แท็ก
ตลาดหลักทรัพย์
ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ผลประกอบการ ธ.พาณิชย์ 11 แห่ง มีกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 4.7 พันล้านบาท ผลประกอบการในไตรมาสแรกปี 51 ของ
ธ.พาณิชย์ในตลาดหลักทรัพย์ทั้งระบบรวม 11 แห่ง มีกำไรสุทธิรวม 24,267.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,771.46 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.47
จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย ธ.ทหารไทยมีกำไรเติบโตมากที่สุดร้อยละ 622.21 รองมาลงมาคือ ธ.นครหลวงไทยร้อยละ 552.02
และ ธ.ไทยพาณิชย์ร้อยละ 83.5 ส่วนธนาคารที่มีผลการดำเนินงานลดลงมากที่สุดคือ ธ.ไทยธนาคารมีผลขาดทุน 1,678.67 ล้านบาท
จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 558.60 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 400.51 ขณะที่ ธ.กรุงศรีอยุธยามีกำไรสุทธิลดลงร้อยละ 8.27
และ ธ.กรุงไทยลดลงร้อยละ 6.10 (มติชน)
2. ก.คลังยกเว้นภาษีกำไรตราสารหนี้ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รอง นรม. และ รมว.คลัง กล่าวว่า ในการประชุมคณะ
กรรมการพัฒนาตลาดทุนในวันที่ 23 เม.ย.นี้ จะพิจารณายกเว้นการเก็บภาษีกำไรจากการซื้อขายตราสารหนี้ เพื่อให้เป็นมาตรฐานสากลในการ
ขจัดปัญหาอุปสรรคการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นอกจากนี้ จะมีการพิจารณาให้การควบรวมกิจการกรณีที่บริษัทควบรวมกิจการขาดทุนให้สามารถ
นำผลขาดทุนมาหักลดหย่อนภาษีในการควบรวมกิจการดังกล่าวได้เหมือนในต่างประเทศ แต่ในส่วนของไทยยังมีภาษีควบรวมที่ซ้ำซ้อนอยู่ ซึ่งหาก
ได้ข้อสรุปก็จะเสนอ ครม. เพื่อแก้ไขกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ โดยหลักการคือถ้ามาตรฐานตลาดทรัพย์โลกเป็นอย่างไร ไทยก็ควรจะมีมาตรฐาน
ในลักษณะแข่งขันกับที่อื่นได้ และที่ผ่านมาได้มีการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างตลาดหลักทรัพย์ไทยกับตลาดหลักทรัพย์ในประเทศอื่น เพื่อพิจารณา
ว่ามีมาตรการอะไรบ้างที่เป็นมาตรฐานตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก เพื่อพัฒนาตลาดของไทยให้มีความสามารถในการแข่งขัน จึงต้องพิจารณาว่าอะไร
ที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย อนึ่ง ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนจะมีการพิจารณานำตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาตลาดทุน (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ)
3. คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ร้อยละ 6 นายกรณ์ จาติกวนิช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ภาพรวม
เศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 6 ซึ่งสอดคล้องกับที่ ก.คลังคาดการณ์ไว้ เพราะการลงทุนและการบริโภคเริ่มฟื้นตัว แต่ยอมรับว่ายังมี
ปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองที่เป็นตัวกดดันต่อความเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รวมทั้งปัญหาราคาน้ำมันแพง เพราะปีนี้คาดว่าจะต้องนำเข้าถึง
1 ล้านล้านบาท และยังจะเป็นปัญหาสำคัญทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นไปอีก รวมถึงปัญหาตลาดเงินและตลาดทุนของประเทศคู่ค้าที่อาจกระทบต่อการส่งออก
และปัญหาวิกฤติอาหารโลกแม้ว่าไทยจะเป็นผู้ผลิตอาหารแต่ยังไม่เห็นมาตรการรองรับที่ชัดเจนในการแก้ปัญหา ด้าน นายสมชัย จิตสุชน ผอ.
ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวมและกระจายรายได้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวได้ร้อยละ 6
แต่มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเผชิญและจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวไม่ได้ตามที่คาดไว้ เพราะปัญหาทางการเมืองยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นทาง
เศรษฐกิจ แต่ที่สำคัญคือปัญหาเงินเฟ้อกำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศใหญ่อย่าง สรอ. และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อไทยรุนแรง
มากในช่วง 2 — 3 ปีข้างหน้า (เดลินิวส์)
4. ธ.พาณิชย์ขายสินทรัพย์รอการขายเพื่อลดหนี้เสีย นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ชมรม
สินทรัพย์รอการขายของ ธ.พาณิชย์ได้ร่วมกันจัดงานมหกรรมบ้านธนาคาร 51 ที่ จ.กาญจนบุรี ระหว่างวันที่ 25 — 27 เม.ย.51 เพื่อนำทรัพย์สิน
ด้านอสังหาริมทรัพย์ของ ธ.พาณิชย์ทุกแห่งมาขายในราคาต่ำกว่าราคาประเมินร้อยละ 20 — 60 ซึ่งจะช่วยลดปริมาณสินทรัพย์รอการขายและเป็น
การลดหนี้เสียของแต่ละธนาคาร เพื่อให้เกิดเสถียรภาพต่อสภาวะทางการเงินของประเทศในปัจจุบัน และคาดว่าจะแก้ไขสภาพคล่องทางการเงิน
ได้มากกว่า 6 พันล้านบาท ด้าน น.ส.กรองทอง การุณย์นราทร ประธานชมรมสินทรัพย์รอการขายของ ธ.พาณิชย์ กล่าวว่า งานมหกรรมบ้าน
ธนาคาร 51 เป็นงานที่จะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทั้งในภาพรวมของเศรษฐกิจ องค์กร และประชาชน โดยในส่วนของเศรษฐกิจ
จะทำให้เกิดทิศทางที่ดีในด้านสภาพคล่อง สถาบันการเงินต่าง ๆ สามารถแก้ไขหนี้เสียได้ และประชาชนสามารถสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย
ได้ในราคาถูก (โลกวันนี้, มติชน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. หนี้สินของภาคครัวเรือนและธุรกิจในยูโรโซนเมื่อปีที่แล้วพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ปี 42 รายงานจาก Frankfurt เมื่อ
วันที่ 21 เม.ย. 51 ธ.กลางยุโรปเปิดเผยว่า เมื่อปีที่แล้วหนี้สินของภาคครัวเรือน และของธุรกิจเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูงสุด แม้ว่าจะต้องเผชิญกับ
ภาวะความยุ่งยากในตลาดการเงินที่ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้นก็ตาม ทั้งนี้ตัวเลขหนี้สินภาคครัวเรือนเมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 60.3
ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เช่นเดียวกับหนี้สินของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 78 ของ GDP และอยู่ในระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่
ปี 42 สำหรับสัดส่วนหนี้สินของธุรกิจต่อ Gross operating surplus เพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 386 จากที่เคยอยู่ต่ำกว่าร้อยละ 350 เมื่อ
ปี 48 แม้ว่า ธพ.หลายแห่งจะได้เพิ่มต้นทุนการกู้ยืมระยะสั้นประมาณร้อยละ 100 แล้วก็ตามท่ามกลางภาวะความตึงเครียดในตลาดการเงิน
กิจการต่างๆพบว่าต้นทุนการกู้ยืมโดยผ่านทางการออกจำหน่ายตราสารหนี้แพงมากขึ้นเนื่องจากผลกระทบจากภาวะวิกฤติสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์
ของ สรอ. ซึ่งธ.กลางยุโรปกล่าวว่าต้นทุนการกู้ยืมเมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้นสูงมากถึงร้อยละ 190 จากที่เคยทำสถิติต่ำที่สุดเมื่อกลางปี 48 (รอยเตอร์)
2. อัตราเงินเฟ้อของยุโรปจะต้องต่ำกว่าร้อยละ 2.0 รายงานจากปารีส เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 51 นาย Christian Noyer
ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการ ธ.กลางยุโรปกล่าวว่า มีความจำเป็นที่จะต้องดูแลเพื่อให้อัตราเงินเฟ้อของยุโรปลดลงอย่างรวดเร็วที่สุดเท่า
ที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าจะลดลงอย่างทันทีทันใดไม่ได้ก็ตาม เนื่องจากผลกระทบจากราคาน้ำมันและอาหารในตลาดสินค้าทั่วโลกสูงขึ้น แต่ทางการ
ยุโรปมีความจำเป็นต้องควบคุมให้อัตราเงินเฟ้อลดลงอยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 2.0 ทั้งนี้ในเดือน มี.ค. อัตราเงินเฟ้อของยุโรปเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงที่สุด
ถึงร้อยละ 3.5 มากกว่าที่ ธ.กลางยุโรปตั้งไว้ไม่ให้สูงเกินกว่าร้อยละ 2.0 (รอยเตอร์)
3. รอยเตอร์เปิดเผยผลการคาดการณ์ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่สำคัญของญี่ปุ่นในเดือน มี.ค.51 รายงานจากโตเกียวเมื่อ
22 เม.ย.51 รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่สำคัญของญี่ปุ่นในเดือน มี.ค.51 โดยคาดว่า มูลค่าการส่งออกจะขยายตัว
ร้อยละ 6.1 เทียบต่อปี เนื่องจากการส่งออกสินค้าไปยังประเทศเศรษฐกิจใหม่เพิ่มขึ้น ชดเชยกับการชะลอลงของการส่งออกไปยัง สรอ.
ส่วนการนำเข้าคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 11.3 สาเหตุจากการที่ราคาน้ำมันและวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าลดลง
ร้อยละ 12.6 เทียบต่อปี หรือเกินดุลการค้าเป็นจำนวน 1.4 ล้านล้านเยน สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวม
ราคาอาหารสดแต่รวมราคาพลังงานในเดือนเดียวกัน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.2 เทียบต่อปี สูงสุดในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่เดือน มี.ค.51
ที่ดัชนีฯ ขยายตัวร้อยละ 1.8 สาเหตุหลักจากการปรับเพิ่มของราคาพลังงานและอาหาร อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนีราคาส่วนประกอบอื่นๆ
ของ Core CPI ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก ประกอบกับรายได้เฉลี่ยของประชาชนยังคงไม่กระเตื้องขึ้น เป็นสาเหตุให้เกิดความกังวลว่า การใช้จ่าย
ของผู้บริโภคอาจชะลอลง (รอยเตอร์)
4. คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือน มี.ค.51 ของมาเลเซียอาจพุ่งสูงขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 13 เดือน รายงานจาก
กัวลาลัมเปอร์ เมื่อ 21 เม.ย.51 ผลสำรวจรอยเตอร์คาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของมาเลเซียจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.0 ต่อปีในเดือน
มี.ค.51 สูงสุดในรอบ 13 เดือนนับตั้งแต่อยู่ที่ระดับ 3.1 ในเดือน ก.พ.50 ส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาอาหารที่สูงขึ้น ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อของ
มาเลเซียได้เริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกัน เช่น อินโดนีเซียและไทยซึ่ง
อัตราเงินเฟ้อในเดือน มี.ค.51 อยู่ที่ร้อยละ 8.17 และ 5.3 ต่อปีตามลำดับ แต่อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดว่า ธ.กลางมาเลเซียจะคง
อัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 3.50 ต่อปีในการประชุมในวันที่ 29 เม.ย.ที่จะถึงนี้ เพื่อสนับสนุนให้ความต้องการในประเทศขยายตัว
ต่อไปในช่วงที่การส่งออกชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยในไตรมาสสุดท้ายปีที่ผ่านมา ความต้องการในประเทศมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจ
มาเลเซียขยายตัวถึงร้อยละ 7.3 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 22 เม.ย. 51 21 เม.ย. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.524 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.2933/31.6352 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25000 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 841.98/24.33 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,700/13,800 13,750/13,850 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 107.43 105.46 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 35.59*/31.74* 35.59*/31.74* 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 19 เม.ย.51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ผลประกอบการ ธ.พาณิชย์ 11 แห่ง มีกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 4.7 พันล้านบาท ผลประกอบการในไตรมาสแรกปี 51 ของ
ธ.พาณิชย์ในตลาดหลักทรัพย์ทั้งระบบรวม 11 แห่ง มีกำไรสุทธิรวม 24,267.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,771.46 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.47
จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย ธ.ทหารไทยมีกำไรเติบโตมากที่สุดร้อยละ 622.21 รองมาลงมาคือ ธ.นครหลวงไทยร้อยละ 552.02
และ ธ.ไทยพาณิชย์ร้อยละ 83.5 ส่วนธนาคารที่มีผลการดำเนินงานลดลงมากที่สุดคือ ธ.ไทยธนาคารมีผลขาดทุน 1,678.67 ล้านบาท
จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 558.60 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 400.51 ขณะที่ ธ.กรุงศรีอยุธยามีกำไรสุทธิลดลงร้อยละ 8.27
และ ธ.กรุงไทยลดลงร้อยละ 6.10 (มติชน)
2. ก.คลังยกเว้นภาษีกำไรตราสารหนี้ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รอง นรม. และ รมว.คลัง กล่าวว่า ในการประชุมคณะ
กรรมการพัฒนาตลาดทุนในวันที่ 23 เม.ย.นี้ จะพิจารณายกเว้นการเก็บภาษีกำไรจากการซื้อขายตราสารหนี้ เพื่อให้เป็นมาตรฐานสากลในการ
ขจัดปัญหาอุปสรรคการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นอกจากนี้ จะมีการพิจารณาให้การควบรวมกิจการกรณีที่บริษัทควบรวมกิจการขาดทุนให้สามารถ
นำผลขาดทุนมาหักลดหย่อนภาษีในการควบรวมกิจการดังกล่าวได้เหมือนในต่างประเทศ แต่ในส่วนของไทยยังมีภาษีควบรวมที่ซ้ำซ้อนอยู่ ซึ่งหาก
ได้ข้อสรุปก็จะเสนอ ครม. เพื่อแก้ไขกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ โดยหลักการคือถ้ามาตรฐานตลาดทรัพย์โลกเป็นอย่างไร ไทยก็ควรจะมีมาตรฐาน
ในลักษณะแข่งขันกับที่อื่นได้ และที่ผ่านมาได้มีการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างตลาดหลักทรัพย์ไทยกับตลาดหลักทรัพย์ในประเทศอื่น เพื่อพิจารณา
ว่ามีมาตรการอะไรบ้างที่เป็นมาตรฐานตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก เพื่อพัฒนาตลาดของไทยให้มีความสามารถในการแข่งขัน จึงต้องพิจารณาว่าอะไร
ที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย อนึ่ง ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนจะมีการพิจารณานำตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาตลาดทุน (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ)
3. คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ร้อยละ 6 นายกรณ์ จาติกวนิช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ภาพรวม
เศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 6 ซึ่งสอดคล้องกับที่ ก.คลังคาดการณ์ไว้ เพราะการลงทุนและการบริโภคเริ่มฟื้นตัว แต่ยอมรับว่ายังมี
ปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองที่เป็นตัวกดดันต่อความเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รวมทั้งปัญหาราคาน้ำมันแพง เพราะปีนี้คาดว่าจะต้องนำเข้าถึง
1 ล้านล้านบาท และยังจะเป็นปัญหาสำคัญทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นไปอีก รวมถึงปัญหาตลาดเงินและตลาดทุนของประเทศคู่ค้าที่อาจกระทบต่อการส่งออก
และปัญหาวิกฤติอาหารโลกแม้ว่าไทยจะเป็นผู้ผลิตอาหารแต่ยังไม่เห็นมาตรการรองรับที่ชัดเจนในการแก้ปัญหา ด้าน นายสมชัย จิตสุชน ผอ.
ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวมและกระจายรายได้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวได้ร้อยละ 6
แต่มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเผชิญและจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวไม่ได้ตามที่คาดไว้ เพราะปัญหาทางการเมืองยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นทาง
เศรษฐกิจ แต่ที่สำคัญคือปัญหาเงินเฟ้อกำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศใหญ่อย่าง สรอ. และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อไทยรุนแรง
มากในช่วง 2 — 3 ปีข้างหน้า (เดลินิวส์)
4. ธ.พาณิชย์ขายสินทรัพย์รอการขายเพื่อลดหนี้เสีย นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ชมรม
สินทรัพย์รอการขายของ ธ.พาณิชย์ได้ร่วมกันจัดงานมหกรรมบ้านธนาคาร 51 ที่ จ.กาญจนบุรี ระหว่างวันที่ 25 — 27 เม.ย.51 เพื่อนำทรัพย์สิน
ด้านอสังหาริมทรัพย์ของ ธ.พาณิชย์ทุกแห่งมาขายในราคาต่ำกว่าราคาประเมินร้อยละ 20 — 60 ซึ่งจะช่วยลดปริมาณสินทรัพย์รอการขายและเป็น
การลดหนี้เสียของแต่ละธนาคาร เพื่อให้เกิดเสถียรภาพต่อสภาวะทางการเงินของประเทศในปัจจุบัน และคาดว่าจะแก้ไขสภาพคล่องทางการเงิน
ได้มากกว่า 6 พันล้านบาท ด้าน น.ส.กรองทอง การุณย์นราทร ประธานชมรมสินทรัพย์รอการขายของ ธ.พาณิชย์ กล่าวว่า งานมหกรรมบ้าน
ธนาคาร 51 เป็นงานที่จะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทั้งในภาพรวมของเศรษฐกิจ องค์กร และประชาชน โดยในส่วนของเศรษฐกิจ
จะทำให้เกิดทิศทางที่ดีในด้านสภาพคล่อง สถาบันการเงินต่าง ๆ สามารถแก้ไขหนี้เสียได้ และประชาชนสามารถสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย
ได้ในราคาถูก (โลกวันนี้, มติชน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. หนี้สินของภาคครัวเรือนและธุรกิจในยูโรโซนเมื่อปีที่แล้วพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ปี 42 รายงานจาก Frankfurt เมื่อ
วันที่ 21 เม.ย. 51 ธ.กลางยุโรปเปิดเผยว่า เมื่อปีที่แล้วหนี้สินของภาคครัวเรือน และของธุรกิจเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูงสุด แม้ว่าจะต้องเผชิญกับ
ภาวะความยุ่งยากในตลาดการเงินที่ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้นก็ตาม ทั้งนี้ตัวเลขหนี้สินภาคครัวเรือนเมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 60.3
ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เช่นเดียวกับหนี้สินของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 78 ของ GDP และอยู่ในระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่
ปี 42 สำหรับสัดส่วนหนี้สินของธุรกิจต่อ Gross operating surplus เพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 386 จากที่เคยอยู่ต่ำกว่าร้อยละ 350 เมื่อ
ปี 48 แม้ว่า ธพ.หลายแห่งจะได้เพิ่มต้นทุนการกู้ยืมระยะสั้นประมาณร้อยละ 100 แล้วก็ตามท่ามกลางภาวะความตึงเครียดในตลาดการเงิน
กิจการต่างๆพบว่าต้นทุนการกู้ยืมโดยผ่านทางการออกจำหน่ายตราสารหนี้แพงมากขึ้นเนื่องจากผลกระทบจากภาวะวิกฤติสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์
ของ สรอ. ซึ่งธ.กลางยุโรปกล่าวว่าต้นทุนการกู้ยืมเมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้นสูงมากถึงร้อยละ 190 จากที่เคยทำสถิติต่ำที่สุดเมื่อกลางปี 48 (รอยเตอร์)
2. อัตราเงินเฟ้อของยุโรปจะต้องต่ำกว่าร้อยละ 2.0 รายงานจากปารีส เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 51 นาย Christian Noyer
ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการ ธ.กลางยุโรปกล่าวว่า มีความจำเป็นที่จะต้องดูแลเพื่อให้อัตราเงินเฟ้อของยุโรปลดลงอย่างรวดเร็วที่สุดเท่า
ที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าจะลดลงอย่างทันทีทันใดไม่ได้ก็ตาม เนื่องจากผลกระทบจากราคาน้ำมันและอาหารในตลาดสินค้าทั่วโลกสูงขึ้น แต่ทางการ
ยุโรปมีความจำเป็นต้องควบคุมให้อัตราเงินเฟ้อลดลงอยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 2.0 ทั้งนี้ในเดือน มี.ค. อัตราเงินเฟ้อของยุโรปเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงที่สุด
ถึงร้อยละ 3.5 มากกว่าที่ ธ.กลางยุโรปตั้งไว้ไม่ให้สูงเกินกว่าร้อยละ 2.0 (รอยเตอร์)
3. รอยเตอร์เปิดเผยผลการคาดการณ์ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่สำคัญของญี่ปุ่นในเดือน มี.ค.51 รายงานจากโตเกียวเมื่อ
22 เม.ย.51 รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่สำคัญของญี่ปุ่นในเดือน มี.ค.51 โดยคาดว่า มูลค่าการส่งออกจะขยายตัว
ร้อยละ 6.1 เทียบต่อปี เนื่องจากการส่งออกสินค้าไปยังประเทศเศรษฐกิจใหม่เพิ่มขึ้น ชดเชยกับการชะลอลงของการส่งออกไปยัง สรอ.
ส่วนการนำเข้าคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 11.3 สาเหตุจากการที่ราคาน้ำมันและวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าลดลง
ร้อยละ 12.6 เทียบต่อปี หรือเกินดุลการค้าเป็นจำนวน 1.4 ล้านล้านเยน สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวม
ราคาอาหารสดแต่รวมราคาพลังงานในเดือนเดียวกัน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.2 เทียบต่อปี สูงสุดในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่เดือน มี.ค.51
ที่ดัชนีฯ ขยายตัวร้อยละ 1.8 สาเหตุหลักจากการปรับเพิ่มของราคาพลังงานและอาหาร อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนีราคาส่วนประกอบอื่นๆ
ของ Core CPI ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก ประกอบกับรายได้เฉลี่ยของประชาชนยังคงไม่กระเตื้องขึ้น เป็นสาเหตุให้เกิดความกังวลว่า การใช้จ่าย
ของผู้บริโภคอาจชะลอลง (รอยเตอร์)
4. คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือน มี.ค.51 ของมาเลเซียอาจพุ่งสูงขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 13 เดือน รายงานจาก
กัวลาลัมเปอร์ เมื่อ 21 เม.ย.51 ผลสำรวจรอยเตอร์คาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของมาเลเซียจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.0 ต่อปีในเดือน
มี.ค.51 สูงสุดในรอบ 13 เดือนนับตั้งแต่อยู่ที่ระดับ 3.1 ในเดือน ก.พ.50 ส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาอาหารที่สูงขึ้น ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อของ
มาเลเซียได้เริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกัน เช่น อินโดนีเซียและไทยซึ่ง
อัตราเงินเฟ้อในเดือน มี.ค.51 อยู่ที่ร้อยละ 8.17 และ 5.3 ต่อปีตามลำดับ แต่อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดว่า ธ.กลางมาเลเซียจะคง
อัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 3.50 ต่อปีในการประชุมในวันที่ 29 เม.ย.ที่จะถึงนี้ เพื่อสนับสนุนให้ความต้องการในประเทศขยายตัว
ต่อไปในช่วงที่การส่งออกชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยในไตรมาสสุดท้ายปีที่ผ่านมา ความต้องการในประเทศมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจ
มาเลเซียขยายตัวถึงร้อยละ 7.3 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 22 เม.ย. 51 21 เม.ย. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.524 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.2933/31.6352 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25000 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 841.98/24.33 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,700/13,800 13,750/13,850 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 107.43 105.46 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 35.59*/31.74* 35.59*/31.74* 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 19 เม.ย.51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--