นางอัจนา ไวความดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันนี้ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มในระยะต่อไป เพื่อกำหนดแนวนโยบายการเงินที่เหมาะสม โดยมีประเด็นที่สำคัญ ดังนี้
1. จากการประเมินข้อมูลล่าสุด เศรษฐกิจไทยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2548 แสดงทิศทางการ ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง เพราะได้รับปัจจัยลบจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ภัยธรรมชาติ ความไม่สงบในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ ตลอดจนการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี คณะกรรมการฯ ประเมินว่า ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว น่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ในระยะยาวเศรษฐกิจยังมีพื้นฐานที่ดีและมีแรงขับเคลื่อนที่จะเติบโตในอัตราที่ ยอมรับได้
2. อัตราเงินเฟ้อได้เร่งตัวตามราคาพลังงาน โดยในเดือนมีนาคม อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อ พื้นฐานปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.2 และ 0.8 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม โอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะสูงกว่า เป้าหมายในระยะ 8 ไตรมาสข้างหน้าอยู่ในระดับต่ำ
3. แม้ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มที่จะขาดดุลในไตรมาสแรกเพราะมูลค่าการนำเข้าเร่งตัวสูง ผิดปกติ ส่วนหนึ่งเพราะปัจจัยราคาน้ำมันและการสะสมสินค้าคงคลังในสินค้าบางชนิดที่คาดว่าราคาจะสูงขึ้น แต่ดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งปี 2548 คาดว่าจะยังคงเกินดุล
4. คณะกรรมการฯ เห็นว่า โอกาสที่เงินเฟ้อจะเร่งตัวสูงขึ้นยังมีอยู่ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายจึง ควรอยู่ในทิศทางขาขึ้นต่อไป แต่ในภาวะที่ความเสี่ยงของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีเพิ่มขึ้นจากปัจจัยลบทั้ง ภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง และในขณะเดียวกันยังไม่มีสัญญาณของการสะสม ความไม่สมดุลทางการเงินอันเกิดจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำผิดปกติ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงควรทำอย่างค่อย เป็นค่อยไป เพื่อให้ภาวะการเงินในปัจจุบันเอื้อต่อการปรับตัวของธุรกิจภายใต้ความเสี่ยงดังกล่าว คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันที่ร้อยละ 2.25 ต่อปี ไว้อีกระยะหนึ่ง
ข้อมูลเพิ่มเติม : คุณผจงจิต จิตตะมัย โทร 0 2283 5621 e-mail: pajongjj@bot.or.th
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. จากการประเมินข้อมูลล่าสุด เศรษฐกิจไทยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2548 แสดงทิศทางการ ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง เพราะได้รับปัจจัยลบจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ภัยธรรมชาติ ความไม่สงบในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ ตลอดจนการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี คณะกรรมการฯ ประเมินว่า ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว น่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ในระยะยาวเศรษฐกิจยังมีพื้นฐานที่ดีและมีแรงขับเคลื่อนที่จะเติบโตในอัตราที่ ยอมรับได้
2. อัตราเงินเฟ้อได้เร่งตัวตามราคาพลังงาน โดยในเดือนมีนาคม อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อ พื้นฐานปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.2 และ 0.8 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม โอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะสูงกว่า เป้าหมายในระยะ 8 ไตรมาสข้างหน้าอยู่ในระดับต่ำ
3. แม้ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มที่จะขาดดุลในไตรมาสแรกเพราะมูลค่าการนำเข้าเร่งตัวสูง ผิดปกติ ส่วนหนึ่งเพราะปัจจัยราคาน้ำมันและการสะสมสินค้าคงคลังในสินค้าบางชนิดที่คาดว่าราคาจะสูงขึ้น แต่ดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งปี 2548 คาดว่าจะยังคงเกินดุล
4. คณะกรรมการฯ เห็นว่า โอกาสที่เงินเฟ้อจะเร่งตัวสูงขึ้นยังมีอยู่ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายจึง ควรอยู่ในทิศทางขาขึ้นต่อไป แต่ในภาวะที่ความเสี่ยงของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีเพิ่มขึ้นจากปัจจัยลบทั้ง ภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง และในขณะเดียวกันยังไม่มีสัญญาณของการสะสม ความไม่สมดุลทางการเงินอันเกิดจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำผิดปกติ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงควรทำอย่างค่อย เป็นค่อยไป เพื่อให้ภาวะการเงินในปัจจุบันเอื้อต่อการปรับตัวของธุรกิจภายใต้ความเสี่ยงดังกล่าว คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันที่ร้อยละ 2.25 ต่อปี ไว้อีกระยะหนึ่ง
ข้อมูลเพิ่มเติม : คุณผจงจิต จิตตะมัย โทร 0 2283 5621 e-mail: pajongjj@bot.or.th
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--