ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ระบุอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดความกังวล นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจ
ในประเทศ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การประกาศอัตราเงินเฟ้อของ ก.พาณิชย์ในเดือน มี.ค.
ที่ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.3% และคาดการณ์ว่าในไตรมาสแรกของปีนี้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยจะอยู่ที่ 5% นั้น เป็นระดับที่สูงกว่า
ประมาณการของ ธปท. ที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 3.5-4.5% อย่างไรก็ตาม เป็นระดับที่ไม่ได้สร้างความกังวลให้กับ ธปท.มากนัก
ทั้งนี้ การปรับตัวสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในเดือน มี.ค.ดังกล่าว เป็นผลจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่ ธปท.
ประมาณการไว้ ส่วนราคาพลังงานและราคาอาหารที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ไม่ได้รวมอยู่ในการคำนวณอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อ
นโยบายของ ธปท. โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือน ก.พ.ที่ ก.พาณิชย์ประกาศล่าสุดซึ่งเพิ่มขึ้น 1.5% ยังเป็นไปตามประมาณการของ
ธปท.ที่ประมาณการไว้ว่ามีโอกาส 90% ที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในไตรมาสแรกจะอยู่ระหว่าง 1-2% สำหรับการประชุมคณะกรรมการ
นโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 9 เม.ย.นี้ อาจมีการปรับปรุงตัวเลขประมาณการราคาน้ำมันดิบโลกให้สูงขึ้น เพราะมีผลโดยตรง
ต่ออัตราเงินเฟ้อ ขณะเดียวกันภาวะเศรษฐกิจในประเทศในส่วนของการที่อุปสงค์ในประเทศเพิ่มขึ้น ยังอยู่ในระดับที่กำลังการผลิตสามารถ
รองรับได้ ซึ่ง กนง.คงต้องพิจารณาประเด็นเหล่านี้ต่อไป (โลกวันนี้, ข่าวสด)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นเอสเอ็มอีในเดือน ก.พ.51 ปรับตัวลดลง นางจิตราภรณ์ เตชาชาญ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริม
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการ (เอสเอ็มอี)
ประจำเดือน ก.พ.51 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา พบว่า มีค่าดัชนีปรับตัวลดลงอยู่ที่ 42.5 จากระดับ 45.2 และเป็นการ
ปรับตัวลดลงทุกภาคธุรกิจ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศและธุรกิจตนเองปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน อยู่ที่ 39.6 และ
39.8 จากระดับ 40.8 และ 45.8 ตามลำดับ สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า รวมภาคการค้าและบริการ มีค่าดัชนี
ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยอยู่ที่ 47.4 จากระดับ 46.3 เพิ่มขึ้น 1.1 ซึ่งคาดัชนีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในทุกประเภทกิจการ (กรุงเทพธุรกิจ, ข่าวสด,
ไทยโพสต์)
3. เอดีบีคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 51 ว่าจะขยายตัว 5% นายฌอง ปิแอร์ เวอร์บิสท์ ผู้อำนวยการสำนักงานผู้แทนธนาคาร
พัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า รายงานวิเคราะห์เศรษฐกิจเอเชียประจำปี 51 คาดการณ์เศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนา
ในเอเชียว่า จะขยายตัวที่ 7.6% โดยเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 5% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตเดิมที่เคยคาดการณ์เมื่อเดือน ก.ย.50 สูงขึ้นจาก
ปีก่อนที่เติบโต 4.8% และอัตราการขยายตัวจะเพิ่มเป็น 5.2% ในปี 52 โดยประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มี
อัตราการเติบโตสูงขึ้นภายหลังการเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งเอดีบีมองว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ในอัตราดังกล่าว หากรัฐบาลผสมในปัจจุบัน
มีเสถียรภาพและสามารถดำเนินนโยบายเศรษฐกิจตามที่ได้แถลงไว้ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยง โดยเฉพาะจากปัจจัยการเมือง
ที่ยังไม่มีความชัดเจนในคดียุบพรรคการเมือง ซึ่งหากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจนทำให้รัฐบาลไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ จะมีผลกระทบ
ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ลดลงต่ำกว่า 4.8% เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศที่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นจากความมั่นใจของผู้ลงทุนและผู้บริโภค
จะลดลงไปทันที และไม่สามารถชดเชยการส่งออกที่ชะลอตัวได้ นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น สะท้อนว่าอุปสงค์ใน
ประเทศน่าจะปรับตัวดีขึ้นในปีนี้ ทำให้การนำเข้าเร่งตัว โดยคาดว่าการนำเข้าจะขยายตัว 16% ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงอยู่ที่ 3% ของจีดีพี
และการที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ จะช่วยให้การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนขยายตัวอย่างน้อย 5% ในปี 51
ส่วนปัจจัยที่ต้องจับตามองคืออัตราเงินเฟ้อ ซึ่งคาดว่าจะเร่งตัวสูงขึ้นจากปัญหาราคาน้ำมันและสินค้าที่แพงขึ้น โดยเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 4% ส่งผล
ให้การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท.เป็นไปค่อนข้างยาก (ข่าวสด, ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์)
4. สมาคมธนาคารไทยเชื่อว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว ประธานสมาคมธนาคารไทย
เปิดเผยว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ทยอยประกาศออกมา ช่วยให้ความเชื่อมั่นเริ่มฟื้นตัว เห็นได้จากนักลงทุนที่สนใจเข้ามา
เจรจากับธนาคารเพื่อลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งหากมาตรการต่างๆ สามารถเดินหน้าได้เต็มที่ จะทำให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นมาได้ ทำให้เอกชนตัดสินใจ
ลงทุน หลังจากที่กำลังการผลิตอยู่ในระดับสูงมาก ซึ่งหากไม่มีปัจจัยอื่นเข้ามากระทบคงทำให้ผลิตภัณฑ์ในประเทศ(จีดีพี)ปรับขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม
ความเสี่ยงขณะนี้เริ่มเพิ่มขึ้นจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยปัจจัยภายในคือความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่วนปัจจัยภายนอกคือ
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะชะลอตัวต่ำสุดหรือไม่ ประกอบกับราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นมาก จนกระทบต่อการขยายตัวของ
เศรษฐกิจโลก (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. เศรษฐกิจ สรอ. มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะถดถอย แต่อาจจะฟื้นตัวได้ในปลายปีนี้ รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ
วันที่ 3 เม.ย.51 Ben Bernanke ประธาน ธ.กลาง สรอ. กล่าวยอมรับเป็นครั้งแรกว่ามีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจของ สรอ. อาจจะ
กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่คาดว่าอัตราการเติบโตจะฟื้นตัวได้ในปลายปี เนื่องจากได้รับผลดีจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและมาตรการ
ช่วยเหลือต่าง ๆ ของทางการ โดยประเมินว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปัจจุบันอาจจะลดลงบ้างในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ทั้งนี้ ธ.กลาง
สรอ. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 3 จากร้อยละ 5.25 ไปอยู่ที่ร้อยละ 2.25 นับตั้งแต่กลางเดือน ก.ย.50 เพื่อแก้ปัญหาทาง
เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากความปั่นป่วนของตลาดสินเชื่อและที่อยู่อาศัย (รอยเตอร์)
2. วิกฤตการณ์ทางการเงินกำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่แท้จริงของเขตเศรษฐกิจยุโรป รายงานจากปารีส เมื่อวันที่ 2 เม.ย.51
Dominique Strauss-Kahn กก.ผจก. กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า ระบบการเงินของโลกอยู่ในภาวะที่ไม่สมดุลมาก
แต่ ธ.กลางของ สรอ. และเขตเศรษฐกิจยุโรปสามารถจัดการกับวิกฤตการณ์ทางการเงินที่มีปัญหาด้านสภาพคล่องได้ดี ขณะที่ในเขตเศรษฐกิจ
ยุโรปสถานการณ์ไม่ตึงเครียดมากเท่ากับใน สรอ. แต่ปัญหาดังกล่าวกำลังเริ่มส่งผลกระทบเข้าสู่ภาคธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งนี้
การแก้ปัญหาของ ธ.กลาง สรอ. และ ธ.กลางสหภาพยุโรปมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง โดย ธ.กลาง สรอ. มีความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัว
ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขณะที่ ธ.กลางสหภาพยุโรปมีความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ (รอยเตอร์)
3. World Bank คาดว่าในปีหน้าการลงทุนในตลาดเกิดใหม่จะลดลง รายงานจาก Miami เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 51 ธ.โลกคาดว่า
ในปีหน้าการลงทุนของประเทศต่างๆในตลาดเกิดใหม่จะลดลงอยู่ที่ 600 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. จากสถิติสูงสุด 1 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ.
เมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากผลกระทบจากวิกฤติสินเชื่อและนักลงทุนกองทุนประสบกับความเสี่ยง ทั้งนี้ Yukiko Omura รองประธาน และเป็นตัวแทน
ของ MIGA กล่าวว่าปัจจุบันภาวะตลาดการลงทุนประสบปัญหาความยุ่งยาก และมีปัญหาทางการเงินในโครงการลงทุนต่างๆในประเทศเกิดใหม่
อย่างไรก็ตาม Yukiko Omura มีความเห็นว่าสถานการณ์ดังกล่าวยังไม่เลวร้ายถึงที่สุด เนื่องจากวิกฤติดังกล่าวดูเหมือนจะยังไม่ยุติ โดย
ธ.ต่างๆที่ได้รับผลกระทบทางการเงินอาจต้องลดเงินทุนหมุนเวียนไปยังประเทศกำลังพัฒนาต่างๆทั่วโลก คาดว่าระดับการลงทุนสำหรับปีนี้เกือบ
จะไม่เปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้ว ซึ่ง ธ.ที่สำคัญของ สรอ. และยุโรปได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อในตลาดการเงินของ
สรอ. มาอย่างต่อเนื่องทำให้สภาพคล่องลดลงเนื่องจากต้องลดมูลค่าหลักทรัพย์ที่เป็นหลักประกันลงจากปัญหาวิกฤติดังกล่าว (รอยเตอร์)
4. จีนควรที่จะปล่อยให้เงินหยวนมีค่าที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้เงินยูโรอ่อนค่าลง รายงานจากบรัสเซล เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 51
Joaquin Almunia กรรมาธิการสหภาพยุโรปให้ความเห็นว่าจีนควรที่จะปล่อยให้เงินหยวนมีค่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะช่วย
ผ่อนปรนแรงกดดันที่ทำให้เงินยูโรแข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ปัจจุบันสมาชิก 15 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรต้องแบกรับภาระความไม่สมดุลของการออมและ
ความไม่สมดุลทางการค้าของโลกแต่เพียงลำพัง ซึ่งหากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้นและบรรดาประเทศเกิดใหม่อื่นๆ
ในอาเซียนเข้ามามีส่วนช่วยกันในเรื่องความไม่สมดุลดังกล่าวก็จะเป็นการผ่อนปรนแรงกดดันที่ทำให้เงินยูโรแข็งค่าขึ้นได้ ทั้งนี้เมื่อปีที่แล้วเงินยูโร
เมื่อเทียบต่อเงินดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นร้อยละ 12 และยังได้แข็งค่าขึ้นอีกร้อยละ 8.0 ในปีนี้ โดย Almunia เห็นว่าปัจจุบันดุลบัญชีเดินสะพัด
ที่ขาดดุลของ สรอ.ได้ลดลงแล้ว และที่สำคัญ สรอ. ต้องพยายามเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ และการออมในภาคเอกชนจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว
ในระยะยาว ส่วนญี่ปุ่นนั้นปัญหาดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลต้องกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการปฏิรูปตลาดแรงงานร่วมกับการดำเนินมาตรการต่างๆ
เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโต (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 3 เม.ย. 51 2 เม.ย. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.556 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.3396/31.6874 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25000 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 825.71/21.99 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,550/13,650 13,350/13,450 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 95.31 94.56 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 34.59*/30.74* 34.59*/30.74* 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 1 เม.ย. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ระบุอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดความกังวล นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจ
ในประเทศ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การประกาศอัตราเงินเฟ้อของ ก.พาณิชย์ในเดือน มี.ค.
ที่ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.3% และคาดการณ์ว่าในไตรมาสแรกของปีนี้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยจะอยู่ที่ 5% นั้น เป็นระดับที่สูงกว่า
ประมาณการของ ธปท. ที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 3.5-4.5% อย่างไรก็ตาม เป็นระดับที่ไม่ได้สร้างความกังวลให้กับ ธปท.มากนัก
ทั้งนี้ การปรับตัวสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในเดือน มี.ค.ดังกล่าว เป็นผลจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่ ธปท.
ประมาณการไว้ ส่วนราคาพลังงานและราคาอาหารที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ไม่ได้รวมอยู่ในการคำนวณอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อ
นโยบายของ ธปท. โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือน ก.พ.ที่ ก.พาณิชย์ประกาศล่าสุดซึ่งเพิ่มขึ้น 1.5% ยังเป็นไปตามประมาณการของ
ธปท.ที่ประมาณการไว้ว่ามีโอกาส 90% ที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในไตรมาสแรกจะอยู่ระหว่าง 1-2% สำหรับการประชุมคณะกรรมการ
นโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 9 เม.ย.นี้ อาจมีการปรับปรุงตัวเลขประมาณการราคาน้ำมันดิบโลกให้สูงขึ้น เพราะมีผลโดยตรง
ต่ออัตราเงินเฟ้อ ขณะเดียวกันภาวะเศรษฐกิจในประเทศในส่วนของการที่อุปสงค์ในประเทศเพิ่มขึ้น ยังอยู่ในระดับที่กำลังการผลิตสามารถ
รองรับได้ ซึ่ง กนง.คงต้องพิจารณาประเด็นเหล่านี้ต่อไป (โลกวันนี้, ข่าวสด)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นเอสเอ็มอีในเดือน ก.พ.51 ปรับตัวลดลง นางจิตราภรณ์ เตชาชาญ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริม
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการ (เอสเอ็มอี)
ประจำเดือน ก.พ.51 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา พบว่า มีค่าดัชนีปรับตัวลดลงอยู่ที่ 42.5 จากระดับ 45.2 และเป็นการ
ปรับตัวลดลงทุกภาคธุรกิจ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศและธุรกิจตนเองปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน อยู่ที่ 39.6 และ
39.8 จากระดับ 40.8 และ 45.8 ตามลำดับ สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า รวมภาคการค้าและบริการ มีค่าดัชนี
ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยอยู่ที่ 47.4 จากระดับ 46.3 เพิ่มขึ้น 1.1 ซึ่งคาดัชนีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในทุกประเภทกิจการ (กรุงเทพธุรกิจ, ข่าวสด,
ไทยโพสต์)
3. เอดีบีคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 51 ว่าจะขยายตัว 5% นายฌอง ปิแอร์ เวอร์บิสท์ ผู้อำนวยการสำนักงานผู้แทนธนาคาร
พัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า รายงานวิเคราะห์เศรษฐกิจเอเชียประจำปี 51 คาดการณ์เศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนา
ในเอเชียว่า จะขยายตัวที่ 7.6% โดยเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 5% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตเดิมที่เคยคาดการณ์เมื่อเดือน ก.ย.50 สูงขึ้นจาก
ปีก่อนที่เติบโต 4.8% และอัตราการขยายตัวจะเพิ่มเป็น 5.2% ในปี 52 โดยประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มี
อัตราการเติบโตสูงขึ้นภายหลังการเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งเอดีบีมองว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ในอัตราดังกล่าว หากรัฐบาลผสมในปัจจุบัน
มีเสถียรภาพและสามารถดำเนินนโยบายเศรษฐกิจตามที่ได้แถลงไว้ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยง โดยเฉพาะจากปัจจัยการเมือง
ที่ยังไม่มีความชัดเจนในคดียุบพรรคการเมือง ซึ่งหากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจนทำให้รัฐบาลไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ จะมีผลกระทบ
ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ลดลงต่ำกว่า 4.8% เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศที่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นจากความมั่นใจของผู้ลงทุนและผู้บริโภค
จะลดลงไปทันที และไม่สามารถชดเชยการส่งออกที่ชะลอตัวได้ นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น สะท้อนว่าอุปสงค์ใน
ประเทศน่าจะปรับตัวดีขึ้นในปีนี้ ทำให้การนำเข้าเร่งตัว โดยคาดว่าการนำเข้าจะขยายตัว 16% ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงอยู่ที่ 3% ของจีดีพี
และการที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ จะช่วยให้การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนขยายตัวอย่างน้อย 5% ในปี 51
ส่วนปัจจัยที่ต้องจับตามองคืออัตราเงินเฟ้อ ซึ่งคาดว่าจะเร่งตัวสูงขึ้นจากปัญหาราคาน้ำมันและสินค้าที่แพงขึ้น โดยเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 4% ส่งผล
ให้การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท.เป็นไปค่อนข้างยาก (ข่าวสด, ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์)
4. สมาคมธนาคารไทยเชื่อว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว ประธานสมาคมธนาคารไทย
เปิดเผยว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ทยอยประกาศออกมา ช่วยให้ความเชื่อมั่นเริ่มฟื้นตัว เห็นได้จากนักลงทุนที่สนใจเข้ามา
เจรจากับธนาคารเพื่อลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งหากมาตรการต่างๆ สามารถเดินหน้าได้เต็มที่ จะทำให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นมาได้ ทำให้เอกชนตัดสินใจ
ลงทุน หลังจากที่กำลังการผลิตอยู่ในระดับสูงมาก ซึ่งหากไม่มีปัจจัยอื่นเข้ามากระทบคงทำให้ผลิตภัณฑ์ในประเทศ(จีดีพี)ปรับขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม
ความเสี่ยงขณะนี้เริ่มเพิ่มขึ้นจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยปัจจัยภายในคือความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่วนปัจจัยภายนอกคือ
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะชะลอตัวต่ำสุดหรือไม่ ประกอบกับราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นมาก จนกระทบต่อการขยายตัวของ
เศรษฐกิจโลก (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. เศรษฐกิจ สรอ. มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะถดถอย แต่อาจจะฟื้นตัวได้ในปลายปีนี้ รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ
วันที่ 3 เม.ย.51 Ben Bernanke ประธาน ธ.กลาง สรอ. กล่าวยอมรับเป็นครั้งแรกว่ามีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจของ สรอ. อาจจะ
กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่คาดว่าอัตราการเติบโตจะฟื้นตัวได้ในปลายปี เนื่องจากได้รับผลดีจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและมาตรการ
ช่วยเหลือต่าง ๆ ของทางการ โดยประเมินว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปัจจุบันอาจจะลดลงบ้างในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ทั้งนี้ ธ.กลาง
สรอ. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 3 จากร้อยละ 5.25 ไปอยู่ที่ร้อยละ 2.25 นับตั้งแต่กลางเดือน ก.ย.50 เพื่อแก้ปัญหาทาง
เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากความปั่นป่วนของตลาดสินเชื่อและที่อยู่อาศัย (รอยเตอร์)
2. วิกฤตการณ์ทางการเงินกำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่แท้จริงของเขตเศรษฐกิจยุโรป รายงานจากปารีส เมื่อวันที่ 2 เม.ย.51
Dominique Strauss-Kahn กก.ผจก. กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า ระบบการเงินของโลกอยู่ในภาวะที่ไม่สมดุลมาก
แต่ ธ.กลางของ สรอ. และเขตเศรษฐกิจยุโรปสามารถจัดการกับวิกฤตการณ์ทางการเงินที่มีปัญหาด้านสภาพคล่องได้ดี ขณะที่ในเขตเศรษฐกิจ
ยุโรปสถานการณ์ไม่ตึงเครียดมากเท่ากับใน สรอ. แต่ปัญหาดังกล่าวกำลังเริ่มส่งผลกระทบเข้าสู่ภาคธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งนี้
การแก้ปัญหาของ ธ.กลาง สรอ. และ ธ.กลางสหภาพยุโรปมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง โดย ธ.กลาง สรอ. มีความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัว
ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขณะที่ ธ.กลางสหภาพยุโรปมีความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ (รอยเตอร์)
3. World Bank คาดว่าในปีหน้าการลงทุนในตลาดเกิดใหม่จะลดลง รายงานจาก Miami เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 51 ธ.โลกคาดว่า
ในปีหน้าการลงทุนของประเทศต่างๆในตลาดเกิดใหม่จะลดลงอยู่ที่ 600 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. จากสถิติสูงสุด 1 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ.
เมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากผลกระทบจากวิกฤติสินเชื่อและนักลงทุนกองทุนประสบกับความเสี่ยง ทั้งนี้ Yukiko Omura รองประธาน และเป็นตัวแทน
ของ MIGA กล่าวว่าปัจจุบันภาวะตลาดการลงทุนประสบปัญหาความยุ่งยาก และมีปัญหาทางการเงินในโครงการลงทุนต่างๆในประเทศเกิดใหม่
อย่างไรก็ตาม Yukiko Omura มีความเห็นว่าสถานการณ์ดังกล่าวยังไม่เลวร้ายถึงที่สุด เนื่องจากวิกฤติดังกล่าวดูเหมือนจะยังไม่ยุติ โดย
ธ.ต่างๆที่ได้รับผลกระทบทางการเงินอาจต้องลดเงินทุนหมุนเวียนไปยังประเทศกำลังพัฒนาต่างๆทั่วโลก คาดว่าระดับการลงทุนสำหรับปีนี้เกือบ
จะไม่เปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้ว ซึ่ง ธ.ที่สำคัญของ สรอ. และยุโรปได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อในตลาดการเงินของ
สรอ. มาอย่างต่อเนื่องทำให้สภาพคล่องลดลงเนื่องจากต้องลดมูลค่าหลักทรัพย์ที่เป็นหลักประกันลงจากปัญหาวิกฤติดังกล่าว (รอยเตอร์)
4. จีนควรที่จะปล่อยให้เงินหยวนมีค่าที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้เงินยูโรอ่อนค่าลง รายงานจากบรัสเซล เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 51
Joaquin Almunia กรรมาธิการสหภาพยุโรปให้ความเห็นว่าจีนควรที่จะปล่อยให้เงินหยวนมีค่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะช่วย
ผ่อนปรนแรงกดดันที่ทำให้เงินยูโรแข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ปัจจุบันสมาชิก 15 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรต้องแบกรับภาระความไม่สมดุลของการออมและ
ความไม่สมดุลทางการค้าของโลกแต่เพียงลำพัง ซึ่งหากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้นและบรรดาประเทศเกิดใหม่อื่นๆ
ในอาเซียนเข้ามามีส่วนช่วยกันในเรื่องความไม่สมดุลดังกล่าวก็จะเป็นการผ่อนปรนแรงกดดันที่ทำให้เงินยูโรแข็งค่าขึ้นได้ ทั้งนี้เมื่อปีที่แล้วเงินยูโร
เมื่อเทียบต่อเงินดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นร้อยละ 12 และยังได้แข็งค่าขึ้นอีกร้อยละ 8.0 ในปีนี้ โดย Almunia เห็นว่าปัจจุบันดุลบัญชีเดินสะพัด
ที่ขาดดุลของ สรอ.ได้ลดลงแล้ว และที่สำคัญ สรอ. ต้องพยายามเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ และการออมในภาคเอกชนจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว
ในระยะยาว ส่วนญี่ปุ่นนั้นปัญหาดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลต้องกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการปฏิรูปตลาดแรงงานร่วมกับการดำเนินมาตรการต่างๆ
เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโต (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 3 เม.ย. 51 2 เม.ย. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.556 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.3396/31.6874 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25000 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 825.71/21.99 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,550/13,650 13,350/13,450 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 95.31 94.56 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 34.59*/30.74* 34.59*/30.74* 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 1 เม.ย. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--