ภาวะเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือเดือนนี้ ชะลอตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน โดยด้านอุปทานผลผลิตเกษตร ส่วนใหญ่ลดลง ราคาข้าวเปลือกเหนียว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังคงสูงกว่าระยะเดียวกันของปีก่อน สำหรับ ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิอ่อนตัวลงเล็กน้อย ภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น ภาคบริการยังคึกคัก เนื่องจากเป็นช่วงปลายปีงบประมาณ ทำให้มีการจัดประชุมสัมมนาอย่างต่อเนื่อง ด้านอุปสงค์ ยังชะลอตัวต่อเนื่องตามการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน การจัดเก็บภาษีอากรของภาครัฐเพิ่มขึ้น ทางด้านการค้าชายแดนยังขยายตัวดีทั้งการค้าไทย - ลาว และไทย - กัมพูชา ในส่วนเงินฝาก ชะลอตัวขณะที่สินเชื่อยังขยายตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อน อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 3.5
ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ภาวะเศรษฐกิจภาคชะลอตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน โดยด้านอุปทานผลผลิตเกษตร ได้แก่ ข้าวเปลือก มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลดลง ราคาสินค้าเกษตรส่วนใหญ่สูงขึ้น ยกเว้นราคาข้าวเปลือกหอมมะลิ ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ส่วนใหญ่ชะลอตัว โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส ด้านอุปสงค์ชะลอตัวตามการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังให้ความสนใจลงทุนในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ด้านพลังงานทดแทน อาทิ โครงการผลิตเอทานอล โครงการผลิตกระแสไฟฟ้า และโครงการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ การจัดเก็บภาษีอากรชะลอจากไตรมาสก่อนตามการลดลงของ ภาษีสรรพสามิต ด้านการค้าชายแดนไทย - ลาว ยังขยายตัวต่อเนื่องทั้งการส่งออกและการนำเข้า ส่วนการค้าชายแดนไทย - กัมพูชากลับ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนตามการนำเข้าพืชไร่ในโครงการ Contract Farming เป็นสำคัญ สำหรับเงินฝากและสินเชื่อชะลอตัวจากไตรมาส ที่แล้วเล็กน้อย อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 2.8
รายละเอียดของแต่ละภาคเศรษฐกิจ มีดังนี้
1. ภาคเกษตรกรรมในเดือนนี้ ผลผลิตเกษตรสำคัญออกสู่ตลาดลดลงทั้งข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาพืชผลส่วนใหญ่สูงขึ้น ยกเว้นราคาข้าวเปลือกหอมมะลิที่ลดลงเล็กน้อย โดยราคาขายส่งข้าวเปลือกเหนียว 10% (เมล็ดยาว) เฉลี่ยเกวียนละ 11,785 บาท สูงขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 20.9 ราคาขายส่งหัวมันสำปะหลังเฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.75 บาท สูงขึ้นร้อยละ 90.2 ราคาขายส่งมันเส้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 4.11 บาท สูงขึ้นร้อยละ 13.9 เนื่องจากผลผลิตมีน้อยไม่เพียงพอกับความต้องการ ของโรงงานแปรรูปมันสำปะหลัง ราคาขายส่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.74 บาท สูงขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 32.2 แต่ราคาขายส่งข้าวเปลือกหอมมะลิเฉลี่ยเกวียนละ 8,955 บาท ลดลงร้อยละ 2.4
ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ เป็นช่วงปลายฤดูการเก็บเกี่ยวปี 2549/50 และเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูการผลิตปี 2550/51 ผลผลิตจึงออกสู่ ตลาดน้อย ราคาพืชผลส่วนใหญ่ยังสูงขึ้น ยกเว้นราคาข้าวเปลือกหอมมะลิที่อ่อนตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากเกษตรกรบางส่วนระบายข้าว ออกสู่ตลาดเพื่อรองรับผลผลิตฤดูกาลใหม่ โดยราคาขายส่งข้าวเปลือกเหนียว 10% (เมล็ดยาว) เฉลี่ยเกวียนละ 11,784 บาท สูงขึ้นไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 29.0 ตามความต้องการของตลาดส่งออกที่ยังเพิ่มขึ้น ราคาขายส่งหัวมันสำปะหลังเฉลี่ยกิโลกรัม ละ 1.69 บาท สูงขึ้นร้อยละ 65.7 ราคาขายส่งมันเส้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.93 บาท สูงขึ้นร้อยละ 11.9 เนื่องจากผลผลิตมีน้อย และสภาพ ฝนตกชุกเป็นอุปสรรคต่อการเก็บเกี่ยวและการผลิตมันเส้น ขณะที่ความต้องการทั้งตลาดในและต่างประเทศมีมาก ราคาขายส่งข้าวโพด เลี้ยงสัตว์เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.66 บาท สูงขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 26.6 เพราะผลผลิตมีน้อยไม่เพียงพอกับความ ต้องการของโรงงานผลิตอาหารสัตว์ แต่ราคาขายส่งข้าวเปลือกหอมมะลิเฉลี่ยเกวียนละ 8,942 บาท อ่อนตัวลงเล็กน้อยโดยลดลง ร้อยละ 1.3
2. ภาคอุตสาหกรรมในเดือนนี้ปรับตัวดีขึ้น ในอุตสาหกรรมที่ไม่ใช้วัตถุดิบทางการเกษตร สำหรับอุตสาหกรรมแปรรูป มันสำปะหลังผลิตลดลงเนื่องจากยังขาดแคลนหัวมันสำปะหลังในการผลิต
ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ การผลิตของอุตสาหกรรมสำคัญชะลอตัว โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส เนื่องจาก อุตสาหกรรมแปรรูปมันสำปะหลังยังประสบปัญหาการขาดแคลนหัวมันสำปะหลังในการผลิต แม้ความต้องการเพื่อใช้ในการผลิต เพื่อการส่งออกสูงมากก็ตาม
3. ภาคบริการ ในเดือนนี้สถานการณ์ท่องเที่ยวยังคึกคัก เนื่องจากมีการจัดประชุมสัมมนาของภาคราชการและภาคเอกชน เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงปลายปีงบประมาณ โดยเฉพาะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 24 ที่จังหวัดนครราชสีมามีการประชุมเตรียมงานกันอย่างต่อเนื่อง อัตราการเข้าพักของโรงแรมอยู่ที่ระดับร้อยละ 46.5 ขณะที่จำนวน นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.6 จากเดือนเดียวกันของปีก่อน
4. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ในเดือนนี้ชะลอตัว เนื่องจากประชาชนยังชะลอการตัดสินใจซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ทำให้ การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 637.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 ชะลอจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 รวมถึงยอดการจดทะเบียนรถยนต์ บรรทุกส่วนบุคคล 4,096 คัน และรถจักรยานยนต์ 26,542 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 7.0 และร้อยละ 25.6 ตามลำดับ จำนวนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจำนวน 2,649 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.4 ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.5 ปริมาณการใช้ไฟฟ้า ในภาคที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7
ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ยังคงชะลอตัวเนื่องจากประชาชนยังขาดความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงความเข้มงวด ในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนบางส่วนลดลง มีผลให้ยอดการจดทะเบียนรถบรรทุกส่วนบุคคล จำนวน 12,755 คัน และรถจักรยานยนต์ 93,156 คัน ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 7.5 และร้อยละ 22.9 ตามลำดับ การจัดเก็บ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 1,918 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 อย่างไรก็ตาม มีการจดทะเบียน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลจำนวน 8,220 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.8 ขยายตัวจากไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เนื่องจากบริษัทรถยนต์ มีการแข่งขันทางด้านรายการส่งเสริมการขายในช่วงไตรมาสนี้ สำหรับปริมาณการใช้ไฟฟ้าในภาคที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7
5. การลงทุนภาคเอกชน ในเดือนนี้ยังชะลอตัวต่อเนื่อง โดยเครื่องชี้สำคัญคือการจดทะเบียนนิติบุคคลตั้งใหม่ทั้งบริษัทจำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด 405.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11.1 ส่วนใหญ่เป็นการลดลงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง สำหรับโครงการที่ได้รับ อนุมัติส่งเสริมการลงทุนมีเพียง 2 โครงการ แต่ใช้เงินลงทุนสูงมากทั้งสิ้น 18,922 ล้านบาท เนื่องจากมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของ บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ใช้เงินลงทุนสูงถึง 18,702 ล้านบาท ที่จังหวัดนครราชสีมา และโครงการผลิตเคมีภัณฑ์ขั้นอุตสาหกรรมพื้นฐาน ใช้เงินลงทุน 220 ล้านบาท ที่จังหวัดขอนแก่น ทางด้านปริมาณการใช้ไฟฟ้า ในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 ชะลอลงจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.9 อย่างไรก็ตาม พื้นที่ขอรับอนุญาตก่อสร้าง ยังเพิ่มขึ้น โดยมีพื้นที่ทั้งสิ้น 136,602.4 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ก่อสร้างที่อยู่อาศัย
ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ การลงทุนยังคงชะลอตัว เนื่องจากนักลงทุนยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โดยพื้นที่ขอรับ อนุญาตก่อสร้าง 440,397.1 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ 7.2 โดยเฉพาะพื้นที่ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม ยังมีการขยายการลงทุน อยู่บ้าง เห็นได้จาก ทุนจดทะเบียนธุรกิจตั้งใหม่ทั้งบริษัทจำกัดและห้างหุ้นส่วนจำกัด จำนวน 1,891.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน ของปีก่อนร้อยละ45.3 เนื่องจากมีการลงทุนของธุรกิจผลิตเอทานอลที่ใช้เงินลงทุนสูงถึง 600 ล้านบาท ที่จังหวัดอุบลราชธานี และธุรกิจจัดสรรที่ดินที่จังหวัดขอนแก่นในเดือนกรกฎาคม ทางด้านโครงการที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมีเงินลงทุน 20,973 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 67.5 เป็นผลจากมีโครงการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ที่จังหวัดนครราชสีมาใช้เงินลงทุน สูงถึง 18,702 ล้านบาท นอกจากนั้น ยังมีโครงการที่ใช้เงินลงทุนสูงอื่น ๆ อีก ได้แก่ โครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ โครงการผลิตเคมีภัณฑ์ โครงการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และโครงการผลิตแป้งแปรรูป สำหรับการใช้ไฟฟ้าในภาคธุรกิจและ อุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7
6. ภาคการคลัง ในเดือนนี้ รายได้ของภาครัฐบาลที่ได้จากการจัดเก็บภาษีอากร เดือนนี้สามารถจัดเก็บได้รวม 2,726.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11.9 เป็นการเพิ่มขึ้นของภาษีอากรทุกประเภท จำแนกได้เป็น ภาษีสรรพากร 1,511.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต จัดเก็บได้ 1,195.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.7 ส่วนใหญ่เป็นการจัดเก็บจากภาษีสุราซึ่งส่วนใหญ่เป็นเบียร์ ทางด้านการจัดเก็บอากร ขาเข้า 19.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 65.3 ส่วนใหญ่เป็นการจัดเก็บจากสินแร่ทองแดงและเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผ่านด่านศุลกากรมุกดาหาร
ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ รายได้ของภาครัฐบาล จากการจัดเก็บภาษีอากรชะลอตัวจากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลจากการจัดเก็บ ภาษีสรรพสามิตที่ลดลง โดยจัดเก็บภาษีอากรรวม 8,106.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.4 ชะลอตัว จากไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.7 จำแนกเป็น ภาษีสรรพากรจำนวน 5,038.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เพิ่มขึ้นทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล การจัดเก็บอากรขาเข้ารวม 52.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 73.4 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้น จากการนำเข้าสินแร่ทองแดง เสื้อผ้าสำเร็จรูป และไม้แปรรูป สำหรับภาษีสรรพสามิตจัดเก็บได้ 3,015.8 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.4 เทียบกับไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.3 เนื่องจากภาษีสุราซึ่งส่วนใหญ่จัดเก็บจากภาษีเบียร์ลดลงมาก
7. การค้าต่างประเทศ ในเดือนนี้ การค้าชายแดนไทย - ลาว ยังขยายตัวต่อเนื่องทั้งการส่งออกและการนำเข้า โดยมีมูลค่า การค้า 5,191.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.8 จำแนกเป็นมูลค่าการส่งออก 3,477.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.2 เป็นการเพิ่มขึ้น ของสินค้าทุกหมวด ประเภทสินค้าสำคัญที่เพิ่มขึ้นได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียมเชื้อเพลิงและสารหล่อลื่น วัสดุก่อสร้าง ผ้าผืน เครื่องจักรและ อุปกรณ์ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า (เนื่องจากมีการส่งออกเครื่องขุดเจาะสำรวจแร่ รถไถนาเดินตาม) และเครื่องใช้ไฟฟ้า สำหรับมูลค่า การนำเข้า 1,713.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.1 ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินแร่ทองแดง ยานพาหนะอุปกรณ์และส่วนประกอบ (กว่าครึ่งหนึ่งเป็นการนำกลับรถยนต์เก่าและรถที่นำไปใช้งานอื่น ส่วนที่เหลือเป็นการนำเข้าชุดสายไฟรถยนต์สำเร็จรูป และรถยนต์ใหม่ พวงมาลัยซ้ายเพื่อส่งไปขายต่อยังประเทศกัมพูชา)
ทางด้านการค้าชายแดนไทย - กัมพูชา ขยายตัวดี โดยมีมูลค่าการค้า 3,100.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.6 เป็นการส่งออก 2,958.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3 ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกยานพาหนะและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ และเคมีภัณฑ์ ทางด้านการนำเข้า 142.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 92.2 เป็นผลจากการนำเข้าพืชไร่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าตัว และสินค้าประเภทวัสดุใช้แล้ว เช่น เหล็ก ทองแดง อลูมิเนียม และกระดาษ
ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ มูลค่าการค้าชายแดนไทย - ลาว ขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน โดยมีมูลค่า 15,691.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 30.0 จำแนกเป็นการส่งออก 10,537.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.2 ส่วนใหญ่เป็น การส่งออก ยานพาหนะและอุปกรณ์ (รถยนต์นั่งใหม่พวงมาลัยซ้าย รถจักรยานยนต์และอะไหล่ รถยนต์บรรทุกเก่า รวมถึงรถใช้งาน อื่น ๆ) น้ำมันปิโตรเลียม สินค้าบริโภค และวัสดุก่อสร้าง ทางด้านการนำเข้า 5,154.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.9 ส่วนใหญ่เป็นผลจาก การนำเข้าสินแร่ทองแดง (สัดส่วนร้อยละ 68.0) ยานพาหนะและอุปกรณ์ (ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์นั่งใหม่พวงมาลัยซ้ายเพื่อส่งไปจำหน่าย ที่กัมพูชา และอีกประมาณร้อยละ 40.0 เป็นการนำกลับเครื่องจักรเก่าที่เสร็จสิ้นการใช้งาน)
การค้าชายแดนไทย - กัมพูชา ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยมีมูลค่าการค้ารวม 9,015.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่ลดลงร้อยละ 3.2 ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวด้านการนำเข้าเป็นสำคัญ โดยเป็นมูลค่าการนำเข้า 578.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามโครงการContract Farming คิดเป็นสัดส่วนถึง ร้อยละ 60.0 นอกจากนั้น เป็นวัสดุที่ใช้แล้วประเภทเหล็ก กระดาษ อลูมิเนียม และทองแดง เป็นต้น ทางด้านมูลค่าการส่งออก 8,436.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ส่วนใหญ่เป็นยานพาหนะและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยสินค้าที่ส่งออกที่ลดลงมากได้แก่ น้ำตาล วัสดุก่อสร้าง และน้ำมันเชื้อเพลิง
8. ระดับราคา อัตราเงินเฟ้อเดือนนี้สูงขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.5 เป็นผลจากราคาสินค้าหมวดอาหารและ เครื่องดื่มเป็นสำคัญ โดยสูงขึ้นร้อยละ 7.2 โดยสินค้าที่มีราคาสูงขึ้นมากได้แก่ ผักและผลไม้ เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูการผลิตผลไม้ บางประเภท เช่น เงาะ ชมพู่ ส้มเขียวหวาน มะม่วง เป็นต้น และข้าวสารเหนียว สำหรับราคาสินค้าหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ 1.2 จากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ยาสูบ และสุรา สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.8 เป็นผลจากราคาสินค้าหมวดอาหาร และเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ 7.4 โดยราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นมากได้แก่ ผักและผลไม้ และข้าวสารเหนียว ในส่วนราคาสินค้า หมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 0.1 สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0
9. ภาคการจ้างงาน ภาวะการทำงานของประชากรเดือนสิงหาคม 2550 มีผู้มีงานทำในภาคทั้งสิ้น 12.1 ล้านคน เป็นผู้ทำงาน ในภาคเกษตร 7.3 ล้านคน และนอกภาคเกษตร 4.8 ล้านคน ส่วนใหญ่ทำงานในสาขาขายส่ง ขายปลีก ซ่อมแซมยานยนต์ รถจักรยานยนต์ ของใช้ส่วนบุคคลและของใช้ในครัวเรือน และสาขาการผลิต สำหรับการว่างงานมีผู้ว่างงานจำนวน 0.1 ล้านคน อัตราการว่างงาน ร้อยละ 0.9 ทางด้านภาวะการจ้างงานในภาคเดือนนี้มีตำแหน่งงานว่าง 5,024 อัตรา เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.3 มีผู้สมัครงาน 6,422 คน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.5 และผู้ได้รับการบรรจุเข้าทำงาน 2,187 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 ส่วนใหญ่เป็นงานในโรงงานอุตสาหกรรม สำหรับคนไทย ในภาคที่เดินทางไปทำงานยังต่างประเทศ จำนวน 8,331 คน ลดลงร้อยละ 3.9 ส่วนใหญ่คือประมาณร้อยละ 42.0 ไปทำงานยังประเทศ ไต้หวัน
ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ภาวะการจ้างงานในภาค พบว่า มีตำแหน่งงานว่าง 13,121 อัตรา เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.1 โดยมีผู้สมัครงาน 19,609 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.3 และมีผู้ที่ได้รับการบรรจุเข้าทำงาน 7,259 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.1 ส่วนใหญ่เป็นงานในอุตสาหกรรม ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม สำหรับคนไทยที่เดินทางไปทำงานยังต่างประเทศ 27,240 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4
10. ภาคการเงิน ณ สิ้นเดือนสิงหาคม ธนาคารพาณิชย์ในภาคมีเงินฝากคงค้าง 342,080 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 ชะลอตัว จากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เนื่องจากส่วนราชการเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณโดยถอนเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน และเงินฝากออมทรัพย์ ส่วนสินเชื่อคงค้าง 322,316 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.0 สินเชื่อคงค้างสำคัญที่ขยายตัวได้แก่ สินเชื่อเช่าซื้อ รถยนต์ และสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่เป็นสำคัญ ทำให้อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากเท่ากับ ร้อยละ 94.2
ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ เงินฝากคงค้างเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยเป็นการลดลงของเงินฝากทุกประเภท ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ตามการปรับลดของอัตรา ดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลให้ประชาชนบางส่วนถอนเงินไปลงทุนด้านอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ประกอบกับเป็นช่วงที่ส่วนราชการ เร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณเพื่อมาใช้จ่าย ด้านสินเชื่อชะลอตัวตามการลดลงของสินเชื่อที่ให้แก่ภาคธุรกิจ ประกอบกับสหกรณ์ออมทรัพย์ บางแห่งได้ชำระหนี้แก่ธนาคารพาณิชย์ในเดือนกรกฎาคม สำหรับสินเชื่อที่ยังขยายตัวได้แก่ สินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล และสินเชื่อที่ชะลอตัวได้แก่ สินเชื่อด้านอสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อเพื่อการก่อสร้าง
ข้อมูลเพิ่มเติม : นางสิรีธร จารุธัญลักษณ์ โทร. 0-4333-3000 ต่อ 3432 e-mail: SireethJ@bot.or.th
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ภาวะเศรษฐกิจภาคชะลอตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน โดยด้านอุปทานผลผลิตเกษตร ได้แก่ ข้าวเปลือก มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลดลง ราคาสินค้าเกษตรส่วนใหญ่สูงขึ้น ยกเว้นราคาข้าวเปลือกหอมมะลิ ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ส่วนใหญ่ชะลอตัว โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส ด้านอุปสงค์ชะลอตัวตามการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังให้ความสนใจลงทุนในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ด้านพลังงานทดแทน อาทิ โครงการผลิตเอทานอล โครงการผลิตกระแสไฟฟ้า และโครงการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ การจัดเก็บภาษีอากรชะลอจากไตรมาสก่อนตามการลดลงของ ภาษีสรรพสามิต ด้านการค้าชายแดนไทย - ลาว ยังขยายตัวต่อเนื่องทั้งการส่งออกและการนำเข้า ส่วนการค้าชายแดนไทย - กัมพูชากลับ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนตามการนำเข้าพืชไร่ในโครงการ Contract Farming เป็นสำคัญ สำหรับเงินฝากและสินเชื่อชะลอตัวจากไตรมาส ที่แล้วเล็กน้อย อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 2.8
รายละเอียดของแต่ละภาคเศรษฐกิจ มีดังนี้
1. ภาคเกษตรกรรมในเดือนนี้ ผลผลิตเกษตรสำคัญออกสู่ตลาดลดลงทั้งข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาพืชผลส่วนใหญ่สูงขึ้น ยกเว้นราคาข้าวเปลือกหอมมะลิที่ลดลงเล็กน้อย โดยราคาขายส่งข้าวเปลือกเหนียว 10% (เมล็ดยาว) เฉลี่ยเกวียนละ 11,785 บาท สูงขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 20.9 ราคาขายส่งหัวมันสำปะหลังเฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.75 บาท สูงขึ้นร้อยละ 90.2 ราคาขายส่งมันเส้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 4.11 บาท สูงขึ้นร้อยละ 13.9 เนื่องจากผลผลิตมีน้อยไม่เพียงพอกับความต้องการ ของโรงงานแปรรูปมันสำปะหลัง ราคาขายส่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.74 บาท สูงขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 32.2 แต่ราคาขายส่งข้าวเปลือกหอมมะลิเฉลี่ยเกวียนละ 8,955 บาท ลดลงร้อยละ 2.4
ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ เป็นช่วงปลายฤดูการเก็บเกี่ยวปี 2549/50 และเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูการผลิตปี 2550/51 ผลผลิตจึงออกสู่ ตลาดน้อย ราคาพืชผลส่วนใหญ่ยังสูงขึ้น ยกเว้นราคาข้าวเปลือกหอมมะลิที่อ่อนตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากเกษตรกรบางส่วนระบายข้าว ออกสู่ตลาดเพื่อรองรับผลผลิตฤดูกาลใหม่ โดยราคาขายส่งข้าวเปลือกเหนียว 10% (เมล็ดยาว) เฉลี่ยเกวียนละ 11,784 บาท สูงขึ้นไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 29.0 ตามความต้องการของตลาดส่งออกที่ยังเพิ่มขึ้น ราคาขายส่งหัวมันสำปะหลังเฉลี่ยกิโลกรัม ละ 1.69 บาท สูงขึ้นร้อยละ 65.7 ราคาขายส่งมันเส้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.93 บาท สูงขึ้นร้อยละ 11.9 เนื่องจากผลผลิตมีน้อย และสภาพ ฝนตกชุกเป็นอุปสรรคต่อการเก็บเกี่ยวและการผลิตมันเส้น ขณะที่ความต้องการทั้งตลาดในและต่างประเทศมีมาก ราคาขายส่งข้าวโพด เลี้ยงสัตว์เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.66 บาท สูงขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 26.6 เพราะผลผลิตมีน้อยไม่เพียงพอกับความ ต้องการของโรงงานผลิตอาหารสัตว์ แต่ราคาขายส่งข้าวเปลือกหอมมะลิเฉลี่ยเกวียนละ 8,942 บาท อ่อนตัวลงเล็กน้อยโดยลดลง ร้อยละ 1.3
2. ภาคอุตสาหกรรมในเดือนนี้ปรับตัวดีขึ้น ในอุตสาหกรรมที่ไม่ใช้วัตถุดิบทางการเกษตร สำหรับอุตสาหกรรมแปรรูป มันสำปะหลังผลิตลดลงเนื่องจากยังขาดแคลนหัวมันสำปะหลังในการผลิต
ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ การผลิตของอุตสาหกรรมสำคัญชะลอตัว โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส เนื่องจาก อุตสาหกรรมแปรรูปมันสำปะหลังยังประสบปัญหาการขาดแคลนหัวมันสำปะหลังในการผลิต แม้ความต้องการเพื่อใช้ในการผลิต เพื่อการส่งออกสูงมากก็ตาม
3. ภาคบริการ ในเดือนนี้สถานการณ์ท่องเที่ยวยังคึกคัก เนื่องจากมีการจัดประชุมสัมมนาของภาคราชการและภาคเอกชน เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงปลายปีงบประมาณ โดยเฉพาะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 24 ที่จังหวัดนครราชสีมามีการประชุมเตรียมงานกันอย่างต่อเนื่อง อัตราการเข้าพักของโรงแรมอยู่ที่ระดับร้อยละ 46.5 ขณะที่จำนวน นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.6 จากเดือนเดียวกันของปีก่อน
4. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ในเดือนนี้ชะลอตัว เนื่องจากประชาชนยังชะลอการตัดสินใจซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ทำให้ การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 637.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 ชะลอจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 รวมถึงยอดการจดทะเบียนรถยนต์ บรรทุกส่วนบุคคล 4,096 คัน และรถจักรยานยนต์ 26,542 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 7.0 และร้อยละ 25.6 ตามลำดับ จำนวนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจำนวน 2,649 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.4 ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.5 ปริมาณการใช้ไฟฟ้า ในภาคที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7
ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ยังคงชะลอตัวเนื่องจากประชาชนยังขาดความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงความเข้มงวด ในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนบางส่วนลดลง มีผลให้ยอดการจดทะเบียนรถบรรทุกส่วนบุคคล จำนวน 12,755 คัน และรถจักรยานยนต์ 93,156 คัน ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 7.5 และร้อยละ 22.9 ตามลำดับ การจัดเก็บ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 1,918 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 อย่างไรก็ตาม มีการจดทะเบียน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลจำนวน 8,220 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.8 ขยายตัวจากไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เนื่องจากบริษัทรถยนต์ มีการแข่งขันทางด้านรายการส่งเสริมการขายในช่วงไตรมาสนี้ สำหรับปริมาณการใช้ไฟฟ้าในภาคที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7
5. การลงทุนภาคเอกชน ในเดือนนี้ยังชะลอตัวต่อเนื่อง โดยเครื่องชี้สำคัญคือการจดทะเบียนนิติบุคคลตั้งใหม่ทั้งบริษัทจำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด 405.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11.1 ส่วนใหญ่เป็นการลดลงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง สำหรับโครงการที่ได้รับ อนุมัติส่งเสริมการลงทุนมีเพียง 2 โครงการ แต่ใช้เงินลงทุนสูงมากทั้งสิ้น 18,922 ล้านบาท เนื่องจากมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของ บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ใช้เงินลงทุนสูงถึง 18,702 ล้านบาท ที่จังหวัดนครราชสีมา และโครงการผลิตเคมีภัณฑ์ขั้นอุตสาหกรรมพื้นฐาน ใช้เงินลงทุน 220 ล้านบาท ที่จังหวัดขอนแก่น ทางด้านปริมาณการใช้ไฟฟ้า ในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 ชะลอลงจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.9 อย่างไรก็ตาม พื้นที่ขอรับอนุญาตก่อสร้าง ยังเพิ่มขึ้น โดยมีพื้นที่ทั้งสิ้น 136,602.4 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ก่อสร้างที่อยู่อาศัย
ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ การลงทุนยังคงชะลอตัว เนื่องจากนักลงทุนยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โดยพื้นที่ขอรับ อนุญาตก่อสร้าง 440,397.1 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ 7.2 โดยเฉพาะพื้นที่ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม ยังมีการขยายการลงทุน อยู่บ้าง เห็นได้จาก ทุนจดทะเบียนธุรกิจตั้งใหม่ทั้งบริษัทจำกัดและห้างหุ้นส่วนจำกัด จำนวน 1,891.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน ของปีก่อนร้อยละ45.3 เนื่องจากมีการลงทุนของธุรกิจผลิตเอทานอลที่ใช้เงินลงทุนสูงถึง 600 ล้านบาท ที่จังหวัดอุบลราชธานี และธุรกิจจัดสรรที่ดินที่จังหวัดขอนแก่นในเดือนกรกฎาคม ทางด้านโครงการที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมีเงินลงทุน 20,973 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 67.5 เป็นผลจากมีโครงการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ที่จังหวัดนครราชสีมาใช้เงินลงทุน สูงถึง 18,702 ล้านบาท นอกจากนั้น ยังมีโครงการที่ใช้เงินลงทุนสูงอื่น ๆ อีก ได้แก่ โครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ โครงการผลิตเคมีภัณฑ์ โครงการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และโครงการผลิตแป้งแปรรูป สำหรับการใช้ไฟฟ้าในภาคธุรกิจและ อุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7
6. ภาคการคลัง ในเดือนนี้ รายได้ของภาครัฐบาลที่ได้จากการจัดเก็บภาษีอากร เดือนนี้สามารถจัดเก็บได้รวม 2,726.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11.9 เป็นการเพิ่มขึ้นของภาษีอากรทุกประเภท จำแนกได้เป็น ภาษีสรรพากร 1,511.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต จัดเก็บได้ 1,195.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.7 ส่วนใหญ่เป็นการจัดเก็บจากภาษีสุราซึ่งส่วนใหญ่เป็นเบียร์ ทางด้านการจัดเก็บอากร ขาเข้า 19.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 65.3 ส่วนใหญ่เป็นการจัดเก็บจากสินแร่ทองแดงและเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผ่านด่านศุลกากรมุกดาหาร
ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ รายได้ของภาครัฐบาล จากการจัดเก็บภาษีอากรชะลอตัวจากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลจากการจัดเก็บ ภาษีสรรพสามิตที่ลดลง โดยจัดเก็บภาษีอากรรวม 8,106.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.4 ชะลอตัว จากไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.7 จำแนกเป็น ภาษีสรรพากรจำนวน 5,038.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เพิ่มขึ้นทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล การจัดเก็บอากรขาเข้ารวม 52.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 73.4 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้น จากการนำเข้าสินแร่ทองแดง เสื้อผ้าสำเร็จรูป และไม้แปรรูป สำหรับภาษีสรรพสามิตจัดเก็บได้ 3,015.8 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.4 เทียบกับไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.3 เนื่องจากภาษีสุราซึ่งส่วนใหญ่จัดเก็บจากภาษีเบียร์ลดลงมาก
7. การค้าต่างประเทศ ในเดือนนี้ การค้าชายแดนไทย - ลาว ยังขยายตัวต่อเนื่องทั้งการส่งออกและการนำเข้า โดยมีมูลค่า การค้า 5,191.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.8 จำแนกเป็นมูลค่าการส่งออก 3,477.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.2 เป็นการเพิ่มขึ้น ของสินค้าทุกหมวด ประเภทสินค้าสำคัญที่เพิ่มขึ้นได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียมเชื้อเพลิงและสารหล่อลื่น วัสดุก่อสร้าง ผ้าผืน เครื่องจักรและ อุปกรณ์ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า (เนื่องจากมีการส่งออกเครื่องขุดเจาะสำรวจแร่ รถไถนาเดินตาม) และเครื่องใช้ไฟฟ้า สำหรับมูลค่า การนำเข้า 1,713.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.1 ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินแร่ทองแดง ยานพาหนะอุปกรณ์และส่วนประกอบ (กว่าครึ่งหนึ่งเป็นการนำกลับรถยนต์เก่าและรถที่นำไปใช้งานอื่น ส่วนที่เหลือเป็นการนำเข้าชุดสายไฟรถยนต์สำเร็จรูป และรถยนต์ใหม่ พวงมาลัยซ้ายเพื่อส่งไปขายต่อยังประเทศกัมพูชา)
ทางด้านการค้าชายแดนไทย - กัมพูชา ขยายตัวดี โดยมีมูลค่าการค้า 3,100.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.6 เป็นการส่งออก 2,958.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3 ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกยานพาหนะและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ และเคมีภัณฑ์ ทางด้านการนำเข้า 142.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 92.2 เป็นผลจากการนำเข้าพืชไร่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าตัว และสินค้าประเภทวัสดุใช้แล้ว เช่น เหล็ก ทองแดง อลูมิเนียม และกระดาษ
ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ มูลค่าการค้าชายแดนไทย - ลาว ขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน โดยมีมูลค่า 15,691.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 30.0 จำแนกเป็นการส่งออก 10,537.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.2 ส่วนใหญ่เป็น การส่งออก ยานพาหนะและอุปกรณ์ (รถยนต์นั่งใหม่พวงมาลัยซ้าย รถจักรยานยนต์และอะไหล่ รถยนต์บรรทุกเก่า รวมถึงรถใช้งาน อื่น ๆ) น้ำมันปิโตรเลียม สินค้าบริโภค และวัสดุก่อสร้าง ทางด้านการนำเข้า 5,154.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.9 ส่วนใหญ่เป็นผลจาก การนำเข้าสินแร่ทองแดง (สัดส่วนร้อยละ 68.0) ยานพาหนะและอุปกรณ์ (ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์นั่งใหม่พวงมาลัยซ้ายเพื่อส่งไปจำหน่าย ที่กัมพูชา และอีกประมาณร้อยละ 40.0 เป็นการนำกลับเครื่องจักรเก่าที่เสร็จสิ้นการใช้งาน)
การค้าชายแดนไทย - กัมพูชา ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยมีมูลค่าการค้ารวม 9,015.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่ลดลงร้อยละ 3.2 ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวด้านการนำเข้าเป็นสำคัญ โดยเป็นมูลค่าการนำเข้า 578.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามโครงการContract Farming คิดเป็นสัดส่วนถึง ร้อยละ 60.0 นอกจากนั้น เป็นวัสดุที่ใช้แล้วประเภทเหล็ก กระดาษ อลูมิเนียม และทองแดง เป็นต้น ทางด้านมูลค่าการส่งออก 8,436.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ส่วนใหญ่เป็นยานพาหนะและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยสินค้าที่ส่งออกที่ลดลงมากได้แก่ น้ำตาล วัสดุก่อสร้าง และน้ำมันเชื้อเพลิง
8. ระดับราคา อัตราเงินเฟ้อเดือนนี้สูงขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.5 เป็นผลจากราคาสินค้าหมวดอาหารและ เครื่องดื่มเป็นสำคัญ โดยสูงขึ้นร้อยละ 7.2 โดยสินค้าที่มีราคาสูงขึ้นมากได้แก่ ผักและผลไม้ เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูการผลิตผลไม้ บางประเภท เช่น เงาะ ชมพู่ ส้มเขียวหวาน มะม่วง เป็นต้น และข้าวสารเหนียว สำหรับราคาสินค้าหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ 1.2 จากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ยาสูบ และสุรา สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.8 เป็นผลจากราคาสินค้าหมวดอาหาร และเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ 7.4 โดยราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นมากได้แก่ ผักและผลไม้ และข้าวสารเหนียว ในส่วนราคาสินค้า หมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 0.1 สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0
9. ภาคการจ้างงาน ภาวะการทำงานของประชากรเดือนสิงหาคม 2550 มีผู้มีงานทำในภาคทั้งสิ้น 12.1 ล้านคน เป็นผู้ทำงาน ในภาคเกษตร 7.3 ล้านคน และนอกภาคเกษตร 4.8 ล้านคน ส่วนใหญ่ทำงานในสาขาขายส่ง ขายปลีก ซ่อมแซมยานยนต์ รถจักรยานยนต์ ของใช้ส่วนบุคคลและของใช้ในครัวเรือน และสาขาการผลิต สำหรับการว่างงานมีผู้ว่างงานจำนวน 0.1 ล้านคน อัตราการว่างงาน ร้อยละ 0.9 ทางด้านภาวะการจ้างงานในภาคเดือนนี้มีตำแหน่งงานว่าง 5,024 อัตรา เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.3 มีผู้สมัครงาน 6,422 คน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.5 และผู้ได้รับการบรรจุเข้าทำงาน 2,187 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 ส่วนใหญ่เป็นงานในโรงงานอุตสาหกรรม สำหรับคนไทย ในภาคที่เดินทางไปทำงานยังต่างประเทศ จำนวน 8,331 คน ลดลงร้อยละ 3.9 ส่วนใหญ่คือประมาณร้อยละ 42.0 ไปทำงานยังประเทศ ไต้หวัน
ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ภาวะการจ้างงานในภาค พบว่า มีตำแหน่งงานว่าง 13,121 อัตรา เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.1 โดยมีผู้สมัครงาน 19,609 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.3 และมีผู้ที่ได้รับการบรรจุเข้าทำงาน 7,259 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.1 ส่วนใหญ่เป็นงานในอุตสาหกรรม ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม สำหรับคนไทยที่เดินทางไปทำงานยังต่างประเทศ 27,240 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4
10. ภาคการเงิน ณ สิ้นเดือนสิงหาคม ธนาคารพาณิชย์ในภาคมีเงินฝากคงค้าง 342,080 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 ชะลอตัว จากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เนื่องจากส่วนราชการเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณโดยถอนเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน และเงินฝากออมทรัพย์ ส่วนสินเชื่อคงค้าง 322,316 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.0 สินเชื่อคงค้างสำคัญที่ขยายตัวได้แก่ สินเชื่อเช่าซื้อ รถยนต์ และสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่เป็นสำคัญ ทำให้อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากเท่ากับ ร้อยละ 94.2
ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ เงินฝากคงค้างเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยเป็นการลดลงของเงินฝากทุกประเภท ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ตามการปรับลดของอัตรา ดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลให้ประชาชนบางส่วนถอนเงินไปลงทุนด้านอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ประกอบกับเป็นช่วงที่ส่วนราชการ เร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณเพื่อมาใช้จ่าย ด้านสินเชื่อชะลอตัวตามการลดลงของสินเชื่อที่ให้แก่ภาคธุรกิจ ประกอบกับสหกรณ์ออมทรัพย์ บางแห่งได้ชำระหนี้แก่ธนาคารพาณิชย์ในเดือนกรกฎาคม สำหรับสินเชื่อที่ยังขยายตัวได้แก่ สินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล และสินเชื่อที่ชะลอตัวได้แก่ สินเชื่อด้านอสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อเพื่อการก่อสร้าง
ข้อมูลเพิ่มเติม : นางสิรีธร จารุธัญลักษณ์ โทร. 0-4333-3000 ต่อ 3432 e-mail: SireethJ@bot.or.th
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--