นางอัจนา ไวความดี ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงถึง ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันนี้ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มในระยะต่อไป เพื่อกำหนดแนวนโยบายการเงินที่เหมาะสม โดยมีประเด็นที่สำคัญ ดังนี้
1. จากการประเมินข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด เศรษฐกิจไทยใน 11 เดือนแรกของปียังขยายตัวในเกณฑ์ที่น่า พอใจ ทั้งจากภาคการส่งออกและการขยายตัวของการใช้จ่ายภาคเอกชน รวมทั้งมาตรการภาครัฐ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯ ได้ประเมินผลกระทบของเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่มีต่อเศรษฐกิจไทย มีความเห็นว่า เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากการ ลดลงของรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลต่อการใช้จ่ายภาคเอกชน แต่จะได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการลงทุนและการใช้จ่าย ภาครัฐ
2. ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนธันวาคมยังคงอยู่ในระดับสูง แต่ชะลอลงเล็กน้อย โดยอยู่ที่ร้อยละ 2.9 ต่อปี เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงและค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง มีส่วนช่วยลดแรงกดดัน ด้านเงินเฟ้อให้ผ่อนคลายลง ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนธันวาคม อยู่ที่ร้อยละ 0.6 ต่อปี สำหรับเสถียรภาพ ต่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลในปี 2547 และมีแนวโน้มที่จะเกินดุลต่อเนื่องในปีนี้
3. คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่อยู่ในระดับต่ำเป็นสิ่งที่ควรดูแล และควรปรับ เข้าสู่ระดับที่เหมาะสมอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะหากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงยังคงติดลบต่อเนื่อง จะส่งผลให้หนี้ ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นและการออมในระบบเศรษฐกิจมีน้อยกว่าที่ควร อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น กอปรกับ ความผันผวนของตลาดเงินตราต่างประเทศและราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของ เศรษฐกิจไทย คณะกรรมการฯ จึงเห็นควรให้รอดูผลกระทบต่อเศรษฐกิจอีกสักระยะหนึ่ง คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันไว้ที่ร้อยละ 2 ต่อปี
ข้อมูลเพิ่มเติม : คุณผจงจิต จิตตะมัย โทร 0 2283 5621 e-mail: pajongjj@bot.or.th
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. จากการประเมินข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด เศรษฐกิจไทยใน 11 เดือนแรกของปียังขยายตัวในเกณฑ์ที่น่า พอใจ ทั้งจากภาคการส่งออกและการขยายตัวของการใช้จ่ายภาคเอกชน รวมทั้งมาตรการภาครัฐ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯ ได้ประเมินผลกระทบของเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่มีต่อเศรษฐกิจไทย มีความเห็นว่า เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากการ ลดลงของรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลต่อการใช้จ่ายภาคเอกชน แต่จะได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการลงทุนและการใช้จ่าย ภาครัฐ
2. ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนธันวาคมยังคงอยู่ในระดับสูง แต่ชะลอลงเล็กน้อย โดยอยู่ที่ร้อยละ 2.9 ต่อปี เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงและค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง มีส่วนช่วยลดแรงกดดัน ด้านเงินเฟ้อให้ผ่อนคลายลง ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนธันวาคม อยู่ที่ร้อยละ 0.6 ต่อปี สำหรับเสถียรภาพ ต่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลในปี 2547 และมีแนวโน้มที่จะเกินดุลต่อเนื่องในปีนี้
3. คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่อยู่ในระดับต่ำเป็นสิ่งที่ควรดูแล และควรปรับ เข้าสู่ระดับที่เหมาะสมอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะหากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงยังคงติดลบต่อเนื่อง จะส่งผลให้หนี้ ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นและการออมในระบบเศรษฐกิจมีน้อยกว่าที่ควร อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น กอปรกับ ความผันผวนของตลาดเงินตราต่างประเทศและราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของ เศรษฐกิจไทย คณะกรรมการฯ จึงเห็นควรให้รอดูผลกระทบต่อเศรษฐกิจอีกสักระยะหนึ่ง คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันไว้ที่ร้อยละ 2 ต่อปี
ข้อมูลเพิ่มเติม : คุณผจงจิต จิตตะมัย โทร 0 2283 5621 e-mail: pajongjj@bot.or.th
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--