ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. ดูแลค่าเงินบาทได้หลังยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงินธปท.
กล่าวว่า หลังจาก ธปท. ยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 เมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา ธปท. ยังสามารถดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าขึ้น
อย่างรวดเร็วได้ เนื่องจากช่วงที่ ธปท. ยกเลิกมาตรการดังกล่าวเป็นช่วงที่สถานการณ์การเงินโลกได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพร์มของ สรอ.
และส่งผลให้ระบบการเงินและสถาบันการเงินขนาดใหญ่ในโลกเริ่มมีปัญหาขาดสภาพคล่อง รวมทั้งกองทุนเก็งกำไรหลายแห่งขาดทุนจากการลงทุน
ในซับไพร์ม ทำให้เงินทุนที่คาดว่าจะไหลเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาทลดลงไป ซึ่ง ธปท. มองว่าประเทศไทยและค่าเงินบาทอาจจะไม่ตกเป็น
เป้าหมายใหญ่ในการเก็งกำไรค่าเงินบาทเหมือนในอดีต ขณะที่ในช่วงเดือน มี.ค. จะมีเงินทุนไหลเข้ามามากในตลาดตราสารหนี้ โดยเฉลี่ย
ทั้งเดือนประมาณ 300 — 400 ล้านดอลลาร์ สรอ. แต่ในตลาดหุ้นยังเป็นการไหลออก ส่วนการไหลเข้าจากการกู้เงินต่างประเทศของ
นักลงทุนไทยยังมีไม่มาก ขณะที่เงินทุนส่วนหนึ่งถูกดึงกลับเนื่องจากตลาดโลกเกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง นอกจากนี้ การขาดดุลการค้าที่เกิดขึ้น
ต่อเนื่อง 2 เดือน ทำให้เห็นสัญญาณว่าจะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น แสดงว่ามีเงินไหลออกบ้างไม่ใช่ไหลเข้าขาเดียวเหมือนก่อน และการที่เศรษฐกิจ
มีการฟื้นตัวทำให้เริ่มเห็นการลงทุนเพิ่มขึ้นบ้างแล้ว มีการนำเงินออกไปซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์ ซึ่งถ้าจะลงทุนในช่วงที่ค่าเงินแข็งค่าน่าจะเป็น
โอกาสดี เพราะอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันก็ไม่สูง น่าจะเป็นผลดีต่อนักลงทุนและยังส่งผลดีต่อการดูแลค่าเงินบาท ช่วยให้แรงกดดันเงินบาท
ให้แข็งค่าน้อยลงไปด้วย (ไทยรัฐ, ผู้จัดการรายวัน)
2. ก.คลังเตรียมทบทวนเป้าหมายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 51 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผอ.กลุ่มวิเคราะห์เศรษฐกิจ
มหภาค สนง.เศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ในวันที่ 26 มี.ค.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจของ ก.คลัง และจะ
เชิญตัวแทนจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ธปท. และ ธ.พาณิชย์ มาประเมินภาพรวมเศรษฐกิจร่วมกัน
เพื่อปรับเป้าหมายการขยายตัวของเศรษฐกิจปี 51 ใหม่อีกครั้ง จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 4.5 — 5.5 ทั้งนี้ เนื่องจากเป้าหมายเดิมที่
ตั้งไว้ยังไม่ได้รวมข้อมูลมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ทั้งมาตรการทางภาษี การลงทุนเมกะโปรเจค การดูแลผู้ประกอบการ
และชุมชนผ่านนโยบายต่าง ๆ รวมถึงปัญหาราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (กรุงเทพธุรกิจ)
3. พรรคประชาธิปัตย์เตรียมเสนอกฎหมายเกี่ยวกับบัตรเครดิตและการติดตามหนี้ นายกรณ์ จาติกวณิช และ นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค
สส.พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันแถลงหลังการสัมมนาเรื่องการเสนอกฎหมายบัตรเครดิตและหนี้บัตรเครดิต โดยระบุว่าพรรคเปิดรับฟังความเห็น
เกี่ยวกับร่างกฎหมาย 3 ฉบับ ที่จะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ประกอบด้วยร่าง พรบ.ติดตามทวงหนี้ที่เป็นธรรม ร่าง พรบ.ข้อมูลเครดิต
และร่าง พรบ.บัตรเครดิต เพื่อให้การทำงานของพรรคเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง และนำไปปรับแก้ร่าง พรบ. ก่อนเสนอต่อสภาในสัปดาห์หน้า
แต่หากยังปรับปรุงไม่เสร็จก็จะเสนอในสัปดาห์ต่อไป ทั้งนี้ ที่ต้องเสนอร่าง พรบ. ทั้ง 3 ฉบับ เนื่องจากแม้ว่า ธปท. จะมีระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับ
การออกบัตรเครดิตและการทวงหนี้อยู่แล้ว แต่เห็นว่ายังไม่มีกฎหมายใช้เป็นหลักในการปฏิบัติอย่างชัดเจนทำให้ดูแลได้ไม่ทั่วถึง เพราะ ธปท.
จะกำกับดูแลเฉพาะ ธ.พาณิชย์ แต่เรื่องนี้มีหน่วยงานหรือบริษัทอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องมาก จึงเห็นควรให้มีหน่วยงานขึ้นมากำกับดูแลให้ชัดเจน ทั้งนี้
ในช่วง 5 — 6 ปีที่ผ่านมา มีปัญหาจากการใช้บัตรเครดิตมากขึ้น โดยมีบัตรเครดิตที่มีปัญหามากกว่า 12 ล้านบัตรทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมี
ปัญหาเรื่องสินเชื่อส่วนบุคคลที่สมควรได้รับการแก้ไข ซึ่งเนื้อหาในร่าง พรบ.ทั้ง 3 ฉบับ จะกำหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลบัตรเครดิตที่ชัดเจน
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายขยายวงกว้าง โดยจะกำหนดจำนวนการถือบัตรโดยดูจากรายได้ ส่วนเนื้อหาในร่าง พรบ.ติดตามทวงหนี้
ที่เป็นธรรมจะมีข้อกำหนดให้จัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาดูแลจัดการปัญหานี้โดยตรง เพื่อให้ลูกหนี้มีที่ร้องเรียนเวลาถูกทวงหนี้อย่างไม่เป็นธรรม
ใช้ความรุนแรง หรือใช้วิธีที่ผิดกฎหมาย ให้กำหนดมาตรฐานการทวงหนี้ ห้ามติดต่อลูกหนี้เกินวันละ 1 ครั้ง ห้ามผู้ติดตามหนี้กระทำการละเมิด
และคุกคามในการติดตามทวงถามหนี้ (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ, มติชน)
4. ก.คลังศึกษาแนวทางการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการอีกร้อยละ 4 นายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการ
พลเรือน เปิดเผยว่า รมว.คลังต้องการปรับรายได้ให้กับข้าราชการเพื่อรองรับค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยสั่งการให้กรมบัญชีกลางและสำนักปลัด
ก.คลัง ร่วมกันศึกษาแนวทางการปรับเงินเดือนข้าราชการที่มีอยู่ประมาณ 1.9 ล้านคน โดยการปรับเพิ่มครั้งนี้จะเน้นให้ข้าราชการชั้นผู้น้อย
เป็นหลัก ซึ่งมีทางเลือกหลายทางที่จะเสนอให้ รมว.คลังตัดสินใจคือ ปรับเฉพาะข้าราชการระดับ 6 ลงมา หรือปรับตั้งแต่ข้าราชการระดับ 7
ลงมา โดยทั้งสองแนวทางมีผลต่อเงินงบประมาณ เพราะมีส่วนต่างจำนวนข้าราชการกว่า 1 แสนคน (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดค้าปลีกของอังกฤษในเดือน ก.พ.51 ขยายตัวผิดจากที่คาดไว้ว่าจะลดลง รายงานจากลอนดอน เมื่อ 20 มี.ค.51 สนง.
สถิติแห่งชาติของอังกฤษรายงานยอดค้าปลีกของอังกฤษเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 ต่อเดือนและร้อยละ 5.5 ต่อปีในเดือน ก.พ.51 ผิดจากที่คาดไว้ว่า
จะลดลงร้อยละ 0.2 ต่อเดือน แม้ว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 13 ปี และรายได้ของภาคครัวเรือนลดลงก็ตาม
โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นอาหาร ในขณะที่ยอดขายสินค้าที่มีราคาสูงลดลง เช่นสินค้าเครื่องใช้ในบ้านที่ยอดขายลดลงในอัตราสูงสุดใน
รอบ 8 ปี ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคชะลอการซื้อสินค้าที่มีราคาสูง ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่า ธ.กลางอังกฤษจะคงอัตราดอกเบี้ยใน
ปัจจุบันไปจนถึงเดือน พ.ค.ปีนี้ ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาในระบบการเงินและเศรษฐกิจ
สรอ.ที่คาดว่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยผลสำรวจคาดว่าอัตราดอกเบี้ยอาจลดลงเหลือร้อยละ 4.5 ต่อปีภายในสิ้นปีนี้ จากระดับปัจจุบันซึ่ง
อยู่ที่ร้อยละ 5.25 ต่อปี (รอยเตอร์)
2. ผลสำรวจคาดว่าความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในเยอรมนีจะลดลงในเดือน มี.ค.51 เป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน รายงาน
จากเบอร์ลิน เมื่อ 20 มี.ค.51 ผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์คาดว่าดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในเยอรมนี
จากผลสำรวจความเห็นของธุรกิจประมาณ 7,000 แห่งโดย Ifo ซึ่งมีกำหนดจะรายงานอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 มี.ค.51 นี้ จะลดลง
มาอยู่ที่ระดับ 103.3 ในเดือน มี.ค.51 ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน หลังจากเพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดมาก่อนมาอยู่ที่ระดับ 104.1 ในเดือน
ก.พ.51 ทั้งนี้ จากปัจจัยลบต่าง ๆ เช่นการแข็งค่าของเงินยูโร ราคาน้ำมันและต้นทุนการกู้ยืมเงินที่สูงขึ้นจากปัญหาในตลาดการเงิน รวมถึง
เศรษฐกิจ สรอ.ที่มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอย (รอยเตอร์)
3. ความเชื่อมั่นทางธุรกิจของผู้ประกอบการผลิตรายใหญ่ของญี่ปุ่นในช่วงไตรมาสแรกปี 51 ลดลงต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 45 รายงานจาก
โตเกียวเมื่อ 24 มี.ค.51 The Ministry of Finance and the Economic and Social Research Institute (MOF) เปิดเผย
ผลการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจของผู้ประกอบการผลิตรายใหญ่ของญี่ปุ่นในช่วงไตรมาสแรกปี 51 ว่า ลดลงต่ำสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจ
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 45 โดยดัชนีอยู่ที่ระดับ -12.9 จากระดับ -5.2 ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ
นอกภาคการผลิตรายใหญ่ในช่วงเวลาเดียวกันลดลงที่ระดับ -7.2 จากระดับ -2.2 ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ
โดยรวมทั้งภาคการผลิตและนอกภาคการผลิตลดลงที่ระดับ -9.3 สวนทางกับระดับ +0.5 ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้ การที่ความเชื่อมั่นฯ
ลดลงดังกล่าว มีสาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบ และสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจพบว่า
ผู้ประกอบการยังคงเชื่อว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นในระยะต่อไป ทำให้ MOF คาดการณ์ว่าความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในช่วงไตรมาสที่ 2
ของปี จะปรับตัวดีขึ้น (รอยเตอร์)
4. ทุนสำรองทางการระหว่างประเทศของจีนในเดือน ก.พ.51 เพิ่มขึ้น 57.3 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. รายงานจากปักกิ่ง
เมื่อ 21 มี.ค.51 The People’s Bank of China (PBOC) เปิดเผยตัวเลขทุนสำรองทางการระหว่างประเทศของจีนในเดือน ก.พ.51 ว่า
มีจำนวน 1.6471 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น 57.3 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. เทียบต่อเดือน นับเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราชะลอลงจากที่เพิ่มขึ้น
61.6 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่เมื่อเทียบต่อปี ทุนสำรองฯ เพิ่มขึ้นในอัตราขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
ที่ทุนสำรองฯ เพิ่มขึ้น 38.5 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ การที่ทุนสำรองฯ ของจีนในเดือน ก.พ. เพิ่มขึ้นดังกล่าว เป็นผลจากการที่ ธ.กลางจีน
ดำเนินนโยบายการเงินเพื่อลดความร้อนแรงของค่าเงินหยวน ด้วยการเข้าซื้อเงินดอลลาร์ส่วนใหญ่ที่ไหลเข้าประเทศ เพื่อให้เงินหยวนอ่อนค่าลง
จากนั้นจึงเข้าดูดซับสภาพคล่องเพื่อให้ปริมาณเงินหยวนในประเทศที่เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับที่เหมาะสม (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 24 มี.ค. 51 21 มี.ค. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.284 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.0619/31.4041 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25000 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 803.32/9.94 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,700/13,800 13,900/14,000 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 92.69 92.05 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 34.09*/30.24** 34.59/30.24** 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับลดลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 22 มี.ค. 51
**ปรับเพิ่มลิตรละ 30 สตางค์เมื่อ 18 มี.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. ดูแลค่าเงินบาทได้หลังยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงินธปท.
กล่าวว่า หลังจาก ธปท. ยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 เมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา ธปท. ยังสามารถดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าขึ้น
อย่างรวดเร็วได้ เนื่องจากช่วงที่ ธปท. ยกเลิกมาตรการดังกล่าวเป็นช่วงที่สถานการณ์การเงินโลกได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพร์มของ สรอ.
และส่งผลให้ระบบการเงินและสถาบันการเงินขนาดใหญ่ในโลกเริ่มมีปัญหาขาดสภาพคล่อง รวมทั้งกองทุนเก็งกำไรหลายแห่งขาดทุนจากการลงทุน
ในซับไพร์ม ทำให้เงินทุนที่คาดว่าจะไหลเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาทลดลงไป ซึ่ง ธปท. มองว่าประเทศไทยและค่าเงินบาทอาจจะไม่ตกเป็น
เป้าหมายใหญ่ในการเก็งกำไรค่าเงินบาทเหมือนในอดีต ขณะที่ในช่วงเดือน มี.ค. จะมีเงินทุนไหลเข้ามามากในตลาดตราสารหนี้ โดยเฉลี่ย
ทั้งเดือนประมาณ 300 — 400 ล้านดอลลาร์ สรอ. แต่ในตลาดหุ้นยังเป็นการไหลออก ส่วนการไหลเข้าจากการกู้เงินต่างประเทศของ
นักลงทุนไทยยังมีไม่มาก ขณะที่เงินทุนส่วนหนึ่งถูกดึงกลับเนื่องจากตลาดโลกเกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง นอกจากนี้ การขาดดุลการค้าที่เกิดขึ้น
ต่อเนื่อง 2 เดือน ทำให้เห็นสัญญาณว่าจะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น แสดงว่ามีเงินไหลออกบ้างไม่ใช่ไหลเข้าขาเดียวเหมือนก่อน และการที่เศรษฐกิจ
มีการฟื้นตัวทำให้เริ่มเห็นการลงทุนเพิ่มขึ้นบ้างแล้ว มีการนำเงินออกไปซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์ ซึ่งถ้าจะลงทุนในช่วงที่ค่าเงินแข็งค่าน่าจะเป็น
โอกาสดี เพราะอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันก็ไม่สูง น่าจะเป็นผลดีต่อนักลงทุนและยังส่งผลดีต่อการดูแลค่าเงินบาท ช่วยให้แรงกดดันเงินบาท
ให้แข็งค่าน้อยลงไปด้วย (ไทยรัฐ, ผู้จัดการรายวัน)
2. ก.คลังเตรียมทบทวนเป้าหมายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 51 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผอ.กลุ่มวิเคราะห์เศรษฐกิจ
มหภาค สนง.เศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ในวันที่ 26 มี.ค.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจของ ก.คลัง และจะ
เชิญตัวแทนจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ธปท. และ ธ.พาณิชย์ มาประเมินภาพรวมเศรษฐกิจร่วมกัน
เพื่อปรับเป้าหมายการขยายตัวของเศรษฐกิจปี 51 ใหม่อีกครั้ง จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 4.5 — 5.5 ทั้งนี้ เนื่องจากเป้าหมายเดิมที่
ตั้งไว้ยังไม่ได้รวมข้อมูลมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ทั้งมาตรการทางภาษี การลงทุนเมกะโปรเจค การดูแลผู้ประกอบการ
และชุมชนผ่านนโยบายต่าง ๆ รวมถึงปัญหาราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (กรุงเทพธุรกิจ)
3. พรรคประชาธิปัตย์เตรียมเสนอกฎหมายเกี่ยวกับบัตรเครดิตและการติดตามหนี้ นายกรณ์ จาติกวณิช และ นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค
สส.พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันแถลงหลังการสัมมนาเรื่องการเสนอกฎหมายบัตรเครดิตและหนี้บัตรเครดิต โดยระบุว่าพรรคเปิดรับฟังความเห็น
เกี่ยวกับร่างกฎหมาย 3 ฉบับ ที่จะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ประกอบด้วยร่าง พรบ.ติดตามทวงหนี้ที่เป็นธรรม ร่าง พรบ.ข้อมูลเครดิต
และร่าง พรบ.บัตรเครดิต เพื่อให้การทำงานของพรรคเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง และนำไปปรับแก้ร่าง พรบ. ก่อนเสนอต่อสภาในสัปดาห์หน้า
แต่หากยังปรับปรุงไม่เสร็จก็จะเสนอในสัปดาห์ต่อไป ทั้งนี้ ที่ต้องเสนอร่าง พรบ. ทั้ง 3 ฉบับ เนื่องจากแม้ว่า ธปท. จะมีระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับ
การออกบัตรเครดิตและการทวงหนี้อยู่แล้ว แต่เห็นว่ายังไม่มีกฎหมายใช้เป็นหลักในการปฏิบัติอย่างชัดเจนทำให้ดูแลได้ไม่ทั่วถึง เพราะ ธปท.
จะกำกับดูแลเฉพาะ ธ.พาณิชย์ แต่เรื่องนี้มีหน่วยงานหรือบริษัทอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องมาก จึงเห็นควรให้มีหน่วยงานขึ้นมากำกับดูแลให้ชัดเจน ทั้งนี้
ในช่วง 5 — 6 ปีที่ผ่านมา มีปัญหาจากการใช้บัตรเครดิตมากขึ้น โดยมีบัตรเครดิตที่มีปัญหามากกว่า 12 ล้านบัตรทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมี
ปัญหาเรื่องสินเชื่อส่วนบุคคลที่สมควรได้รับการแก้ไข ซึ่งเนื้อหาในร่าง พรบ.ทั้ง 3 ฉบับ จะกำหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลบัตรเครดิตที่ชัดเจน
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายขยายวงกว้าง โดยจะกำหนดจำนวนการถือบัตรโดยดูจากรายได้ ส่วนเนื้อหาในร่าง พรบ.ติดตามทวงหนี้
ที่เป็นธรรมจะมีข้อกำหนดให้จัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาดูแลจัดการปัญหานี้โดยตรง เพื่อให้ลูกหนี้มีที่ร้องเรียนเวลาถูกทวงหนี้อย่างไม่เป็นธรรม
ใช้ความรุนแรง หรือใช้วิธีที่ผิดกฎหมาย ให้กำหนดมาตรฐานการทวงหนี้ ห้ามติดต่อลูกหนี้เกินวันละ 1 ครั้ง ห้ามผู้ติดตามหนี้กระทำการละเมิด
และคุกคามในการติดตามทวงถามหนี้ (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ, มติชน)
4. ก.คลังศึกษาแนวทางการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการอีกร้อยละ 4 นายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการ
พลเรือน เปิดเผยว่า รมว.คลังต้องการปรับรายได้ให้กับข้าราชการเพื่อรองรับค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยสั่งการให้กรมบัญชีกลางและสำนักปลัด
ก.คลัง ร่วมกันศึกษาแนวทางการปรับเงินเดือนข้าราชการที่มีอยู่ประมาณ 1.9 ล้านคน โดยการปรับเพิ่มครั้งนี้จะเน้นให้ข้าราชการชั้นผู้น้อย
เป็นหลัก ซึ่งมีทางเลือกหลายทางที่จะเสนอให้ รมว.คลังตัดสินใจคือ ปรับเฉพาะข้าราชการระดับ 6 ลงมา หรือปรับตั้งแต่ข้าราชการระดับ 7
ลงมา โดยทั้งสองแนวทางมีผลต่อเงินงบประมาณ เพราะมีส่วนต่างจำนวนข้าราชการกว่า 1 แสนคน (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดค้าปลีกของอังกฤษในเดือน ก.พ.51 ขยายตัวผิดจากที่คาดไว้ว่าจะลดลง รายงานจากลอนดอน เมื่อ 20 มี.ค.51 สนง.
สถิติแห่งชาติของอังกฤษรายงานยอดค้าปลีกของอังกฤษเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 ต่อเดือนและร้อยละ 5.5 ต่อปีในเดือน ก.พ.51 ผิดจากที่คาดไว้ว่า
จะลดลงร้อยละ 0.2 ต่อเดือน แม้ว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 13 ปี และรายได้ของภาคครัวเรือนลดลงก็ตาม
โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นอาหาร ในขณะที่ยอดขายสินค้าที่มีราคาสูงลดลง เช่นสินค้าเครื่องใช้ในบ้านที่ยอดขายลดลงในอัตราสูงสุดใน
รอบ 8 ปี ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคชะลอการซื้อสินค้าที่มีราคาสูง ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่า ธ.กลางอังกฤษจะคงอัตราดอกเบี้ยใน
ปัจจุบันไปจนถึงเดือน พ.ค.ปีนี้ ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาในระบบการเงินและเศรษฐกิจ
สรอ.ที่คาดว่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยผลสำรวจคาดว่าอัตราดอกเบี้ยอาจลดลงเหลือร้อยละ 4.5 ต่อปีภายในสิ้นปีนี้ จากระดับปัจจุบันซึ่ง
อยู่ที่ร้อยละ 5.25 ต่อปี (รอยเตอร์)
2. ผลสำรวจคาดว่าความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในเยอรมนีจะลดลงในเดือน มี.ค.51 เป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน รายงาน
จากเบอร์ลิน เมื่อ 20 มี.ค.51 ผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์คาดว่าดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในเยอรมนี
จากผลสำรวจความเห็นของธุรกิจประมาณ 7,000 แห่งโดย Ifo ซึ่งมีกำหนดจะรายงานอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 มี.ค.51 นี้ จะลดลง
มาอยู่ที่ระดับ 103.3 ในเดือน มี.ค.51 ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน หลังจากเพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดมาก่อนมาอยู่ที่ระดับ 104.1 ในเดือน
ก.พ.51 ทั้งนี้ จากปัจจัยลบต่าง ๆ เช่นการแข็งค่าของเงินยูโร ราคาน้ำมันและต้นทุนการกู้ยืมเงินที่สูงขึ้นจากปัญหาในตลาดการเงิน รวมถึง
เศรษฐกิจ สรอ.ที่มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอย (รอยเตอร์)
3. ความเชื่อมั่นทางธุรกิจของผู้ประกอบการผลิตรายใหญ่ของญี่ปุ่นในช่วงไตรมาสแรกปี 51 ลดลงต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 45 รายงานจาก
โตเกียวเมื่อ 24 มี.ค.51 The Ministry of Finance and the Economic and Social Research Institute (MOF) เปิดเผย
ผลการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจของผู้ประกอบการผลิตรายใหญ่ของญี่ปุ่นในช่วงไตรมาสแรกปี 51 ว่า ลดลงต่ำสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจ
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 45 โดยดัชนีอยู่ที่ระดับ -12.9 จากระดับ -5.2 ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ
นอกภาคการผลิตรายใหญ่ในช่วงเวลาเดียวกันลดลงที่ระดับ -7.2 จากระดับ -2.2 ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ
โดยรวมทั้งภาคการผลิตและนอกภาคการผลิตลดลงที่ระดับ -9.3 สวนทางกับระดับ +0.5 ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้ การที่ความเชื่อมั่นฯ
ลดลงดังกล่าว มีสาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบ และสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจพบว่า
ผู้ประกอบการยังคงเชื่อว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นในระยะต่อไป ทำให้ MOF คาดการณ์ว่าความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในช่วงไตรมาสที่ 2
ของปี จะปรับตัวดีขึ้น (รอยเตอร์)
4. ทุนสำรองทางการระหว่างประเทศของจีนในเดือน ก.พ.51 เพิ่มขึ้น 57.3 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. รายงานจากปักกิ่ง
เมื่อ 21 มี.ค.51 The People’s Bank of China (PBOC) เปิดเผยตัวเลขทุนสำรองทางการระหว่างประเทศของจีนในเดือน ก.พ.51 ว่า
มีจำนวน 1.6471 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น 57.3 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. เทียบต่อเดือน นับเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราชะลอลงจากที่เพิ่มขึ้น
61.6 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่เมื่อเทียบต่อปี ทุนสำรองฯ เพิ่มขึ้นในอัตราขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
ที่ทุนสำรองฯ เพิ่มขึ้น 38.5 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ การที่ทุนสำรองฯ ของจีนในเดือน ก.พ. เพิ่มขึ้นดังกล่าว เป็นผลจากการที่ ธ.กลางจีน
ดำเนินนโยบายการเงินเพื่อลดความร้อนแรงของค่าเงินหยวน ด้วยการเข้าซื้อเงินดอลลาร์ส่วนใหญ่ที่ไหลเข้าประเทศ เพื่อให้เงินหยวนอ่อนค่าลง
จากนั้นจึงเข้าดูดซับสภาพคล่องเพื่อให้ปริมาณเงินหยวนในประเทศที่เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับที่เหมาะสม (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 24 มี.ค. 51 21 มี.ค. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.284 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.0619/31.4041 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25000 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 803.32/9.94 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,700/13,800 13,900/14,000 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 92.69 92.05 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 34.09*/30.24** 34.59/30.24** 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับลดลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 22 มี.ค. 51
**ปรับเพิ่มลิตรละ 30 สตางค์เมื่อ 18 มี.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--