นางอัจนา ไวความดี ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงถึงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันนี้ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มในระยะต่อไป เพื่อกำหนดแนวนโยบายการเงินที่เหมาะสม โดยมีประเด็นที่สำคัญ ดังนี้
1. จากข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจของประเทศมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยมีการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนเป็นปัจจัยสนับสนุน แต่ปัจจัยที่ต้องติดตามเป็นพิเศษ ได้แก่ ราคาน้ำมัน เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไป
2. ในเดือนกรกฎาคม อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน แม้จะมีมาตรการตรึงราคาน้ำมันในประเทศ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 จากปีก่อนหน้า และเมื่อปรับปัจจัยฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 จากเดือนมิถุนายน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานก็เร่งตัวเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 จากปีก่อนหน้า และเมื่อปรับปัจจัยฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 จากเดือนมิถุนายน คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า ในระยะต่อไปแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศจะมีมากขึ้น ทั้งจากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงต่อเนื่อง การปรับสูงขึ้นของราคาน้ำมันในประเทศ และจากตลาดแรงงานที่เริ่มตึงตัวขึ้น ดังนั้น แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะแรงกดดันนั้น อาจจะมีมากกว่าที่สะท้อนในดัชนีราคาปกติ เนื่องจากการควบคุมราคาของสินค้าบางประเภท
3. เสถียรภาพต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล หนี้ต่างประเทศปรับลดลง และเงินทุนสำรองทางการเพิ่มสูงขึ้น คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า ในระยะต่อไปแรงกดดันต่อดุลบัญชีเดินสะพัดจะมีมากขึ้นเช่นกัน ทั้งจากการขยายตัวของการใช้จ่ายในประเทศและจากราคาน้ำมัน
4. ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความไม่สมดุลที่อาจส่อเค้าปัญหาทางการเงิน คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า ขณะนี้แม้จะไม่มีสัญญาณชัดเจนที่แสดงความร้อนแรงในหนี้ภาคครัวเรือนและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ควรต้องติดตามทั้งสองประเด็นนี้
5. คณะกรรมการฯ ได้ประเมินความเสี่ยงที่จะมีต่อเศรษฐกิจจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น และมีความเห็นว่า ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นจะมีผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากกว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และความเข้มแข็งของพื้นฐานของเศรษฐกิจบวกกับฐานะการคลังของประเทศที่อยู่ในเกณฑ์ดี จะช่วยทำให้เศรษฐกิจสามารถปรับตัวต่อราคาน้ำมันที่แพงขึ้น โดยไม่ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจต้องชะงักงัน
6. จากแนวโน้มที่เศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ขยายตัว แต่ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจมีมากขึ้น คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า ความจำเป็นของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำอย่างในปัจจุบันมีน้อยลง และนโยบายการเงินควรมีการปรับทิศทางเพื่อให้เหมาะสมกับการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยการปรับเปลี่ยนควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป
คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน ร้อยละ 0.25 ต่อปี จากปัจจุบันที่ร้อยละ 1.25 ต่อปี เป็นร้อยละ 1.50 ต่อปี โดยมีผลทันทีในวันนี้ และให้ติดตามปัจจัยที่จะมีผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะต่อไปอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะราคาน้ำมันในตลาดโลก
ข้อมูลเพิ่มเติม : คุณผจงจิต จิตตะมัย โทร 0 2283 5621 e-mail: pajongjj@bot.or.th
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. จากข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจของประเทศมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยมีการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนเป็นปัจจัยสนับสนุน แต่ปัจจัยที่ต้องติดตามเป็นพิเศษ ได้แก่ ราคาน้ำมัน เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไป
2. ในเดือนกรกฎาคม อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน แม้จะมีมาตรการตรึงราคาน้ำมันในประเทศ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 จากปีก่อนหน้า และเมื่อปรับปัจจัยฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 จากเดือนมิถุนายน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานก็เร่งตัวเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 จากปีก่อนหน้า และเมื่อปรับปัจจัยฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 จากเดือนมิถุนายน คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า ในระยะต่อไปแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศจะมีมากขึ้น ทั้งจากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงต่อเนื่อง การปรับสูงขึ้นของราคาน้ำมันในประเทศ และจากตลาดแรงงานที่เริ่มตึงตัวขึ้น ดังนั้น แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะแรงกดดันนั้น อาจจะมีมากกว่าที่สะท้อนในดัชนีราคาปกติ เนื่องจากการควบคุมราคาของสินค้าบางประเภท
3. เสถียรภาพต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล หนี้ต่างประเทศปรับลดลง และเงินทุนสำรองทางการเพิ่มสูงขึ้น คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า ในระยะต่อไปแรงกดดันต่อดุลบัญชีเดินสะพัดจะมีมากขึ้นเช่นกัน ทั้งจากการขยายตัวของการใช้จ่ายในประเทศและจากราคาน้ำมัน
4. ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความไม่สมดุลที่อาจส่อเค้าปัญหาทางการเงิน คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า ขณะนี้แม้จะไม่มีสัญญาณชัดเจนที่แสดงความร้อนแรงในหนี้ภาคครัวเรือนและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ควรต้องติดตามทั้งสองประเด็นนี้
5. คณะกรรมการฯ ได้ประเมินความเสี่ยงที่จะมีต่อเศรษฐกิจจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น และมีความเห็นว่า ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นจะมีผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากกว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และความเข้มแข็งของพื้นฐานของเศรษฐกิจบวกกับฐานะการคลังของประเทศที่อยู่ในเกณฑ์ดี จะช่วยทำให้เศรษฐกิจสามารถปรับตัวต่อราคาน้ำมันที่แพงขึ้น โดยไม่ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจต้องชะงักงัน
6. จากแนวโน้มที่เศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ขยายตัว แต่ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจมีมากขึ้น คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า ความจำเป็นของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำอย่างในปัจจุบันมีน้อยลง และนโยบายการเงินควรมีการปรับทิศทางเพื่อให้เหมาะสมกับการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยการปรับเปลี่ยนควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป
คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน ร้อยละ 0.25 ต่อปี จากปัจจุบันที่ร้อยละ 1.25 ต่อปี เป็นร้อยละ 1.50 ต่อปี โดยมีผลทันทีในวันนี้ และให้ติดตามปัจจัยที่จะมีผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะต่อไปอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะราคาน้ำมันในตลาดโลก
ข้อมูลเพิ่มเติม : คุณผจงจิต จิตตะมัย โทร 0 2283 5621 e-mail: pajongjj@bot.or.th
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--