนิวบริดจ์ คนละครึ่ง ซึ่งเป็นการขายแบบเฉพาะเจาะจง
ในราคาหุ้นละ 1.38 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 1,900 ล.บาท โดยกองทุนฟื้นฟูฯ ใช้เงินเพิ่มทุนครั้งนี้ประมาณ 900 ล.บาท ทำให้สัดส่วนการถือหุ้น
ของกองทุนฟื้นฟูฯ ใน ธ.ไทยธนาคารอยู่ที่ 42% จากเดิม 33% ซึ่งเท่ากับสัดส่วนถือหุ้นของกลุ่มทีพีจีนิวบริดจ์ 42% โดยหลังการเพิ่มทุนครั้งล่าสุด
ทำให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ของธนาคารอยู่ที่ 10.3% จากเดิม 8.6% ซึ่งถือเป็นระดับที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจของธนาคาร
ในขณะนี้ รวมถึงรองรับการกันสำรองหนี้ตามมาตรฐานบัญชีใหม่ IAS39 ซึ่งธนาคารได้กันสำรองไว้ครบแล้ว (โลกวันนี้, ไทยโพสต์)
2. ธปท.เชื่อมั่นเอ็นพีแอลปี 51 จะลดลงเหลือ 5% ต่อสินเชื่อรวม นายพงศ์อดุล กฤษณะราช ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์
และติดตามฐานะ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.คลายกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในระบบ
ธพ.มากขึ้น เนื่องจากภาพรวมยังอยู่ในระดับปกติ แม้จะมีหนี้ที่ผ่านการปรับปรุงโครงสร้างแต่กลับมาเป็นเอ็นพีแอลใหม่ (รีเอ็นทรี) เพิ่มขึ้น แต่
ขณะเดียวกันหนี้เสียในส่วนอื่นขยายตัวในอัตราชะลอลง โดย ณ สิ้นปี 50 ระบบ ธพ.มียอดเอ็นพีแอลต่อสินเชื่อรวมลดลงจาก 7.5% ณ สิ้นปี 49
เหลือ 7.3% และสัดส่วนเอ็นพีแอลสุทธิหลังหักสำรองหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมลดลงจาก 4.1% อยู่ที่ 3.9% ทั้งนี้ เชื่อว่าสิ้นปี 51 สัดส่วนเอ็นพีแอล
ต่อสินเชื่อรวมน่าจะปรับลดเหลือ 5% จากการที่สถาบันการเงินพยายามปรับลดเอ็นพีแอลอย่างจริงจัง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจน่าจะได้รับการ
กระตุ้นทำให้ภาคธุรกิจดำเนินการได้ดีขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ, ไทยโพสต์)
3. เงินบาทยังคงแข็งค่าสูงสุดในรอบ 11 ปี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ค่าเงิบาทวันที่ 20 ก.พ. ยังคงทำสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 11 ปี
โดยระหว่างวันแข็งค่าที่ระดับ 32.39 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. จากการที่ผู้ประกอบการส่งออกเทขายเงินดอลลาร์ สรอ.ออกมา หลังจาก ก.คลัง
และ ธปท.เริ่มแสดงท่าทีที่ชัดเจนในการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ภายใน 3 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปี เงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า
3.8% โดยเป็นสกุลเงินที่แข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาคเอเชียในปีนี้ (ไทยโพสต์ 21)
4. ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน ม.ค.51 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า นายอดิศักดิ์ โรหิตะศุน รองประธาน
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมไทยเดือน ม.ค.51 จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง
620 ตัวอย่าง ครอบคลุม 35 กลุ่มพบว่า ค่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวสูงสุดในรอบ 8 เดือนทีผ่านมา เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 86.0
จาก 79.8 ในเดือน ธ.ค.50 ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวสูงขึ้นของยอดคำสั่งซื้อ ยอดขาย ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ โดยเฉพาะ
กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและทำความเย็น ชิ้นส่วนและอะไหล่ยนต์ ยานยนต์ และการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์กระดาษ เนื่องจากการปรับ
ขึ้นเงินเดือนและโบนัสประจำปีในสถานประกอบการต่างๆ นอกจากนี้ การจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับ
ผู้ประกอบการในทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ (ข่าวสด 21, มติชน 21, ไทยโพสต์ 21)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนในปีนี้เหลือร้อยละ 1.8 รายงานจาก
บรัสเซล เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 51 กรรมาธิการสหภาพยุโรปเปิดเผยว่า ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนในปีนี้ลงเหลือ
ร้อยละ 1.8 จากที่ขยายตัวร้อยละ 2.7 เมื่อปีที่แล้ว ทั้งนี้ประมาณการเดิมเมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้วอยู่ที่ร้อยละ 2.2 เนื่องจากได้รับผลกระทบ
ความยุ่งยากในตลาดการเงิน สรอ. ทำให้เศรษฐกิจ สรอ.ชะลอตัวลงอย่างมาก ประกอบกับราคาสินค้าสูงขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่
ร้อยละ 2.6 จากร้อยละ 2.1 เมื่อปีที่แล้ว และยังคงสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่ยูโรโซนกำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 2.0 เนื่องจากราคาอาหาร
และพลังงานเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจดังกล่าวยังสูงกว่าผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์เมื่อ
วันที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมาคาดว่าเศรษฐกิจของยูโรโซนจะขยายตัวเพียงร้อยละ 1.6 และอัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นที่ร้อยละ 2.5 อย่างไรก็ตาม
กรรมาธิการสหภาพยุโรปคาดว่าในราวปลายปีอัตราเงินเฟ้อจะลดลงแต่ยังคงสูงกว่าร้อยละ 2.0 หากราคาอาหารและพลังงานชะลอลง
ขณะเดียวกันความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวเริ่มลดลงเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ธ.กลางยุโรปเริ่มผ่อนปรนนโยบายการเงินลงในเดือนนี้เนื่องจาก
มีสัญญานว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว (รอยเตอร์)
2. การเจรจาต่อรองทางการค้ารอบใหม่เริ่มขึ้นแล้ว รายงานจากเจนีวา เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 51 บรรดานักการทูตได้เริ่มการ
เจรจาต่อรองกันทางการค้าระหว่างสินค้าทางการเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อให้การเจรจาทางการค้าโลกมีความคืบหน้า ทั้งนี้เมื่อ 2 วัน
ที่ผ่านมาได้มีการทบทวนการเจรจาต่อรองในสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าทางการเกษตร โดยตัวแทนการเจรจาทางการค้าได้เริ่มที่จะเปิดกว้าง
ในตลาดอาหาร และลดค่าธรรมเนียมที่เก็บจากสินค้าพร้อมทั้งลดการอุดหนุนสินค้าทางเกษตรลงเพื่อที่ประเทศอุตสาหกรรมจะได้ปรับลดอัตรา
ค่าธรรมเนียมสินค้าอุตสาหกรรมและการบริการลงเพื่อเป็นการเปิดตลาดสินค้าดังกล่าว ซึ่งความคืบหน้าในการเจรจาทางการค้าดังกล่าว
ทั้งประเทศร่ำรวยและประเทศยากจน ต่างเห็นว่าประเทศคู่ค้าของตนมักจะให้ตนปฏิบัติตามแนวทางที่ต้องการ ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้ปฏิบัติตามนั้น
(รอยเตอร์)
3. เกาหลีใต้ขาดดุลการค้า 3.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในช่วง 20 วันแรกของเดือน ก.พ.51 รายงานจากกรุงโซล ประเทศ
เกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 20 ก.พ.51 เจ้าหน้าที่ ก.พาณิชย์ของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า เกาหลีใต้ขาดดุลการค้า 3.9 พันล้านดอลลาร์สรอ.
ในช่วง 20 วันแรกของเดือน ก.พ.51 นับเป็นการขาดดุลต่อเนื่องจากเดือน ม.ค.51 และ ธ.ค.50 อันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น
โดยการนำเข้ามีมูลค่ารวม 21.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.2 จากปีก่อน ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.7 ซึ่งส่งผล
ให้เงินวอนอ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบกว่า 3 สัปดาห์เมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. (รอยเตอร์)
4. เกาหลีใต้คาดว่าราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้น รายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
เมื่อวันที่ 21 ก.พ.51 ก.คลังของเกาหลีใต้ คาดการณ์ว่าราคาวัตถุดิบในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นในระยะนี้ รวมถึงราคาน้ำมัน ทองคำขาว
และเมล็ดพันธุ์พืช เช่น ถั่วเหลือง อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อของเกาหลีใต้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมมาตรการหลายอย่างไว้รองรับ
สถานการณ์ดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วหลังจากที่ ธ.กลางเกาหลีใต้ได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมติดต่อกันเป็น
เดือนที่ 6 ผู้ว่าการ ธ.กลางเกาหลีใต้กล่าวว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้จะค่อย ๆ ชะลอตัวลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในเดือน ม.ค.51 อยู่
ที่ร้อยละ 3.9 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 22 ก.พ. 51 20 ก.พ. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 32.459 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 32.2676/32.6020 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.26750 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 827.13/19.29 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 14,350/14,450 14,150/14,250 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 93.70 90.93 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 33.19*/29.54* 32.79/29.14 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 21 ก.พ. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. กองทุนฟื้นฟูเตรียมเปิดเผยแผนการดำเนินงานอง ธ.ไทยธนาคาร หลังเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) เปิดเผยว่า เร็วๆ นี้ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯและพัฒนาระบบสถาบนการเงิน จะเปิดเผยแผนการดำเนินงานของ ธ.ไทยธนาคาร ที่ได้
เพิ่มทุนครั้งล่าสุดเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะทำให้เห็นภาพรวมในอนาคตของธนาคารชัดเจนขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการกองทุน
ฟื้นฟูฯ ได้อนุมัติให้กองทุนเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนส่วนที่เหลือกว่า 1,400 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นส่วนที่จัดสรรให้กับนักลงทุนรายย่อยที่ไม่มีผู้ใดสนใจซื้อ โดย
คณะกรรมการ ธ.ไทยธนาคารจัดสรรให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ กองทุนฟื้นฟูฯ และกลุ่มทีพีจีนิวบริดจ์ คนละครึ่ง ซึ่งเป็นการขายแบบเฉพาะเจาะจง
ในราคาหุ้นละ 1.38 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 1,900 ล.บาท โดยกองทุนฟื้นฟูฯ ใช้เงินเพิ่มทุนครั้งนี้ประมาณ 900 ล.บาท ทำให้สัดส่วนการถือหุ้น
ของกองทุนฟื้นฟูฯ ใน ธ.ไทยธนาคารอยู่ที่ 42% จากเดิม 33% ซึ่งเท่ากับสัดส่วนถือหุ้นของกลุ่มทีพีจีนิวบริดจ์ 42% โดยหลังการเพิ่มทุนครั้งล่าสุด
ทำให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ของธนาคารอยู่ที่ 10.3% จากเดิม 8.6% ซึ่งถือเป็นระดับที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจของธนาคาร
ในขณะนี้ รวมถึงรองรับการกันสำรองหนี้ตามมาตรฐานบัญชีใหม่ IAS39 ซึ่งธนาคารได้กันสำรองไว้ครบแล้ว (โลกวันนี้, ไทยโพสต์)
2. ธปท.เชื่อมั่นเอ็นพีแอลปี 51 จะลดลงเหลือ 5% ต่อสินเชื่อรวม นายพงศ์อดุล กฤษณะราช ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์
และติดตามฐานะ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.คลายกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในระบบ
ธพ.มากขึ้น เนื่องจากภาพรวมยังอยู่ในระดับปกติ แม้จะมีหนี้ที่ผ่านการปรับปรุงโครงสร้างแต่กลับมาเป็นเอ็นพีแอลใหม่ (รีเอ็นทรี) เพิ่มขึ้น แต่
ขณะเดียวกันหนี้เสียในส่วนอื่นขยายตัวในอัตราชะลอลง โดย ณ สิ้นปี 50 ระบบ ธพ.มียอดเอ็นพีแอลต่อสินเชื่อรวมลดลงจาก 7.5% ณ สิ้นปี 49
เหลือ 7.3% และสัดส่วนเอ็นพีแอลสุทธิหลังหักสำรองหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมลดลงจาก 4.1% อยู่ที่ 3.9% ทั้งนี้ เชื่อว่าสิ้นปี 51 สัดส่วนเอ็นพีแอล
ต่อสินเชื่อรวมน่าจะปรับลดเหลือ 5% จากการที่สถาบันการเงินพยายามปรับลดเอ็นพีแอลอย่างจริงจัง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจน่าจะได้รับการ
กระตุ้นทำให้ภาคธุรกิจดำเนินการได้ดีขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ, ไทยโพสต์)
3. เงินบาทยังคงแข็งค่าสูงสุดในรอบ 11 ปี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ค่าเงิบาทวันที่ 20 ก.พ. ยังคงทำสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 11 ปี
โดยระหว่างวันแข็งค่าที่ระดับ 32.39 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. จากการที่ผู้ประกอบการส่งออกเทขายเงินดอลลาร์ สรอ.ออกมา หลังจาก ก.คลัง
และ ธปท.เริ่มแสดงท่าทีที่ชัดเจนในการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ภายใน 3 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปี เงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า
3.8% โดยเป็นสกุลเงินที่แข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาคเอเชียในปีนี้ (ไทยโพสต์ 21)
4. ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน ม.ค.51 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า นายอดิศักดิ์ โรหิตะศุน รองประธาน
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมไทยเดือน ม.ค.51 จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง
620 ตัวอย่าง ครอบคลุม 35 กลุ่มพบว่า ค่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวสูงสุดในรอบ 8 เดือนทีผ่านมา เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 86.0
จาก 79.8 ในเดือน ธ.ค.50 ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวสูงขึ้นของยอดคำสั่งซื้อ ยอดขาย ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ โดยเฉพาะ
กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและทำความเย็น ชิ้นส่วนและอะไหล่ยนต์ ยานยนต์ และการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์กระดาษ เนื่องจากการปรับ
ขึ้นเงินเดือนและโบนัสประจำปีในสถานประกอบการต่างๆ นอกจากนี้ การจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับ
ผู้ประกอบการในทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ (ข่าวสด 21, มติชน 21, ไทยโพสต์ 21)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนในปีนี้เหลือร้อยละ 1.8 รายงานจาก
บรัสเซล เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 51 กรรมาธิการสหภาพยุโรปเปิดเผยว่า ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนในปีนี้ลงเหลือ
ร้อยละ 1.8 จากที่ขยายตัวร้อยละ 2.7 เมื่อปีที่แล้ว ทั้งนี้ประมาณการเดิมเมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้วอยู่ที่ร้อยละ 2.2 เนื่องจากได้รับผลกระทบ
ความยุ่งยากในตลาดการเงิน สรอ. ทำให้เศรษฐกิจ สรอ.ชะลอตัวลงอย่างมาก ประกอบกับราคาสินค้าสูงขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่
ร้อยละ 2.6 จากร้อยละ 2.1 เมื่อปีที่แล้ว และยังคงสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่ยูโรโซนกำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 2.0 เนื่องจากราคาอาหาร
และพลังงานเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจดังกล่าวยังสูงกว่าผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์เมื่อ
วันที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมาคาดว่าเศรษฐกิจของยูโรโซนจะขยายตัวเพียงร้อยละ 1.6 และอัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นที่ร้อยละ 2.5 อย่างไรก็ตาม
กรรมาธิการสหภาพยุโรปคาดว่าในราวปลายปีอัตราเงินเฟ้อจะลดลงแต่ยังคงสูงกว่าร้อยละ 2.0 หากราคาอาหารและพลังงานชะลอลง
ขณะเดียวกันความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวเริ่มลดลงเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ธ.กลางยุโรปเริ่มผ่อนปรนนโยบายการเงินลงในเดือนนี้เนื่องจาก
มีสัญญานว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว (รอยเตอร์)
2. การเจรจาต่อรองทางการค้ารอบใหม่เริ่มขึ้นแล้ว รายงานจากเจนีวา เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 51 บรรดานักการทูตได้เริ่มการ
เจรจาต่อรองกันทางการค้าระหว่างสินค้าทางการเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อให้การเจรจาทางการค้าโลกมีความคืบหน้า ทั้งนี้เมื่อ 2 วัน
ที่ผ่านมาได้มีการทบทวนการเจรจาต่อรองในสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าทางการเกษตร โดยตัวแทนการเจรจาทางการค้าได้เริ่มที่จะเปิดกว้าง
ในตลาดอาหาร และลดค่าธรรมเนียมที่เก็บจากสินค้าพร้อมทั้งลดการอุดหนุนสินค้าทางเกษตรลงเพื่อที่ประเทศอุตสาหกรรมจะได้ปรับลดอัตรา
ค่าธรรมเนียมสินค้าอุตสาหกรรมและการบริการลงเพื่อเป็นการเปิดตลาดสินค้าดังกล่าว ซึ่งความคืบหน้าในการเจรจาทางการค้าดังกล่าว
ทั้งประเทศร่ำรวยและประเทศยากจน ต่างเห็นว่าประเทศคู่ค้าของตนมักจะให้ตนปฏิบัติตามแนวทางที่ต้องการ ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้ปฏิบัติตามนั้น
(รอยเตอร์)
3. เกาหลีใต้ขาดดุลการค้า 3.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในช่วง 20 วันแรกของเดือน ก.พ.51 รายงานจากกรุงโซล ประเทศ
เกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 20 ก.พ.51 เจ้าหน้าที่ ก.พาณิชย์ของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า เกาหลีใต้ขาดดุลการค้า 3.9 พันล้านดอลลาร์สรอ.
ในช่วง 20 วันแรกของเดือน ก.พ.51 นับเป็นการขาดดุลต่อเนื่องจากเดือน ม.ค.51 และ ธ.ค.50 อันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น
โดยการนำเข้ามีมูลค่ารวม 21.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.2 จากปีก่อน ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.7 ซึ่งส่งผล
ให้เงินวอนอ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบกว่า 3 สัปดาห์เมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. (รอยเตอร์)
4. เกาหลีใต้คาดว่าราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้น รายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
เมื่อวันที่ 21 ก.พ.51 ก.คลังของเกาหลีใต้ คาดการณ์ว่าราคาวัตถุดิบในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นในระยะนี้ รวมถึงราคาน้ำมัน ทองคำขาว
และเมล็ดพันธุ์พืช เช่น ถั่วเหลือง อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อของเกาหลีใต้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมมาตรการหลายอย่างไว้รองรับ
สถานการณ์ดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วหลังจากที่ ธ.กลางเกาหลีใต้ได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมติดต่อกันเป็น
เดือนที่ 6 ผู้ว่าการ ธ.กลางเกาหลีใต้กล่าวว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้จะค่อย ๆ ชะลอตัวลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในเดือน ม.ค.51 อยู่
ที่ร้อยละ 3.9 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 22 ก.พ. 51 20 ก.พ. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 32.459 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 32.2676/32.6020 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.26750 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 827.13/19.29 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 14,350/14,450 14,150/14,250 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 93.70 90.93 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 33.19*/29.54* 32.79/29.14 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 21 ก.พ. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--