ภาวะเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือเดือนมิถุนายน ชะลอตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน โดยด้านอุปทาน ผลผลิตเกษตร ส่วนใหญ่ลดลง ขณะที่ราคาข้าวเปลือก มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังคงสูงกว่าระยะเดียวกันของปีก่อน สำหรับการผลิต ภาคอุตสาหกรรมชะลอตัว ตามอุตสาหกรรมแปรรูปมันสำปะหลัง เป็นสำคัญ ด้านอุปสงค์ ชะลอตัวต่อเนื่องตามการอุปโภคบริโภค ภาคเอกชนเป็นสำคัญ ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น ทางด้านมูลค่าการค้าชายแดนไทย - ลาวขยายตัว แต่มูลค่าการค้าชายแดน ไทย - กัมพูชาลดลงตามการส่งออกเป็นสำคัญ การจัดเก็บภาษีอากรของภาครัฐยังเพิ่มขึ้น สำหรับเงินฝากเพิ่มขึ้น แต่สินเชื่อชะลอตัว จากเดือนก่อนเล็กน้อย อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 3.2
ไตรมาสที่ 2 ปี 2550 ภาวะเศรษฐกิจภาค ชะลอตัวจากไตรมาสก่อน โดยด้านอุปทาน ผลผลิตเกษตร ได้แก่ ข้าวเปลือก มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกสู่ตลาดลดลง ราคาสินค้าเกษตรส่วนใหญ่สูงขึ้น อุตสาหกรรมน้ำตาลยังขยายตัว ขณะที่ อุตสาหกรรมแปรรูปมันสำปะหลังชะลอตัว ด้านอุปสงค์ ชะลอตัวตามการลงทุนภาคเอกชนและการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน อย่างไร ก็ตาม นักลงทุนยังให้ความสนใจลงทุนในโครงการลงทุนขนาดใหญ่โดยเฉพาะด้านพลังงานทดแทน อาทิ โครงการผลิตเอทานอล โครงการผลิตกระแสไฟฟ้า เป็นต้น การจัดเก็บภาษีอากรชะลอจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย ด้านมูลค่าการค้าชายแดนไทย - ลาว ยัง ขยายตัวทั้งการส่งออกและการนำเข้า ส่วนมูลค่าการค้าชายแดนไทย - กัมพูชา ลดลงตามการส่งออกเป็นสำคัญ สำหรับเงินฝากยัง ขยายตัว แต่สินเชื่อชะลอตัวจากไตรมาสที่แล้วเล็กน้อย อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 2.7
รายละเอียดของแต่ละภาคเศรษฐกิจ มีดังนี้
1. ภาคเกษตรกรรม ในเดือนมิถุนายนผลผลิตเกษตรสำคัญออกสู่ตลาดลดลงทั้งข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แต่ราคาพืชผลส่วนใหญ่สูงขึ้น โดยราคาขายส่งข้าวเปลือกหอมมะลิเฉลี่ยเกวียนละ 8,880 บาท สูงขึ้นร้อยละ 4.8 ชะลอจากเดือนก่อน ที่สูงขึ้นร้อยละ 6.2 ราคาขายส่งข้าวเปลือกเหนียว 10% (เมล็ดยาว) เฉลี่ยเกวียนละ 11,493 บาท สูงขึ้นร้อยละ 53.0 ราคาขายส่ง หัวมันสำปะหลังเฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.50 บาท และราคาขายส่งมันเส้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.65 บาท สูงขึ้นร้อยละ 35.1 และร้อยละ 21.3 เนื่องจากผลผลิตไม่เพียงพอกับต้องการของโรงงานแปรรูปมันสำปะหลัง ซึ่งการส่งออกขยายตัวดี สำหรับราคาขายส่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.74 บาท สูงขึ้นร้อยละ 10.0
ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ผลผลิตพืชผลทั้งข้าว มันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกสู่ตลาดลดลง ราคาพืชผล ส่วนใหญ่สูงขึ้น ราคาขายส่งข้าวเปลือกหอมมะลิเฉลี่ยเกวียนละ 8,904 บาท สูงขึ้นร้อยละ 6.5 ราคาข้าวเปลือกเหนียว 10% (เมล็ดยาว) เฉลี่ยเกวียนละ 11,065 บาท สูงขึ้นถึงร้อยละ 51.2 เนื่องจากประเทศจีนมีความต้องการนำไปผลิตสุราและขนม ราคาขายส่ง หัวมันสำปะหลังเฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.35 บาท และราคามันเส้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.39 บาท สูงขึ้นร้อยละ 16.4 และร้อยละ 15.3 เนื่องจากเป็นที่ต้องการสำหรับผลิตเพื่อการส่งออกซึ่งตลาดจีนและยุโรปมีความต้องการเพิ่มขึ้นมาก สำหรับราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เฉลี่ย กิโลกรัมละ 7.05 บาท สูงขึ้นร้อยละ 20.1 ชะลอจากไตรมาสแรกที่สูงขึ้นร้อยละ 45.3
2. ภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมิถุนายนชะลอตัวจากเดือนก่อน เนื่องจากโรงงานน้ำตาลได้ปิดหีบทุกแห่ง อีกทั้งอุตสาหกรรมแปรรูปมันสำปะหลังยังชะลอตัวต่อเนื่อง เนื่องจากการขาดแคลนหัวมันสำปะหลัง ถึงแม้ว่าจะมีคำสั่งซื้อจาก ต่างประเทศมากก็ตาม
ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ผลผลิตส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น เป็นผลจากอุตสาหกรรมน้ำตาล ซึ่งผลิตได้ประมาณ 25,000 ตัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 3 เท่าตัว ตามปริมาณอ้อยที่เพิ่มสูงขึ้น สำหรับอุตสาหกรรมแปรรูปมันสำปะหลังผลิตเพิ่มขึ้น แต่ชะลอตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากประสบปัญหาการขาดแคลนหัวมันสำปะหลัง ถึงแม้ว่าจะมีความต้องการเพื่อใช้ในการผลิตเพื่อการ ส่งออกสูงมากก็ตาม
3. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ในเดือนมิถุนายนลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเครื่องชี้สำคัญ คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ 638.3 ล้านบาทลดลงร้อยละ 2.6 การจดทะเบียนรถบรรทุกส่วนบุคคลจำนวน 4,478 คัน รถจักรยานยนต์จำนวน 38,015 คัน ลดลงร้อยละ 15.7 และร้อยละ 19.0 เนื่องจากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ประชาชนบางส่วนระมัดระวัง การใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม การจดทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจำนวน 2,872 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เนื่องจากมีการนำรถยนต์รุ่นใหม่ ออกสู่ตลาดกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนที่ยังมีกำลังซื้ออยู่ ทางด้านการใช้ไฟฟ้าเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ชะลอจากเดือนก่อน ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0
ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ชะลอตัวจากไตรมาสก่อน โดยเครื่องชี้ที่สำคัญได้แก่ การจดทะเบียนรถบรรทุกส่วนบุคคล จำนวน 15,203 คันและรถจักรยานยนต์จำนวน 102,086 คัน ลดลงร้อยละ 5.1 และร้อยละ 18.8 ปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.1 ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 อย่างไรก็ตาม การจดทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เป็นผลจากการมีรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนที่มีกำลังซื้อบางกลุ่ม รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้ 2,047.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 เป็นผลจากยอดจำหน่ายของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่และธุรกิจค้าส่งค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ ในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม
4. การลงทุนภาคเอกชน ในเดือนมิถุนายนปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน โดยทุนจดทะเบียนนิติบุคคลตั้งใหม่ทั้งบริษัทจำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด 413.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจค้าส่ง - ค้าปลีก แนวโน้มการลงทุนอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเงิน ลงทุนในโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจำนวนสูงถึง 8,425.0 ล้านบาท เนื่องจากมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ในโครงการผลิต เอทานอล ที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งใช้เงินลงทุนมากถึง 5,614 ล้านบาท โครงการอื่นๆ ที่นักลงทุนยังให้ความสนใจได้แก่ โครงการผลิต พลังงานไฟฟ้า โครงการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เป็นต้น และในส่วนพื้นที่ขอรับอนุญาตก่อสร้าง 182,677 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ในจังหวัดหนองคายเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตามปริมาณการใช้ไฟฟ้าในภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 ชะลอตัวเล็กน้อยจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0
ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ การลงทุนภาคเอกชนลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว แม้มีแนวโน้มดีขึ้นใน เดือนมิถุนายน โดยทุนจดทะเบียนนิติบุคคลตั้งใหม่ 934.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 31.9 ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจค้าส่งค้าปลีกและธุรกิจ ที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง พื้นที่ขอรับอนุญาตก่อสร้าง 465,811.0 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ 2.7 ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของพื้นที่ก่อสร้างที่อยู่ อาศัยในจังหวัดมหาสารคาม ในส่วนเงินลงทุนในโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 10,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.1 ชะลอ จากไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 95.1 สำหรับปริมาณการใช้ไฟฟ้าในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 ชะลอจาก ไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.8
5. ภาคการคลัง ในเดือนมิถุนายนรายได้ของภาครัฐบาลที่จัดเก็บได้เพิ่มขึ้น โดยจัดเก็บภาษีอากรรวมทั้งสิ้น 2,549.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 เป็นการเพิ่มขึ้นของภาษีอากรทุกประเภท จำแนกเป็น ภาษีสรรพากร 1,461.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.3 ชะลอจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0 โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ลดลงร้อยละ 2.6 โดยเฉพาะในจังหวัดขอนแก่นและ สรุปภาวะเศรษฐกิจและการเงินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดือนมิถุนายน 2550 และไตรมาสที่ 2 ปี 2550 อุบลราชธานี และการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลงร้อยละ 14.3 โดยเฉพาะในจังหวัดกาฬสินธุ์ นครราชสีมา และมหาสารคาม อย่างไรก็ตาม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดายังเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.4 ภาษีสรรพสามิต 1,077.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.4 เป็นผลจาก การเพิ่มขึ้นของภาษีสุราเป็นสำคัญ ทางด้านการจัดเก็บอากรขาเข้า 10.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9
ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ รายได้ของภาครัฐจากการจัดเก็บภาษีอากรเพิ่มขึ้นทุกประเภท โดยจัดเก็บภาษีอากรรวม 9,540.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.7 จำแนกเป็น ภาษีสรรพากร 5,962.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.2 เป็นการเพิ่มขึ้นของภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีสรรพสามิต 3,548.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.3 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของภาษี สุราและภาษีเครื่องดื่ม และรายได้จากอากรขาเข้า 28.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2
6. การค้าชายแดน ในเดือนมิถุนายนการค้าชายแดนไทย - ลาว ยังขยายตัวต่อเนื่องทั้งการส่งออกและการนำเข้าโดยมีมูลค่าการค้า 4,946.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8 จำแนกเป็นมูลค่าการส่งออก 3,551.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8 จากการเพิ่มขึ้น ของสินค้าทุกหมวด ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกน้ำมันปิโตรเลียมเชื้อเพลิงอื่น ๆ ยานพาหนะและอุปกรณ์ (รถยนต์ใหม่พวงมาลัยซ้าย) สินค้าอุปโภค - บริโภค วัสดุก่อสร้าง เหล็กและเหล็กกล้าเพื่อใช้ในการก่อสร้างเขื่อนและสาธารณูปโภคพื้นฐาน สำหรับมูลค่าการนำเข้า 1,394.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.2 สินค้าสำคัญที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ สินแร่ทองแดง ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (รถยนต์ใหม่ พวงมาลัยซ้ายเพื่อส่งไปจำหน่ายต่อยังประเทศกัมพูชา และชุดสายไฟรถยนต์สำเร็จรูป) ทางด้านการค้าไทย - กัมพูชา ยังมีแนวโน้มลดลง โดยมีมูลค่าการค้า 2,928.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7.1 เป็นการลดลงของการส่งออกเป็นสำคัญ ขณะที่การนำเข้าเพิ่มสูงขึ้น จำแนกเป็น มูลค่าการส่งออก 2,775.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8.4 สินค้าสำคัญที่ลดลงได้แก่ ยานพาหนะและส่วนประกอบ วัสดุก่อสร้าง น้ำตาล น้ำมันปิโตรเลียมเชื้อเพลิงอื่น ๆ ส่วนการนำเข้า 153.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.8 สินค้านำเข้าสำคัญที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ พืชไร่ (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ งาดำ ถั่วเขียวและพริกแห้ง) ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 7 เท่าตัว เนื่องจากนโยบายส่งเสริม Contract Farming ผ่านด่านศุลกากร จันทบุรี นอกจากนี้ยังมีเสื้อผ้าเก่า/ผ้าห่มเก่า ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้
ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ การค้าชายแดนไทย - ลาวยังขยายตัวดี แต่การค้าชายแดนไทย - กัมพูชากลับมีแนวโน้มลดลง โดยมูลค่าการค้าชายแดนไทย - ลาว 14,735.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.0 จำแนกเป็นมูลค่าการส่งออก 10,483.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.8 ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกยานพาหนะอุปกรณ์และส่วนประกอบ วัสดุก่อสร้าง เหล็กและเหล็กกล้า เป็นสำคัญ ส่วนมูลค่า การนำเข้า 4,251.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.7 ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินแร่ทองแดงทางด่านศุลกากรมุกดาหาร ทางด้านการค้า ชายแดนไทย - กัมพูชา มีมูลค่าการค้า 8,784.5 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.2 โดยลดลงจากการส่งออกเป็นสำคัญ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 8,414.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.6 ส่วนใหญ่ลดลงในสินค้าประเภทยานพาหนะและส่วนประกอบ วัสดุก่อสร้าง น้ำตาล และ น้ำมันปิโตรเลียม สำหรับมูลค่าการนำเข้า 370.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าพืชไร่ เสื้อผ้าเก่า
7. ระดับราคา ในเดือนมิถุนายนอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.2 เป็นผลจากราคาสินค้า หมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ 8.7 โดยราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ได้แก่ ผักและผลไม้ และข้าวสารเหนียว ส่วนราคาสินค้า หมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 0.2 จากการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานสูงขึ้น ร้อยละ 1.0
ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ อัตราเงินเฟ้อ สูงขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.7 เป็นผลจากราคาสินค้าหมวด อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ 6.3 โดยราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ได้แก่ ผักและผลไม้ และข้าวสารเหนียว และราคาสินค้า หมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ 0.4 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการอ่าน ค่าบริการส่วนบุคคล อุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านเป็นต้น สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานสูงขึ้นร้อยละ 1.2
8. ภาคการจ้างงาน ในเดือนพฤษภาคม 2550 ภาวะการทำงานของประชากรในภาคมีผู้มีงานทำทั้งสิ้น 10.6 ล้านคน เป็นผู้ทำงานในภาคเกษตร 5.2 ล้านคน และนอกภาคเกษตร 5.4 ล้านคน ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ทำงานในสาขาการขายส่ง การขายปลีก การซ่อมแซมยานยนต์ รถจักรยานยนต์ ของใช้ส่วนบุคคลและของใช้ในครัวเรือน และสาขาการผลิต สำหรับการว่างงานมีผู้ว่างงาน จำนวน 0.2 ล้านคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.6 ทางด้านภาวะการจ้างงานในภาคเดือนมิถุนายนมีตำแหน่งงานว่าง 2,970 อัตรา เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 มีผู้สมัครงาน 5,691 คน ลดลงร้อยละ 14.4 และผู้ได้รับการบรรจุเข้าทำงาน 1,802 คน ลดลงร้อยละ 0.6 สำหรับคน ไทยในภาคที่เดินทางไปทำงานยังต่างประเทศจำนวน 8,205 คน ลดลงร้อยละ 3.6
ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ภาวะการจ้างงานในภาคมีตำแหน่งงานว่าง 12,733 อัตรา ลดลงร้อยละ 46.2 มีผู้สมัครงาน 22,618 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 และมีผู้ที่ได้รับการบรรจุเข้าทำงาน 8,129 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.4 สำหรับคนไทยที่เดินทางไปทำงาน ยังต่างประเทศ 25,510 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2
9. ภาคการเงิน ณ สิ้นพฤษภาคม 2550 ธนาคารพาณิชย์ในภาคมีเงินฝากคงค้าง 347,637 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 ส่วนสินเชื่อคงค้าง 322,711 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 สินเชื่อคงค้างสำคัญที่ขยายตัวได้แก่ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อเพื่อ การอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ของธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่เป็นสำคัญ ทำให้อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากเท่ากับร้อยละ 92.8
ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ธนาคารพาณิชย์ในภาคมีเงินฝากคงค้างขยายตัวจากไตรมาสก่อน โดยเฉพาะเงินฝากกระแสรายวัน เนื่องจากมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของส่วนราชการโดยการโอนเงินผ่านธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น ทางด้านสินเชื่อขยายตัวในอัตราที่ ชะลอลง เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ส่วนใหญ่จะปล่อยให้แก่ ธุรกิจรายย่อยที่มีความสามารถทาง การตลาด สินเชื่อที่ยังขยายตัวได้แก่ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์
ข้อมูลเพิ่มเติม : นายโรจน์ลักษณ์ ปรีชา โทร. 0-4333-3000 ต่อ 3421 e-mail: rotelakP@bot.or.th
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ไตรมาสที่ 2 ปี 2550 ภาวะเศรษฐกิจภาค ชะลอตัวจากไตรมาสก่อน โดยด้านอุปทาน ผลผลิตเกษตร ได้แก่ ข้าวเปลือก มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกสู่ตลาดลดลง ราคาสินค้าเกษตรส่วนใหญ่สูงขึ้น อุตสาหกรรมน้ำตาลยังขยายตัว ขณะที่ อุตสาหกรรมแปรรูปมันสำปะหลังชะลอตัว ด้านอุปสงค์ ชะลอตัวตามการลงทุนภาคเอกชนและการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน อย่างไร ก็ตาม นักลงทุนยังให้ความสนใจลงทุนในโครงการลงทุนขนาดใหญ่โดยเฉพาะด้านพลังงานทดแทน อาทิ โครงการผลิตเอทานอล โครงการผลิตกระแสไฟฟ้า เป็นต้น การจัดเก็บภาษีอากรชะลอจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย ด้านมูลค่าการค้าชายแดนไทย - ลาว ยัง ขยายตัวทั้งการส่งออกและการนำเข้า ส่วนมูลค่าการค้าชายแดนไทย - กัมพูชา ลดลงตามการส่งออกเป็นสำคัญ สำหรับเงินฝากยัง ขยายตัว แต่สินเชื่อชะลอตัวจากไตรมาสที่แล้วเล็กน้อย อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 2.7
รายละเอียดของแต่ละภาคเศรษฐกิจ มีดังนี้
1. ภาคเกษตรกรรม ในเดือนมิถุนายนผลผลิตเกษตรสำคัญออกสู่ตลาดลดลงทั้งข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แต่ราคาพืชผลส่วนใหญ่สูงขึ้น โดยราคาขายส่งข้าวเปลือกหอมมะลิเฉลี่ยเกวียนละ 8,880 บาท สูงขึ้นร้อยละ 4.8 ชะลอจากเดือนก่อน ที่สูงขึ้นร้อยละ 6.2 ราคาขายส่งข้าวเปลือกเหนียว 10% (เมล็ดยาว) เฉลี่ยเกวียนละ 11,493 บาท สูงขึ้นร้อยละ 53.0 ราคาขายส่ง หัวมันสำปะหลังเฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.50 บาท และราคาขายส่งมันเส้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.65 บาท สูงขึ้นร้อยละ 35.1 และร้อยละ 21.3 เนื่องจากผลผลิตไม่เพียงพอกับต้องการของโรงงานแปรรูปมันสำปะหลัง ซึ่งการส่งออกขยายตัวดี สำหรับราคาขายส่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.74 บาท สูงขึ้นร้อยละ 10.0
ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ผลผลิตพืชผลทั้งข้าว มันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกสู่ตลาดลดลง ราคาพืชผล ส่วนใหญ่สูงขึ้น ราคาขายส่งข้าวเปลือกหอมมะลิเฉลี่ยเกวียนละ 8,904 บาท สูงขึ้นร้อยละ 6.5 ราคาข้าวเปลือกเหนียว 10% (เมล็ดยาว) เฉลี่ยเกวียนละ 11,065 บาท สูงขึ้นถึงร้อยละ 51.2 เนื่องจากประเทศจีนมีความต้องการนำไปผลิตสุราและขนม ราคาขายส่ง หัวมันสำปะหลังเฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.35 บาท และราคามันเส้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.39 บาท สูงขึ้นร้อยละ 16.4 และร้อยละ 15.3 เนื่องจากเป็นที่ต้องการสำหรับผลิตเพื่อการส่งออกซึ่งตลาดจีนและยุโรปมีความต้องการเพิ่มขึ้นมาก สำหรับราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เฉลี่ย กิโลกรัมละ 7.05 บาท สูงขึ้นร้อยละ 20.1 ชะลอจากไตรมาสแรกที่สูงขึ้นร้อยละ 45.3
2. ภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมิถุนายนชะลอตัวจากเดือนก่อน เนื่องจากโรงงานน้ำตาลได้ปิดหีบทุกแห่ง อีกทั้งอุตสาหกรรมแปรรูปมันสำปะหลังยังชะลอตัวต่อเนื่อง เนื่องจากการขาดแคลนหัวมันสำปะหลัง ถึงแม้ว่าจะมีคำสั่งซื้อจาก ต่างประเทศมากก็ตาม
ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ผลผลิตส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น เป็นผลจากอุตสาหกรรมน้ำตาล ซึ่งผลิตได้ประมาณ 25,000 ตัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 3 เท่าตัว ตามปริมาณอ้อยที่เพิ่มสูงขึ้น สำหรับอุตสาหกรรมแปรรูปมันสำปะหลังผลิตเพิ่มขึ้น แต่ชะลอตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากประสบปัญหาการขาดแคลนหัวมันสำปะหลัง ถึงแม้ว่าจะมีความต้องการเพื่อใช้ในการผลิตเพื่อการ ส่งออกสูงมากก็ตาม
3. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ในเดือนมิถุนายนลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเครื่องชี้สำคัญ คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ 638.3 ล้านบาทลดลงร้อยละ 2.6 การจดทะเบียนรถบรรทุกส่วนบุคคลจำนวน 4,478 คัน รถจักรยานยนต์จำนวน 38,015 คัน ลดลงร้อยละ 15.7 และร้อยละ 19.0 เนื่องจากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ประชาชนบางส่วนระมัดระวัง การใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม การจดทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจำนวน 2,872 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เนื่องจากมีการนำรถยนต์รุ่นใหม่ ออกสู่ตลาดกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนที่ยังมีกำลังซื้ออยู่ ทางด้านการใช้ไฟฟ้าเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ชะลอจากเดือนก่อน ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0
ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ชะลอตัวจากไตรมาสก่อน โดยเครื่องชี้ที่สำคัญได้แก่ การจดทะเบียนรถบรรทุกส่วนบุคคล จำนวน 15,203 คันและรถจักรยานยนต์จำนวน 102,086 คัน ลดลงร้อยละ 5.1 และร้อยละ 18.8 ปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.1 ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 อย่างไรก็ตาม การจดทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เป็นผลจากการมีรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนที่มีกำลังซื้อบางกลุ่ม รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้ 2,047.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 เป็นผลจากยอดจำหน่ายของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่และธุรกิจค้าส่งค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ ในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม
4. การลงทุนภาคเอกชน ในเดือนมิถุนายนปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน โดยทุนจดทะเบียนนิติบุคคลตั้งใหม่ทั้งบริษัทจำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด 413.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจค้าส่ง - ค้าปลีก แนวโน้มการลงทุนอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเงิน ลงทุนในโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจำนวนสูงถึง 8,425.0 ล้านบาท เนื่องจากมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ในโครงการผลิต เอทานอล ที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งใช้เงินลงทุนมากถึง 5,614 ล้านบาท โครงการอื่นๆ ที่นักลงทุนยังให้ความสนใจได้แก่ โครงการผลิต พลังงานไฟฟ้า โครงการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เป็นต้น และในส่วนพื้นที่ขอรับอนุญาตก่อสร้าง 182,677 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ในจังหวัดหนองคายเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตามปริมาณการใช้ไฟฟ้าในภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 ชะลอตัวเล็กน้อยจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0
ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ การลงทุนภาคเอกชนลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว แม้มีแนวโน้มดีขึ้นใน เดือนมิถุนายน โดยทุนจดทะเบียนนิติบุคคลตั้งใหม่ 934.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 31.9 ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจค้าส่งค้าปลีกและธุรกิจ ที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง พื้นที่ขอรับอนุญาตก่อสร้าง 465,811.0 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ 2.7 ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของพื้นที่ก่อสร้างที่อยู่ อาศัยในจังหวัดมหาสารคาม ในส่วนเงินลงทุนในโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 10,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.1 ชะลอ จากไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 95.1 สำหรับปริมาณการใช้ไฟฟ้าในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 ชะลอจาก ไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.8
5. ภาคการคลัง ในเดือนมิถุนายนรายได้ของภาครัฐบาลที่จัดเก็บได้เพิ่มขึ้น โดยจัดเก็บภาษีอากรรวมทั้งสิ้น 2,549.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 เป็นการเพิ่มขึ้นของภาษีอากรทุกประเภท จำแนกเป็น ภาษีสรรพากร 1,461.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.3 ชะลอจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0 โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ลดลงร้อยละ 2.6 โดยเฉพาะในจังหวัดขอนแก่นและ สรุปภาวะเศรษฐกิจและการเงินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดือนมิถุนายน 2550 และไตรมาสที่ 2 ปี 2550 อุบลราชธานี และการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลงร้อยละ 14.3 โดยเฉพาะในจังหวัดกาฬสินธุ์ นครราชสีมา และมหาสารคาม อย่างไรก็ตาม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดายังเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.4 ภาษีสรรพสามิต 1,077.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.4 เป็นผลจาก การเพิ่มขึ้นของภาษีสุราเป็นสำคัญ ทางด้านการจัดเก็บอากรขาเข้า 10.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9
ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ รายได้ของภาครัฐจากการจัดเก็บภาษีอากรเพิ่มขึ้นทุกประเภท โดยจัดเก็บภาษีอากรรวม 9,540.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.7 จำแนกเป็น ภาษีสรรพากร 5,962.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.2 เป็นการเพิ่มขึ้นของภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีสรรพสามิต 3,548.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.3 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของภาษี สุราและภาษีเครื่องดื่ม และรายได้จากอากรขาเข้า 28.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2
6. การค้าชายแดน ในเดือนมิถุนายนการค้าชายแดนไทย - ลาว ยังขยายตัวต่อเนื่องทั้งการส่งออกและการนำเข้าโดยมีมูลค่าการค้า 4,946.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8 จำแนกเป็นมูลค่าการส่งออก 3,551.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8 จากการเพิ่มขึ้น ของสินค้าทุกหมวด ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกน้ำมันปิโตรเลียมเชื้อเพลิงอื่น ๆ ยานพาหนะและอุปกรณ์ (รถยนต์ใหม่พวงมาลัยซ้าย) สินค้าอุปโภค - บริโภค วัสดุก่อสร้าง เหล็กและเหล็กกล้าเพื่อใช้ในการก่อสร้างเขื่อนและสาธารณูปโภคพื้นฐาน สำหรับมูลค่าการนำเข้า 1,394.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.2 สินค้าสำคัญที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ สินแร่ทองแดง ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (รถยนต์ใหม่ พวงมาลัยซ้ายเพื่อส่งไปจำหน่ายต่อยังประเทศกัมพูชา และชุดสายไฟรถยนต์สำเร็จรูป) ทางด้านการค้าไทย - กัมพูชา ยังมีแนวโน้มลดลง โดยมีมูลค่าการค้า 2,928.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7.1 เป็นการลดลงของการส่งออกเป็นสำคัญ ขณะที่การนำเข้าเพิ่มสูงขึ้น จำแนกเป็น มูลค่าการส่งออก 2,775.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8.4 สินค้าสำคัญที่ลดลงได้แก่ ยานพาหนะและส่วนประกอบ วัสดุก่อสร้าง น้ำตาล น้ำมันปิโตรเลียมเชื้อเพลิงอื่น ๆ ส่วนการนำเข้า 153.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.8 สินค้านำเข้าสำคัญที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ พืชไร่ (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ งาดำ ถั่วเขียวและพริกแห้ง) ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 7 เท่าตัว เนื่องจากนโยบายส่งเสริม Contract Farming ผ่านด่านศุลกากร จันทบุรี นอกจากนี้ยังมีเสื้อผ้าเก่า/ผ้าห่มเก่า ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้
ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ การค้าชายแดนไทย - ลาวยังขยายตัวดี แต่การค้าชายแดนไทย - กัมพูชากลับมีแนวโน้มลดลง โดยมูลค่าการค้าชายแดนไทย - ลาว 14,735.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.0 จำแนกเป็นมูลค่าการส่งออก 10,483.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.8 ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกยานพาหนะอุปกรณ์และส่วนประกอบ วัสดุก่อสร้าง เหล็กและเหล็กกล้า เป็นสำคัญ ส่วนมูลค่า การนำเข้า 4,251.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.7 ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินแร่ทองแดงทางด่านศุลกากรมุกดาหาร ทางด้านการค้า ชายแดนไทย - กัมพูชา มีมูลค่าการค้า 8,784.5 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.2 โดยลดลงจากการส่งออกเป็นสำคัญ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 8,414.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.6 ส่วนใหญ่ลดลงในสินค้าประเภทยานพาหนะและส่วนประกอบ วัสดุก่อสร้าง น้ำตาล และ น้ำมันปิโตรเลียม สำหรับมูลค่าการนำเข้า 370.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าพืชไร่ เสื้อผ้าเก่า
7. ระดับราคา ในเดือนมิถุนายนอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.2 เป็นผลจากราคาสินค้า หมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ 8.7 โดยราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ได้แก่ ผักและผลไม้ และข้าวสารเหนียว ส่วนราคาสินค้า หมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 0.2 จากการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานสูงขึ้น ร้อยละ 1.0
ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ อัตราเงินเฟ้อ สูงขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.7 เป็นผลจากราคาสินค้าหมวด อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ 6.3 โดยราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ได้แก่ ผักและผลไม้ และข้าวสารเหนียว และราคาสินค้า หมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ 0.4 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการอ่าน ค่าบริการส่วนบุคคล อุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านเป็นต้น สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานสูงขึ้นร้อยละ 1.2
8. ภาคการจ้างงาน ในเดือนพฤษภาคม 2550 ภาวะการทำงานของประชากรในภาคมีผู้มีงานทำทั้งสิ้น 10.6 ล้านคน เป็นผู้ทำงานในภาคเกษตร 5.2 ล้านคน และนอกภาคเกษตร 5.4 ล้านคน ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ทำงานในสาขาการขายส่ง การขายปลีก การซ่อมแซมยานยนต์ รถจักรยานยนต์ ของใช้ส่วนบุคคลและของใช้ในครัวเรือน และสาขาการผลิต สำหรับการว่างงานมีผู้ว่างงาน จำนวน 0.2 ล้านคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.6 ทางด้านภาวะการจ้างงานในภาคเดือนมิถุนายนมีตำแหน่งงานว่าง 2,970 อัตรา เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 มีผู้สมัครงาน 5,691 คน ลดลงร้อยละ 14.4 และผู้ได้รับการบรรจุเข้าทำงาน 1,802 คน ลดลงร้อยละ 0.6 สำหรับคน ไทยในภาคที่เดินทางไปทำงานยังต่างประเทศจำนวน 8,205 คน ลดลงร้อยละ 3.6
ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ภาวะการจ้างงานในภาคมีตำแหน่งงานว่าง 12,733 อัตรา ลดลงร้อยละ 46.2 มีผู้สมัครงาน 22,618 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 และมีผู้ที่ได้รับการบรรจุเข้าทำงาน 8,129 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.4 สำหรับคนไทยที่เดินทางไปทำงาน ยังต่างประเทศ 25,510 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2
9. ภาคการเงิน ณ สิ้นพฤษภาคม 2550 ธนาคารพาณิชย์ในภาคมีเงินฝากคงค้าง 347,637 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 ส่วนสินเชื่อคงค้าง 322,711 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 สินเชื่อคงค้างสำคัญที่ขยายตัวได้แก่ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อเพื่อ การอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ของธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่เป็นสำคัญ ทำให้อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากเท่ากับร้อยละ 92.8
ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ธนาคารพาณิชย์ในภาคมีเงินฝากคงค้างขยายตัวจากไตรมาสก่อน โดยเฉพาะเงินฝากกระแสรายวัน เนื่องจากมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของส่วนราชการโดยการโอนเงินผ่านธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น ทางด้านสินเชื่อขยายตัวในอัตราที่ ชะลอลง เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ส่วนใหญ่จะปล่อยให้แก่ ธุรกิจรายย่อยที่มีความสามารถทาง การตลาด สินเชื่อที่ยังขยายตัวได้แก่ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์
ข้อมูลเพิ่มเติม : นายโรจน์ลักษณ์ ปรีชา โทร. 0-4333-3000 ต่อ 3421 e-mail: rotelakP@bot.or.th
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--