แท็ก
ธปท.
ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. กำลังพิจารณาการปรับเปลี่ยนเป้าหมายการดูแลเงินเฟ้อพื้นฐาน นายอัมพร แสงมณี ผอ.ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท.
เปิดเผยว่า ผลการประเมินราคาน้ำมัน อาหารสด และผลผลิตทางการเกษตรที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมามองว่า การเคลื่อนไหว
ของราคาสินค้าเหล่านี้น่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อให้สูงขึ้น ทำให้ ธปท. ต้องติดตามการเปลี่ยนแปลง
ของราคาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพราะจะกระทบต่อเงินเฟ้อพื้นฐานที่ ธปท. ใช้เป็นเป้าหมายในการดำเนินนโยบายการเงิน รวมถึงผลกระทบ
ต่อภาคเศรษฐกิจแท้จริง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ปัจจัยที่ ธปท. มองเพื่อจะนำมาปรับเปลี่ยนการดำเนินนโยบายการเงินประกอบด้วย 1) ราคา
สินค้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจะทำให้ความคาดหมายเงินเฟ้อของประชาชนเพิ่มขึ้นหรือไม่ และ 2) ภาวะเหล่านี้จะทำให้ค่าจ้างแรงงานรวมถึงราคา
สินค้าในอนาคตเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผ่านเงินเฟ้อทั่วไปมาสู่เงินเฟ้อพื้นฐานหรือไม่ ขณะเดียวกันต้องดูด้วยว่าราคาที่เพิ่มขึ้นเกิดจากอุปสงค์หรือความ
ต้องการของตลาดโลกจริง หรือเกิดจากอุปทานแท้จริง หรือเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ ด้วย ทั้งนี้ แม้ราคาอาหารสดและราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะมี
แรงกดดันเงินเฟ้อมากขึ้น แต่ประเด็นที่จะมีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายการดูแลเงินเฟ้อพื้นฐานมาเป็นเงินเฟ้อทั่วไป เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะ
ความจริงนั้นยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา ซึ่งตอนนี้ได้ประเมินและส่งผลการประเมินให้คณะกรรมการนโยบายการเงินดูเป็นระยะ ๆ แล้ว
สิ่งที่จะดูแลตอนนี้คือจับตาดูว่าเงินเฟ้อพื้นฐานจะปรับเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกับเงินเฟ้อทั่วไปหรือไม่ ซึ่งยอมรับว่าแรงกดดันเงินเฟ้อจาก
ราคาอาหารสดและน้ำมันเพิ่มขึ้นแต่ไม่เท่ากัน โดยน้ำมันมีหนักในเงินเฟ้อร้อยละ 9 ขณะที่ราคาอาหารมีน้ำหนักร้อยละ 15 ส่วนราคาข้าว
มองว่าจะสูงต่อเนื่องหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัญหาภัยแล้งและภัยธรรมชาติว่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ)
2. เงินบาทปีนี้มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นร้อยละ 41 จากปีก่อน น.ส.ธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล ผจก.ฝ่ายวิจัยการเงินการธนาคาร
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ค่าเงินบาทปีนี้มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นทั้งปีร้อยละ 41 จากปีก่อน จากผลกระทบเศรษฐกิจ สรอ. ที่ตกต่ำทำให้เงิน
ดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดค่าเงินบาทอยู่ที่ 31.45 บาท ต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นร้อยละ 6 — 7 จากสิ้นปี 50
ซึ่งมองว่าค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกในบางกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่การส่งออกของไทย
ในปีนี้จะชะลอตัวลงมากอย่างที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากสินค้าเกษตรยังเติบโตดี โดยเฉพาะราคาข้าวเพิ่มสูงขึ้นมากจากเดือน มี.ค.51 ราคาข้าว
เพิ่มขึ้นร้อยละ 80 — 90 จากปีก่อน สำหรับธุรกิจที่สามารถลงทุนแล้วมีแนวโน้มได้รับผลตอบแทนดีในปีนี้คือ ธุรกิจการเกษตร ธุรกิจท่องเที่ยว
และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันและยังมีสัญญาณทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องไปอีก 2 — 3 ปี เนื่องจาก
ปัจจุบันพื้นที่ปลูกอาหารลดลงหลังจากเกษตรกรหันไปปลูกพืชพลังงานทดแทน ซึ่งจะส่งผลให้ราคาอาหารแพงขึ้น ขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยวคาดว่าปีนี้
การท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศจะสูงขึ้นร้อยละ 8 มากกว่าปีก่อนที่เติบโตร้อยละ 4 คิดเป็นมูลค่าการเติบโตปีนี้ประมาณ
6 แสนล้านบาท ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีนี้มีสัญญาณเติบโตในระดับที่ดีเช่นกัน เนื่องจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ฟื้นตัว รวมทั้งมาตรการ
กระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่ออกมาช่วยสนับสนุน ส่วนธุรกิจที่มีความเสี่ยงในปีนี้คือ ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ เนื่องจากได้รับผลกระทบจาก
การส่งออกที่มีการแข่งขันรุนแรง เพราะสินค้าจากจีนและเวียดนามมีราคาต่ำกว่าไทย (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์)
3. ไทยลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่นแล้ว น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
เปิดเผยว่า ไทยได้ลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา หลังจากนี้แต่ละประเทศจะไปดำเนินการ
ตามกระบวนการภายในเพื่อให้ความตกลงมีผลบังคับใช้ ซึ่งไทยจะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญปี 50 มาตรา 190 ที่กำหนดว่าก่อนจะให้สัตยาบันเพื่อ
แสดงเจตนาให้ความตกลงมีผลบังคับใช้นั้น ครม. ต้องส่งเรื่องให้สภาพิจารณาอนุมัติก่อน ทั้งนี้ การลงนามดังกล่าวแตกต่างจากพิธีลงนามความ
ตกลงการค้าระหว่างประเทศทั่วไป เพราะใช้การเวียนความตกลงตามความสะดวกของแต่ละประเทศ เพราะญี่ปุ่นต้องการให้การลงนามเสร็จ
ช่วงปลายเดือน มี.ค. — เม.ย. เพื่อให้ทันเสนอรัฐสภาของญี่ปุ่นที่จะประชุมครั้งสุดท้ายเดือน พ.ค.นี้ เพราะหากไม่ทันต้องรอไปอีก 1 ปี
จึงจะให้สัตยาบันและมีผลบังคับใช้ได้ ซึ่งการที่อาเซียนลงนามเสร็จตามกำหนดเวลาจะทำให้เอฟทีเอฉบับนี้มีผลบังคับใช้ในต้นปีหน้า(กรุงเทพธุรกิจ)
4. การใช้สถาบันการเงินของรัฐปล่อยสินเชื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอาจทำให้หนี้เสียเพิ่มขึ้น นายศิริโชค โสภา โฆษกพรรคประชาธิปัตย์
กล่าวว่า เป็นห่วงกรณีที่ ก.คลังสั่งให้สถาบันการเงินของรัฐเป็นเครื่องมือในการสนองนโยบายรัฐโดยการปล่อยสินเชื่อเป็นเงินงบประมาณ
1.1 ล้านล้านบาท เพราะได้ศึกษาข้อเท็จจริงคิดว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก โดยที่ผ่านมาธนาคารของรัฐตั้งแต่ตั้งขึ้นจนถึงปัจจุบันปล่อยสินเชื่อไป
เพียง 1.3 ล้านล้านบาท ดังนั้น การที่รัฐบาลจะบังคับให้ธนาคารของรัฐปล่อยสินเชื่อในปีเดียว 1.1 ล้านล้านบาท ย่อมเป็นไปได้ยาก จึง
อยากให้รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านงบประมาณจะดีกว่า และเรียกร้องให้ ธปท. เข้ามากำกับดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย
เหมือนในอดีต ทั้งนี้ จากการติดตามดูหนี้ของโครงการที่ปล่อยกู้ไปแล้ว 9 โครงการ ของ ธ.ออมสิน ธอส. ธกส. และ ธ.กรุงไทย
รวม 2.32 แสนล้านบาท พบว่ามีปัญหาหนี้เสียเป็นจำนวนมาก (โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดขายบ้านสร้างใหม่ของ สรอ. ในเดือน มี.ค. ลดลงร้อยละ 8.5 รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 51
ก.พาณิชย์ สรอ. เปิดเผยว่าในเดือน มี.ค. ยอดขายบ้านสร้างใหม่ของ สรอ. ลดลงอย่างมากและเหนือความคาดหมายถึงร้อยละ 8.5
อยู่ที่ 526,000 หลัง (เทียบต่อปี) อ่อนตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 34 และลดลงจาก 575,000 หลังในเดือน ก.พ. (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล)
ส่วนราคาบ้านสร้างใหม่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้วลดลงร้อยละ 13.3 ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 13 อยู่ที่เฉลี่ยหลังละ 227,600 ดอลลาร์
สรอ. และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลงร้อยละ 6.8 ทั้งนี้ผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์คาดว่ายอดขายบ้านสร้างใหม่ในเดือน
มี.ค. จะชะลอลงอยู่ที่ 580,000 หลังจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านั้นว่าจะลดลงที่ระดับ 590,000 หลัง (ตัวเลขเทียบต่อปี) สำหรับสต็อกบ้าน
ที่ยังมิได้จำหน่ายในเดือน มี.ค. ลดลงร้อยละ 1.1 อยู่ที่ระดับ 468,000 หลังซึ่งเมื่อเทียบต่อยอดขายในปัจจุบันจะใช้เวลา 11 เดือนใน
การขายให้หมดสต็อก เพิ่มขึ้นจาก 10.2 เดือนเมื่อเดือน ก.พ. (รอยเตอร์)
2. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของญี่ปุ่นในเดือน มี.ค.51 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 เทียบต่อปี รายงานจากโตเกียวเมื่อ 25 เม.ย.51
ทางการญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่มีความผันผวน) ของญี่ปุ่นในเดือน มี.ค.51 เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1.2 เทียบต่อปี เป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาด และเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค.41 ที่ดัชนีเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8
นอกจากนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานในเขตโตเกียว ซึ่งทางการได้เปิดเผยตัวเลขในเดือน เม.ย.51 แล้ว พบว่า ดัชนีฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7
เทียบต่อปี สูงกว่าเล็กน้อยจากการคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าดัชนีจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 (รอยเตอร์)
3. จีดีพีของเกาหลีใต้ในช่วงไตรมาสแรกปี 51 ขยายตัวต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี รายงานจากโซลเมื่อ 25 เม.ย.51
ธ.กลางเกาหลีใต้เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของเกาหลีใต้ในช่วงไตรมาสแรกปี 51 ขยายตัวต่ำสุดในรอบกว่า
3 ปีนับตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 51 โดยขยายตัวร้อยละ 0.7 ไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนหน้า อยู่ที่ระดับร้อยละ 5.7 เทียบต่อปี
สูงกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่า จีดีพีจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.5 เป็นผลจากการชะลอตัวของความต้องการทั้งภายในประเทศ
และจากต่างประเทศ ทั้งนี้ บรรดานักเศรษฐศาสตร์มีความเห็นว่า การที่จีดีพีของเกาหลีใต้ในช่วงไตรมาสแรกขยายตัวชะลอลงดังกล่าว
สะท้อนภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจและอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนแนวทางในการผ่อนคลายนโยบายการเงินของ ธ.กลาง เกาหลีใต้ โดย
นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้อาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินช่วง
ต้นเดือนหน้า ซึ่งจะเป็นการปรับลดครั้งแรกหลังจากที่เคยปรับลดอัตราดอกเบี้ยล่าสุดไปเมื่อเดือน พ.ย.47 อนึ่ง อัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ของเกาหลีใต้ปัจจุบันอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.0 (รอยเตอร์)
4. ดัชนีราคาผู้บริโภคของมาเลเซียในเดือน มี.ค.51 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 13 เดือน รายงานจากกัวลาลัมเปอร์เมื่อ
23 เม.ย.51 ทางการมาเลเซียเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของมาเลเซียในเดือน มี.ค.51 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เทียบต่อปี สูงสุดใน
รอบ 13 เดือน แต่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 ทั้งนี้ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภค
ดังกล่าว ได้รับแรงสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากของราคาอาหารเป็นสำคัญ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 25 เม.ย. 51 24 เม.ย. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.550 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.3035/31.6372 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25000 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 834.31/21.81 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,350/13,450 13,500/13,600 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 108.87 109.07 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) ) 36.09*/32.94** 36.09*/32.94** 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 23 เม.ย.51
**ปรับเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 24 เม.ย.51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. กำลังพิจารณาการปรับเปลี่ยนเป้าหมายการดูแลเงินเฟ้อพื้นฐาน นายอัมพร แสงมณี ผอ.ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท.
เปิดเผยว่า ผลการประเมินราคาน้ำมัน อาหารสด และผลผลิตทางการเกษตรที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมามองว่า การเคลื่อนไหว
ของราคาสินค้าเหล่านี้น่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อให้สูงขึ้น ทำให้ ธปท. ต้องติดตามการเปลี่ยนแปลง
ของราคาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพราะจะกระทบต่อเงินเฟ้อพื้นฐานที่ ธปท. ใช้เป็นเป้าหมายในการดำเนินนโยบายการเงิน รวมถึงผลกระทบ
ต่อภาคเศรษฐกิจแท้จริง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ปัจจัยที่ ธปท. มองเพื่อจะนำมาปรับเปลี่ยนการดำเนินนโยบายการเงินประกอบด้วย 1) ราคา
สินค้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจะทำให้ความคาดหมายเงินเฟ้อของประชาชนเพิ่มขึ้นหรือไม่ และ 2) ภาวะเหล่านี้จะทำให้ค่าจ้างแรงงานรวมถึงราคา
สินค้าในอนาคตเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผ่านเงินเฟ้อทั่วไปมาสู่เงินเฟ้อพื้นฐานหรือไม่ ขณะเดียวกันต้องดูด้วยว่าราคาที่เพิ่มขึ้นเกิดจากอุปสงค์หรือความ
ต้องการของตลาดโลกจริง หรือเกิดจากอุปทานแท้จริง หรือเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ ด้วย ทั้งนี้ แม้ราคาอาหารสดและราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะมี
แรงกดดันเงินเฟ้อมากขึ้น แต่ประเด็นที่จะมีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายการดูแลเงินเฟ้อพื้นฐานมาเป็นเงินเฟ้อทั่วไป เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะ
ความจริงนั้นยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา ซึ่งตอนนี้ได้ประเมินและส่งผลการประเมินให้คณะกรรมการนโยบายการเงินดูเป็นระยะ ๆ แล้ว
สิ่งที่จะดูแลตอนนี้คือจับตาดูว่าเงินเฟ้อพื้นฐานจะปรับเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกับเงินเฟ้อทั่วไปหรือไม่ ซึ่งยอมรับว่าแรงกดดันเงินเฟ้อจาก
ราคาอาหารสดและน้ำมันเพิ่มขึ้นแต่ไม่เท่ากัน โดยน้ำมันมีหนักในเงินเฟ้อร้อยละ 9 ขณะที่ราคาอาหารมีน้ำหนักร้อยละ 15 ส่วนราคาข้าว
มองว่าจะสูงต่อเนื่องหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัญหาภัยแล้งและภัยธรรมชาติว่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ)
2. เงินบาทปีนี้มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นร้อยละ 41 จากปีก่อน น.ส.ธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล ผจก.ฝ่ายวิจัยการเงินการธนาคาร
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ค่าเงินบาทปีนี้มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นทั้งปีร้อยละ 41 จากปีก่อน จากผลกระทบเศรษฐกิจ สรอ. ที่ตกต่ำทำให้เงิน
ดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดค่าเงินบาทอยู่ที่ 31.45 บาท ต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นร้อยละ 6 — 7 จากสิ้นปี 50
ซึ่งมองว่าค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกในบางกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่การส่งออกของไทย
ในปีนี้จะชะลอตัวลงมากอย่างที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากสินค้าเกษตรยังเติบโตดี โดยเฉพาะราคาข้าวเพิ่มสูงขึ้นมากจากเดือน มี.ค.51 ราคาข้าว
เพิ่มขึ้นร้อยละ 80 — 90 จากปีก่อน สำหรับธุรกิจที่สามารถลงทุนแล้วมีแนวโน้มได้รับผลตอบแทนดีในปีนี้คือ ธุรกิจการเกษตร ธุรกิจท่องเที่ยว
และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันและยังมีสัญญาณทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องไปอีก 2 — 3 ปี เนื่องจาก
ปัจจุบันพื้นที่ปลูกอาหารลดลงหลังจากเกษตรกรหันไปปลูกพืชพลังงานทดแทน ซึ่งจะส่งผลให้ราคาอาหารแพงขึ้น ขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยวคาดว่าปีนี้
การท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศจะสูงขึ้นร้อยละ 8 มากกว่าปีก่อนที่เติบโตร้อยละ 4 คิดเป็นมูลค่าการเติบโตปีนี้ประมาณ
6 แสนล้านบาท ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีนี้มีสัญญาณเติบโตในระดับที่ดีเช่นกัน เนื่องจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ฟื้นตัว รวมทั้งมาตรการ
กระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่ออกมาช่วยสนับสนุน ส่วนธุรกิจที่มีความเสี่ยงในปีนี้คือ ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ เนื่องจากได้รับผลกระทบจาก
การส่งออกที่มีการแข่งขันรุนแรง เพราะสินค้าจากจีนและเวียดนามมีราคาต่ำกว่าไทย (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์)
3. ไทยลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่นแล้ว น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
เปิดเผยว่า ไทยได้ลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา หลังจากนี้แต่ละประเทศจะไปดำเนินการ
ตามกระบวนการภายในเพื่อให้ความตกลงมีผลบังคับใช้ ซึ่งไทยจะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญปี 50 มาตรา 190 ที่กำหนดว่าก่อนจะให้สัตยาบันเพื่อ
แสดงเจตนาให้ความตกลงมีผลบังคับใช้นั้น ครม. ต้องส่งเรื่องให้สภาพิจารณาอนุมัติก่อน ทั้งนี้ การลงนามดังกล่าวแตกต่างจากพิธีลงนามความ
ตกลงการค้าระหว่างประเทศทั่วไป เพราะใช้การเวียนความตกลงตามความสะดวกของแต่ละประเทศ เพราะญี่ปุ่นต้องการให้การลงนามเสร็จ
ช่วงปลายเดือน มี.ค. — เม.ย. เพื่อให้ทันเสนอรัฐสภาของญี่ปุ่นที่จะประชุมครั้งสุดท้ายเดือน พ.ค.นี้ เพราะหากไม่ทันต้องรอไปอีก 1 ปี
จึงจะให้สัตยาบันและมีผลบังคับใช้ได้ ซึ่งการที่อาเซียนลงนามเสร็จตามกำหนดเวลาจะทำให้เอฟทีเอฉบับนี้มีผลบังคับใช้ในต้นปีหน้า(กรุงเทพธุรกิจ)
4. การใช้สถาบันการเงินของรัฐปล่อยสินเชื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอาจทำให้หนี้เสียเพิ่มขึ้น นายศิริโชค โสภา โฆษกพรรคประชาธิปัตย์
กล่าวว่า เป็นห่วงกรณีที่ ก.คลังสั่งให้สถาบันการเงินของรัฐเป็นเครื่องมือในการสนองนโยบายรัฐโดยการปล่อยสินเชื่อเป็นเงินงบประมาณ
1.1 ล้านล้านบาท เพราะได้ศึกษาข้อเท็จจริงคิดว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก โดยที่ผ่านมาธนาคารของรัฐตั้งแต่ตั้งขึ้นจนถึงปัจจุบันปล่อยสินเชื่อไป
เพียง 1.3 ล้านล้านบาท ดังนั้น การที่รัฐบาลจะบังคับให้ธนาคารของรัฐปล่อยสินเชื่อในปีเดียว 1.1 ล้านล้านบาท ย่อมเป็นไปได้ยาก จึง
อยากให้รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านงบประมาณจะดีกว่า และเรียกร้องให้ ธปท. เข้ามากำกับดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย
เหมือนในอดีต ทั้งนี้ จากการติดตามดูหนี้ของโครงการที่ปล่อยกู้ไปแล้ว 9 โครงการ ของ ธ.ออมสิน ธอส. ธกส. และ ธ.กรุงไทย
รวม 2.32 แสนล้านบาท พบว่ามีปัญหาหนี้เสียเป็นจำนวนมาก (โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดขายบ้านสร้างใหม่ของ สรอ. ในเดือน มี.ค. ลดลงร้อยละ 8.5 รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 51
ก.พาณิชย์ สรอ. เปิดเผยว่าในเดือน มี.ค. ยอดขายบ้านสร้างใหม่ของ สรอ. ลดลงอย่างมากและเหนือความคาดหมายถึงร้อยละ 8.5
อยู่ที่ 526,000 หลัง (เทียบต่อปี) อ่อนตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 34 และลดลงจาก 575,000 หลังในเดือน ก.พ. (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล)
ส่วนราคาบ้านสร้างใหม่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้วลดลงร้อยละ 13.3 ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 13 อยู่ที่เฉลี่ยหลังละ 227,600 ดอลลาร์
สรอ. และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลงร้อยละ 6.8 ทั้งนี้ผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์คาดว่ายอดขายบ้านสร้างใหม่ในเดือน
มี.ค. จะชะลอลงอยู่ที่ 580,000 หลังจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านั้นว่าจะลดลงที่ระดับ 590,000 หลัง (ตัวเลขเทียบต่อปี) สำหรับสต็อกบ้าน
ที่ยังมิได้จำหน่ายในเดือน มี.ค. ลดลงร้อยละ 1.1 อยู่ที่ระดับ 468,000 หลังซึ่งเมื่อเทียบต่อยอดขายในปัจจุบันจะใช้เวลา 11 เดือนใน
การขายให้หมดสต็อก เพิ่มขึ้นจาก 10.2 เดือนเมื่อเดือน ก.พ. (รอยเตอร์)
2. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของญี่ปุ่นในเดือน มี.ค.51 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 เทียบต่อปี รายงานจากโตเกียวเมื่อ 25 เม.ย.51
ทางการญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่มีความผันผวน) ของญี่ปุ่นในเดือน มี.ค.51 เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1.2 เทียบต่อปี เป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาด และเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค.41 ที่ดัชนีเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8
นอกจากนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานในเขตโตเกียว ซึ่งทางการได้เปิดเผยตัวเลขในเดือน เม.ย.51 แล้ว พบว่า ดัชนีฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7
เทียบต่อปี สูงกว่าเล็กน้อยจากการคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าดัชนีจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 (รอยเตอร์)
3. จีดีพีของเกาหลีใต้ในช่วงไตรมาสแรกปี 51 ขยายตัวต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี รายงานจากโซลเมื่อ 25 เม.ย.51
ธ.กลางเกาหลีใต้เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของเกาหลีใต้ในช่วงไตรมาสแรกปี 51 ขยายตัวต่ำสุดในรอบกว่า
3 ปีนับตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 51 โดยขยายตัวร้อยละ 0.7 ไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนหน้า อยู่ที่ระดับร้อยละ 5.7 เทียบต่อปี
สูงกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่า จีดีพีจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.5 เป็นผลจากการชะลอตัวของความต้องการทั้งภายในประเทศ
และจากต่างประเทศ ทั้งนี้ บรรดานักเศรษฐศาสตร์มีความเห็นว่า การที่จีดีพีของเกาหลีใต้ในช่วงไตรมาสแรกขยายตัวชะลอลงดังกล่าว
สะท้อนภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจและอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนแนวทางในการผ่อนคลายนโยบายการเงินของ ธ.กลาง เกาหลีใต้ โดย
นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้อาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินช่วง
ต้นเดือนหน้า ซึ่งจะเป็นการปรับลดครั้งแรกหลังจากที่เคยปรับลดอัตราดอกเบี้ยล่าสุดไปเมื่อเดือน พ.ย.47 อนึ่ง อัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ของเกาหลีใต้ปัจจุบันอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.0 (รอยเตอร์)
4. ดัชนีราคาผู้บริโภคของมาเลเซียในเดือน มี.ค.51 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 13 เดือน รายงานจากกัวลาลัมเปอร์เมื่อ
23 เม.ย.51 ทางการมาเลเซียเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของมาเลเซียในเดือน มี.ค.51 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เทียบต่อปี สูงสุดใน
รอบ 13 เดือน แต่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 ทั้งนี้ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภค
ดังกล่าว ได้รับแรงสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากของราคาอาหารเป็นสำคัญ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 25 เม.ย. 51 24 เม.ย. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.550 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.3035/31.6372 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25000 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 834.31/21.81 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,350/13,450 13,500/13,600 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 108.87 109.07 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) ) 36.09*/32.94** 36.09*/32.94** 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 23 เม.ย.51
**ปรับเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 24 เม.ย.51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--