ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ยอดคงค้างบัตรเครดิต ณ สิ้นเดือน ก.พ.50 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ยอดคงค้างสินเชื่อและปริมาณการใช้จ่ายลดลง
รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ยอดคงค้างบัตรเครดิต ณ วันที่ 28 ก.พ.50 มีปริมาณบัตรเครดิตทั้งสิ้น
11,006,451 บัตร หรือเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 3,644 บัตร ขณะที่ยอดคงค้างสินเชื่อมีจำนวน 116,740 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อน
2,036 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 1.21 ของสินเชื่อรวม โดยยอดคงค้างสินเชื่อบัตรเครดิตของสถาบันการเงินทุกประเภทลดลง ส่วนปริมาณ
การใช้จ่ายโดยรวมของสถาบันการเงินทุกประเภทลดลง โดยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลงถึง 9,664 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 13.04
จากปัจจุบันที่มีปริมาณการใช้จ่ายอยู่ที่ 64,432 ล้านบาท นอกจากนี้ ปริมาณการใช้จ่ายทุกประเภทก็ลดลงเช่นกัน โดยปริมาณการใช้จ่ายใน
ประเทศมีปริมาณทั้งสิ้น 45,747 ล้านบาท หรือลดลงจากเดือนก่อน 7,537 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 14.14 ส่วนปริมาณการใช้จ่ายใน
ต่างประเทศมีจำนวน 1,876 ล้านบาท ลดลง 297 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 13.68 และการเบิกจ่ายเงินสดล่วงหน้ามีจำนวน 16,809 ล้านบาท
ลดลง 1,830 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.82 (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ)
2. ธปท.เผยภายหลังการออกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าสุทธิ 7,000 กว่าล้านบาท ผู้ช่วยผู้ว่าการ
สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภายหลังออกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 (ตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค.49 จนถึง
ปัจจุบัน) มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาในประเทศมากกว่าเงินทุนไหลออกจากประเทศสุทธิ 7,000 กว่าล้านบาท โดยเงินดังกล่าวเข้ามาลงทุน
ในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากปัจจัยเรื่องผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดี ไม่ได้เป็นเงินที่เข้ามาเพื่อเก็งกำไรค่าเงินบาท แต่ก็ได้รับ
ผลพลอยได้จากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ เงินที่ไหลเข้ามาสามารถทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างเร็ว และเชื่อว่าจะ
มีเงินไหลเข้ามาอีกต่อเนื่อง หากเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 4-5 ตามที่คาดการณ์ไว้ และอัตราเงินเฟ้อยังต่ำอยู่(เดลินิวส์, มติชน)
3. ม.หอการค้าคาดว่าการส่งออกทั้งปี 50 จะขยายตัวร้อยละ 9.64 ต่ำกว่าที่ ก.พาณิชย์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวร้อยละ 12.5
ผอ.ศูนย์การค้าระหว่างประเทศ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยถึงการคาดการณ์ภาวะส่งออกและนำเข้าสินค้าของไทยตลอดปี 50 ว่า การส่งออก
จะขยายตัวร้อยละ 9.64 หรือมีมูลค่า 142,473 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งต่ำกว่าที่ ก.พาณิชย์คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 12.5 คิดเป็น
มูลค่า 145,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. สาเหตุที่ทำให้การส่งออกลดลงมาจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ การแข็งค่าของ
เงินบาทจะกระทบต่อการส่งออกและนำเข้า รวมถึงดุลการค้า กรณีเงินบาทแข็งค่า 1 บาท มูลค่าการส่งออกจะลดลงถึงร้อยละ 3.1 และนำเข้า
เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 ขณะที่การนำเข้าปีนี้คาดว่ายังเติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10.17 คิดเป็นมูลค่า 139,744 ล้านดอลลาร์ สรอ.ทำให้เกิน
ดุลการค้าเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 2,729 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากปีก่อนที่เกินดุล 3,101 ล้านดอลลาร์ สรอ. นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่าใน
ไตรมาส 2 ปี 50 จะมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 33,140 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากไตรมาสแรกร้อยละ 0.81 ส่วนการนำเข้าใน
ไตรมาส 2 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 16.33 (กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์, ข่าวสด, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, แนวหน้า, แนวหน้า)
4. ผู้ประกอบการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไตรมาสแรกปี 50 จำนวน 1,881 ล้านบาท ผอ.ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุน
ภาคเหนือ 1 (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการยังคงให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง
ไตรมาสแรกของปี 50 พบว่า มีนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติ ขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอจำนวนทั้งสิ้น 14 โครงการ คิดเป็นมูลค่า
การลงทุนสูงถึง 1,881 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 49 โดยเมื่อปี 49 มีผู้ประกอบการขอเข้ารับการส่งเสริมจากบีโอไอ
13 โครงการ มูลค่าการลงทุนจำนวน 1,213 ล้านบาท สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในภาคเหนือตอนบนมากที่สุด คือ ประเทศญี่ปุ่น รองลงมาได้แก่
นักลงทุนจากยุโรป โดยส่วนใหญ่เข้ามาลงทุนธุรกิจประเภทซอฟต์แวร์ การแปรรูปโลหะ ส่วนนักลงทุนไทยเข้ามาลงทุนในธุรกิจประเภทผลิตผล
เกษตรแปรรูป การนำวัสดุเหลือใช้การเกษตรมาเปลี่ยนเป็นพลังงานทดแทน (กรุงเทพธุรกิจ)
5. ปริมาณการออกตราสารหนี้ในปี 50 อาจไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ 1.8 แสนล้านบาท กรรมการผู้จัดการ สมาคม
ตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า ในปี 50 ปริมาณการออกตราสารหนี้อาจไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ 1.8 แสนล้านบาท
หลังประมาณจากตัวเลขการออกตราสารหนี้ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งมีการออกพันธบัตรเพียง 1 หมื่นล้านบาท และแม้ว่าในเดือน เม.ย.50
จะมีบริษัทออกหุ้นกู้มูลค่ารวมเกือบ 30,000 ล้านบาทก็ตาม เพราะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และยังไม่มีความชัดเจนทาง
การเมือง จึงทำให้ผู้ประกอบการไม่กล้าลงทุน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแม้จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลง และไม่ลดต่ำเกินไป ก็คาดว่าจะมีออก
หุ้นกู้มากขึ้น เนื่องจากบางบริษัทต้องการระดมทุนเพื่อรีไฟแนนซ์หรือเพื่อการลงทุน (สยามรัฐ, แนวหน้า)
6. ไอเอ็มเอฟเผยแผนความริเริ่มเชียงใหม่ไม่ช่วยขจัดวิกฤติเงินเอเชีย ผอ.กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
กล่าวแสดงความเห็นเกี่ยวกับแผนความริเริ่มเชียงใหม่ (Chiang Mai Initiative) ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันให้ความช่วยเหลือประเทศ
สมาชิกเอเชียรวมทั้งไทยในการทำสวอป หรือการให้ยืมทุนสำรองระหว่างประเทศสมาชิกเมื่อเกิดปัญหากับสกุลเงินของแต่ละประเทศว่า
เป็นข้อตกลงที่มีประโยชน์ แต่กลุ่มประเทศสมาชิกไม่ควรอาศัยข้อตกลงนี้เพื่อขจัดวิกฤติเศรษฐกิจให้หมดไปได้ อย่างไรก็ตาม สมาชิกความริ
เริ่มเชียงใหม่อาจจะขจัดวิกฤติการเงินให้หมดไปได้เป็นอันดับแรก คือ สร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นในนโยบายเศรษฐกิจของตัวเองว่ามีความ
แข็งแกร่ง และสามารถจัดการความวุ่นวายได้อย่างรวดเร็ว และไม่พิจารณาถึงสภาพความเป็นจริงที่คิดว่าไม่มีภาวะแวดล้อมใด ๆ ภายใต้
ข้อตกลงสวอปค่าเงินภายในภูมิภาคเอเชีย (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลางญี่ปุ่นคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.50 ต่อปีตามที่ตลาดคาดไว้ รายงานจากโตเกียว เมื่อ 10 เม.ย.50
ธ.กลางญี่ปุ่นมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.50 ต่อปีตามที่ตลาดคาดไว้ โดยให้เหตุผลว่า ธ.กลางญี่ปุ่นต้องการ
ดูผลกระทบของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อเดือน ก.พ.50 ที่มีต่อเศรษฐกิจ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับคงที่ แต่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
ในระยะยาว โดยการบริโภคในประเทศขยายตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในญี่ปุ่นจากผลสำรวจ
รายไตรมาสโดย ธ.กลางญี่ปุ่นในช่วงระหว่างปลายเดือน ก.พ.ถึงกลางเดือน มี.ค.50 ที่ผ่านมายังคงแข็งแกร่งโดยลดลงเล็กน้อยจากระดับ
สูงสุดในรอบ 2 ปีเมื่อเดือน ธ.ค.49 แต่อย่างไรก็ดีความเห็นของ ธ.กลางญี่ปุ่นในครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความเห็นของนักวิเคราะห์
ในตลาดที่ส่วนใหญ่คาดว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งเป็นร้อยละ 0.75 ต่อปีในเดือน ก.ย.50 นี้ (รอยเตอร์)
2. ยอดเกินดุลการค้าของจีนในเดือน มี.ค.50 ลดลงอย่างผิดปกติ รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 10 เม.ย.50
ยอดเกินดุลการค้าของจีนในเดือน มี.ค.50 ลดลงอย่างมากอยู่ที่จำนวน 6.87 พันล้านดอลลาร์ สรอ. สวนทางกับการคาดการณ์ที่คาดว่าตัวเลข
ดังกล่าวจะใกล้เคียงกับจำนวน 23.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นตัวเลขของเดือนก่อนหน้า โดยการส่งออกเทียบต่อปีลดลงถึงร้อยละ 6.9
ต่ำสุดในรอบ 5 ปี จากที่ขยายตัวร้อยละ 51.7 ในเดือน ก.พ.50 โดยมีสาเหตุจากสินค้าประเภทเสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์ขยายตัวลดลงอย่าง
รวดเร็ว ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์มีความเห็นว่าการที่ยอดการส่งออกในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นมากเกิดจากผู้ส่งออกของจีนมี
ความกังวลว่าทางการจะปรับลดการเรียกคืนภาษีสินค้าที่ส่งออก จึงเร่งรีบส่งสินค้าออกไปขายต่างประเทศ ทำให้เหลือสินค้าที่จะส่งออกใน
เดือน มี.ค.50 ไม่มากนัก ขณะที่นักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่งเห็นด้วยว่าตัวเลขการส่งออกในเดือน มี.ค.50 อาจจะผิดปกติ แต่จะทำให้ สรอ.
ลดการกดดันรัฐบาลจีนในเรื่องการเกินดุลการค้าลงได้ ทั้งนี้ จีนได้เสนอให้มีการปรับลดการคืนภาษีสินค้าส่งออกเป็นจำนวนมาก เพื่อขัดขวาง
ไม่ให้มีการส่งออกสินค้าประเภทเหล็กพื้นฐานและสิ่งทอไปยังต่างประเทศ และมีการคาดการณ์กันว่าอาจจะมีมาตรการอื่นมากกว่านี้จึงทำให้
เกิดการเร่งการส่งออกในช่วง 2 เดือนแรกของปี ในขณะที่กรมศุลกากรแถลงว่าตัวเลขการส่งออกในเดือน มี.ค.50 ชี้ว่าการเกินดุลลดลง
อย่างชัดเจน แต่นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าแนวโน้มการเกินดุลยังคงเพิ่มขึ้นอยู่ เพราะตัวเลขการเกินดุลการค้าทั้งไตรมาสยังมีจำนวนสูงอยู่
ดังนั้น ตัวเลขของทั้งปีก็คงจะสูงตามไปด้วย โดยในไตรมาสแรกจีนมียอดเกินดุลการค้า 46.44 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
จากช่วงเดียวกันของปี 49 (รอยเตอร์)
3. ยอดเกินดุลการค้าของเยอรมนีในเดือน ก.พ.50 ลดลงเนื่องจากการนำเข้าเพิ่มขึ้น รายงานจากเบอร์ลินเมื่อ 10 เม.ย.50
Federal Statistics Office เปิดเผยว่า ยอดเกินดุลการค้า(หลังปรับฤดูกาล)ของเยอรมนีในเดือน ก.พ.50 มีจำนวน 13.8 พัน ล.ยูโร
(18.42 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) ลดลงจากจำนวน 15.8 พัน ล.ยูโรในเดือนก่อนหน้า และต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่า
จะมีจำนวน 15.4 พัน ล.ยูโร เนื่องจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยการนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5.6 เป็นจำนวน 66.4 พัน ล.ยูโร
สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.48 ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.9 เป็นจำนวน 80.1 พัน ล.ยูโร สำหรับมูลค่าการส่งออกและนำเข้า
เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9 ทั้งนี้ การนำเข้าที่เพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับการส่งออก สะท้อนว่าความต้องการจาก
ต่างประเทศอาจไม่สามารถช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกของปีได้ อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ
กลับมีทิศทางที่แข็งแกร่ง เห็นได้จากตัวเลขผลผลิตภาคการผลิตและคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับยอดขายปลีกที่ฟื้นตัวขึ้นจาก
ภาวะชะลอตัวในเดือนก่อนหน้า (รอยเตอร์)
4. คาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้จะยังไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะนี้ รายงานจากโซล เกาหลีใต้ เมื่อ
วันที่ 10 เม.ย. 50 ผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 12 คนโดยรอยเตอร์คาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ในระดับเดิมที่ร้อยละ 4.50 ในการประชุมวันพฤหัสบดีนี้ ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเกาหลีใต้อยู่ที่ร้อยละ 4.50 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 นั
บตั้งแต่เดือน ส.ค. 49 โดยนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 9 คนคาดว่าธ.กลางเกาหลีใต้จะยังไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะ 6 เดือน
แต่อีก 3 คนคาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยนาย Lim Roh-joong นักเศรษฐศาสตร์จาก Kyobo Investment Trust
Management เห็นว่าปัจจุบันราคาอสังหาริมทรัพย์ค่อยๆลดลงขณะที่การฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศยังไม่ชัดเจนดังนั้นอัตราดอกเบี้ยจึงยังไม่น่า
จะเปลี่ยนแปลงแม้ว่าจะมีการคาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคจะเพิ่มในช่วงครึ่งหลังของปีนี้แต่ก็ยังคงอยู่ในเป้าหมายเงินเฟ้อของ ธ.กลางที่ตั้งไว้
ระหว่างร้อยละ 2.5 — 3.5 ในช่วงปี 50 — 52 อย่างไรก็ตามแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเคลื่อนไหวภายในเป้าหมายที่กำหนดไว้ แต่การที่
ภาวะเศรษฐกิจยังคงไม่แข็งแกร่งเช่นนี้จึงเป็นการยากที่ ธ.กลางจะเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขณะนี้ แต่ในช่วงหลังของปีการ
มีสภาพคล่องจำนวนมหาศาลในระบบการเงินอาจสร้างความกดดันให้แก่ธ.กลางที่จะต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็เป็นได้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 11 เม.ย. 50 10 เม.ย. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.922 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.7004/35.0306 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.50750 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 689.48/6.48 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,100/11,200 11,050/11,150 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 60.89 60.38 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 28.79*/24.94* 28.39/24.54 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 11 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ยอดคงค้างบัตรเครดิต ณ สิ้นเดือน ก.พ.50 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ยอดคงค้างสินเชื่อและปริมาณการใช้จ่ายลดลง
รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ยอดคงค้างบัตรเครดิต ณ วันที่ 28 ก.พ.50 มีปริมาณบัตรเครดิตทั้งสิ้น
11,006,451 บัตร หรือเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 3,644 บัตร ขณะที่ยอดคงค้างสินเชื่อมีจำนวน 116,740 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อน
2,036 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 1.21 ของสินเชื่อรวม โดยยอดคงค้างสินเชื่อบัตรเครดิตของสถาบันการเงินทุกประเภทลดลง ส่วนปริมาณ
การใช้จ่ายโดยรวมของสถาบันการเงินทุกประเภทลดลง โดยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลงถึง 9,664 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 13.04
จากปัจจุบันที่มีปริมาณการใช้จ่ายอยู่ที่ 64,432 ล้านบาท นอกจากนี้ ปริมาณการใช้จ่ายทุกประเภทก็ลดลงเช่นกัน โดยปริมาณการใช้จ่ายใน
ประเทศมีปริมาณทั้งสิ้น 45,747 ล้านบาท หรือลดลงจากเดือนก่อน 7,537 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 14.14 ส่วนปริมาณการใช้จ่ายใน
ต่างประเทศมีจำนวน 1,876 ล้านบาท ลดลง 297 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 13.68 และการเบิกจ่ายเงินสดล่วงหน้ามีจำนวน 16,809 ล้านบาท
ลดลง 1,830 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.82 (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ)
2. ธปท.เผยภายหลังการออกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าสุทธิ 7,000 กว่าล้านบาท ผู้ช่วยผู้ว่าการ
สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภายหลังออกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 (ตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค.49 จนถึง
ปัจจุบัน) มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาในประเทศมากกว่าเงินทุนไหลออกจากประเทศสุทธิ 7,000 กว่าล้านบาท โดยเงินดังกล่าวเข้ามาลงทุน
ในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากปัจจัยเรื่องผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดี ไม่ได้เป็นเงินที่เข้ามาเพื่อเก็งกำไรค่าเงินบาท แต่ก็ได้รับ
ผลพลอยได้จากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ เงินที่ไหลเข้ามาสามารถทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างเร็ว และเชื่อว่าจะ
มีเงินไหลเข้ามาอีกต่อเนื่อง หากเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 4-5 ตามที่คาดการณ์ไว้ และอัตราเงินเฟ้อยังต่ำอยู่(เดลินิวส์, มติชน)
3. ม.หอการค้าคาดว่าการส่งออกทั้งปี 50 จะขยายตัวร้อยละ 9.64 ต่ำกว่าที่ ก.พาณิชย์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวร้อยละ 12.5
ผอ.ศูนย์การค้าระหว่างประเทศ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยถึงการคาดการณ์ภาวะส่งออกและนำเข้าสินค้าของไทยตลอดปี 50 ว่า การส่งออก
จะขยายตัวร้อยละ 9.64 หรือมีมูลค่า 142,473 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งต่ำกว่าที่ ก.พาณิชย์คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 12.5 คิดเป็น
มูลค่า 145,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. สาเหตุที่ทำให้การส่งออกลดลงมาจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ การแข็งค่าของ
เงินบาทจะกระทบต่อการส่งออกและนำเข้า รวมถึงดุลการค้า กรณีเงินบาทแข็งค่า 1 บาท มูลค่าการส่งออกจะลดลงถึงร้อยละ 3.1 และนำเข้า
เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 ขณะที่การนำเข้าปีนี้คาดว่ายังเติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10.17 คิดเป็นมูลค่า 139,744 ล้านดอลลาร์ สรอ.ทำให้เกิน
ดุลการค้าเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 2,729 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากปีก่อนที่เกินดุล 3,101 ล้านดอลลาร์ สรอ. นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่าใน
ไตรมาส 2 ปี 50 จะมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 33,140 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากไตรมาสแรกร้อยละ 0.81 ส่วนการนำเข้าใน
ไตรมาส 2 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 16.33 (กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์, ข่าวสด, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, แนวหน้า, แนวหน้า)
4. ผู้ประกอบการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไตรมาสแรกปี 50 จำนวน 1,881 ล้านบาท ผอ.ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุน
ภาคเหนือ 1 (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการยังคงให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง
ไตรมาสแรกของปี 50 พบว่า มีนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติ ขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอจำนวนทั้งสิ้น 14 โครงการ คิดเป็นมูลค่า
การลงทุนสูงถึง 1,881 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 49 โดยเมื่อปี 49 มีผู้ประกอบการขอเข้ารับการส่งเสริมจากบีโอไอ
13 โครงการ มูลค่าการลงทุนจำนวน 1,213 ล้านบาท สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในภาคเหนือตอนบนมากที่สุด คือ ประเทศญี่ปุ่น รองลงมาได้แก่
นักลงทุนจากยุโรป โดยส่วนใหญ่เข้ามาลงทุนธุรกิจประเภทซอฟต์แวร์ การแปรรูปโลหะ ส่วนนักลงทุนไทยเข้ามาลงทุนในธุรกิจประเภทผลิตผล
เกษตรแปรรูป การนำวัสดุเหลือใช้การเกษตรมาเปลี่ยนเป็นพลังงานทดแทน (กรุงเทพธุรกิจ)
5. ปริมาณการออกตราสารหนี้ในปี 50 อาจไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ 1.8 แสนล้านบาท กรรมการผู้จัดการ สมาคม
ตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า ในปี 50 ปริมาณการออกตราสารหนี้อาจไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ 1.8 แสนล้านบาท
หลังประมาณจากตัวเลขการออกตราสารหนี้ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งมีการออกพันธบัตรเพียง 1 หมื่นล้านบาท และแม้ว่าในเดือน เม.ย.50
จะมีบริษัทออกหุ้นกู้มูลค่ารวมเกือบ 30,000 ล้านบาทก็ตาม เพราะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และยังไม่มีความชัดเจนทาง
การเมือง จึงทำให้ผู้ประกอบการไม่กล้าลงทุน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแม้จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลง และไม่ลดต่ำเกินไป ก็คาดว่าจะมีออก
หุ้นกู้มากขึ้น เนื่องจากบางบริษัทต้องการระดมทุนเพื่อรีไฟแนนซ์หรือเพื่อการลงทุน (สยามรัฐ, แนวหน้า)
6. ไอเอ็มเอฟเผยแผนความริเริ่มเชียงใหม่ไม่ช่วยขจัดวิกฤติเงินเอเชีย ผอ.กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
กล่าวแสดงความเห็นเกี่ยวกับแผนความริเริ่มเชียงใหม่ (Chiang Mai Initiative) ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันให้ความช่วยเหลือประเทศ
สมาชิกเอเชียรวมทั้งไทยในการทำสวอป หรือการให้ยืมทุนสำรองระหว่างประเทศสมาชิกเมื่อเกิดปัญหากับสกุลเงินของแต่ละประเทศว่า
เป็นข้อตกลงที่มีประโยชน์ แต่กลุ่มประเทศสมาชิกไม่ควรอาศัยข้อตกลงนี้เพื่อขจัดวิกฤติเศรษฐกิจให้หมดไปได้ อย่างไรก็ตาม สมาชิกความริ
เริ่มเชียงใหม่อาจจะขจัดวิกฤติการเงินให้หมดไปได้เป็นอันดับแรก คือ สร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นในนโยบายเศรษฐกิจของตัวเองว่ามีความ
แข็งแกร่ง และสามารถจัดการความวุ่นวายได้อย่างรวดเร็ว และไม่พิจารณาถึงสภาพความเป็นจริงที่คิดว่าไม่มีภาวะแวดล้อมใด ๆ ภายใต้
ข้อตกลงสวอปค่าเงินภายในภูมิภาคเอเชีย (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลางญี่ปุ่นคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.50 ต่อปีตามที่ตลาดคาดไว้ รายงานจากโตเกียว เมื่อ 10 เม.ย.50
ธ.กลางญี่ปุ่นมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.50 ต่อปีตามที่ตลาดคาดไว้ โดยให้เหตุผลว่า ธ.กลางญี่ปุ่นต้องการ
ดูผลกระทบของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อเดือน ก.พ.50 ที่มีต่อเศรษฐกิจ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับคงที่ แต่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
ในระยะยาว โดยการบริโภคในประเทศขยายตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในญี่ปุ่นจากผลสำรวจ
รายไตรมาสโดย ธ.กลางญี่ปุ่นในช่วงระหว่างปลายเดือน ก.พ.ถึงกลางเดือน มี.ค.50 ที่ผ่านมายังคงแข็งแกร่งโดยลดลงเล็กน้อยจากระดับ
สูงสุดในรอบ 2 ปีเมื่อเดือน ธ.ค.49 แต่อย่างไรก็ดีความเห็นของ ธ.กลางญี่ปุ่นในครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความเห็นของนักวิเคราะห์
ในตลาดที่ส่วนใหญ่คาดว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งเป็นร้อยละ 0.75 ต่อปีในเดือน ก.ย.50 นี้ (รอยเตอร์)
2. ยอดเกินดุลการค้าของจีนในเดือน มี.ค.50 ลดลงอย่างผิดปกติ รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 10 เม.ย.50
ยอดเกินดุลการค้าของจีนในเดือน มี.ค.50 ลดลงอย่างมากอยู่ที่จำนวน 6.87 พันล้านดอลลาร์ สรอ. สวนทางกับการคาดการณ์ที่คาดว่าตัวเลข
ดังกล่าวจะใกล้เคียงกับจำนวน 23.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นตัวเลขของเดือนก่อนหน้า โดยการส่งออกเทียบต่อปีลดลงถึงร้อยละ 6.9
ต่ำสุดในรอบ 5 ปี จากที่ขยายตัวร้อยละ 51.7 ในเดือน ก.พ.50 โดยมีสาเหตุจากสินค้าประเภทเสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์ขยายตัวลดลงอย่าง
รวดเร็ว ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์มีความเห็นว่าการที่ยอดการส่งออกในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นมากเกิดจากผู้ส่งออกของจีนมี
ความกังวลว่าทางการจะปรับลดการเรียกคืนภาษีสินค้าที่ส่งออก จึงเร่งรีบส่งสินค้าออกไปขายต่างประเทศ ทำให้เหลือสินค้าที่จะส่งออกใน
เดือน มี.ค.50 ไม่มากนัก ขณะที่นักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่งเห็นด้วยว่าตัวเลขการส่งออกในเดือน มี.ค.50 อาจจะผิดปกติ แต่จะทำให้ สรอ.
ลดการกดดันรัฐบาลจีนในเรื่องการเกินดุลการค้าลงได้ ทั้งนี้ จีนได้เสนอให้มีการปรับลดการคืนภาษีสินค้าส่งออกเป็นจำนวนมาก เพื่อขัดขวาง
ไม่ให้มีการส่งออกสินค้าประเภทเหล็กพื้นฐานและสิ่งทอไปยังต่างประเทศ และมีการคาดการณ์กันว่าอาจจะมีมาตรการอื่นมากกว่านี้จึงทำให้
เกิดการเร่งการส่งออกในช่วง 2 เดือนแรกของปี ในขณะที่กรมศุลกากรแถลงว่าตัวเลขการส่งออกในเดือน มี.ค.50 ชี้ว่าการเกินดุลลดลง
อย่างชัดเจน แต่นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าแนวโน้มการเกินดุลยังคงเพิ่มขึ้นอยู่ เพราะตัวเลขการเกินดุลการค้าทั้งไตรมาสยังมีจำนวนสูงอยู่
ดังนั้น ตัวเลขของทั้งปีก็คงจะสูงตามไปด้วย โดยในไตรมาสแรกจีนมียอดเกินดุลการค้า 46.44 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
จากช่วงเดียวกันของปี 49 (รอยเตอร์)
3. ยอดเกินดุลการค้าของเยอรมนีในเดือน ก.พ.50 ลดลงเนื่องจากการนำเข้าเพิ่มขึ้น รายงานจากเบอร์ลินเมื่อ 10 เม.ย.50
Federal Statistics Office เปิดเผยว่า ยอดเกินดุลการค้า(หลังปรับฤดูกาล)ของเยอรมนีในเดือน ก.พ.50 มีจำนวน 13.8 พัน ล.ยูโร
(18.42 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) ลดลงจากจำนวน 15.8 พัน ล.ยูโรในเดือนก่อนหน้า และต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่า
จะมีจำนวน 15.4 พัน ล.ยูโร เนื่องจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยการนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5.6 เป็นจำนวน 66.4 พัน ล.ยูโร
สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.48 ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.9 เป็นจำนวน 80.1 พัน ล.ยูโร สำหรับมูลค่าการส่งออกและนำเข้า
เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9 ทั้งนี้ การนำเข้าที่เพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับการส่งออก สะท้อนว่าความต้องการจาก
ต่างประเทศอาจไม่สามารถช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกของปีได้ อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ
กลับมีทิศทางที่แข็งแกร่ง เห็นได้จากตัวเลขผลผลิตภาคการผลิตและคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับยอดขายปลีกที่ฟื้นตัวขึ้นจาก
ภาวะชะลอตัวในเดือนก่อนหน้า (รอยเตอร์)
4. คาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้จะยังไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะนี้ รายงานจากโซล เกาหลีใต้ เมื่อ
วันที่ 10 เม.ย. 50 ผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 12 คนโดยรอยเตอร์คาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ในระดับเดิมที่ร้อยละ 4.50 ในการประชุมวันพฤหัสบดีนี้ ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเกาหลีใต้อยู่ที่ร้อยละ 4.50 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 นั
บตั้งแต่เดือน ส.ค. 49 โดยนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 9 คนคาดว่าธ.กลางเกาหลีใต้จะยังไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะ 6 เดือน
แต่อีก 3 คนคาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยนาย Lim Roh-joong นักเศรษฐศาสตร์จาก Kyobo Investment Trust
Management เห็นว่าปัจจุบันราคาอสังหาริมทรัพย์ค่อยๆลดลงขณะที่การฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศยังไม่ชัดเจนดังนั้นอัตราดอกเบี้ยจึงยังไม่น่า
จะเปลี่ยนแปลงแม้ว่าจะมีการคาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคจะเพิ่มในช่วงครึ่งหลังของปีนี้แต่ก็ยังคงอยู่ในเป้าหมายเงินเฟ้อของ ธ.กลางที่ตั้งไว้
ระหว่างร้อยละ 2.5 — 3.5 ในช่วงปี 50 — 52 อย่างไรก็ตามแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเคลื่อนไหวภายในเป้าหมายที่กำหนดไว้ แต่การที่
ภาวะเศรษฐกิจยังคงไม่แข็งแกร่งเช่นนี้จึงเป็นการยากที่ ธ.กลางจะเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขณะนี้ แต่ในช่วงหลังของปีการ
มีสภาพคล่องจำนวนมหาศาลในระบบการเงินอาจสร้างความกดดันให้แก่ธ.กลางที่จะต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็เป็นได้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 11 เม.ย. 50 10 เม.ย. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.922 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.7004/35.0306 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.50750 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 689.48/6.48 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,100/11,200 11,050/11,150 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 60.89 60.38 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 28.79*/24.94* 28.39/24.54 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 11 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--